ระบำเงา (บทที่ 23)

ขอบคุณทุกคนที่อ่านเรื่องนี้นะคะ
ขอบคุณ จารย์จี GTW, น้องดาว Lady Star 919, คุณนัน turtle_cheesecake, คุณนะ Na(นะ), คุณ สมาชิกหมายเลข 3876475, คุณ สมาชิกหมายเลข 868629, คุณ ป้าทุยบ้านทุ่ง, คุณ มานีโอลา, คุณ สมาชิกหมายเลข 1988902, คุณซูซี่ Susisiri
ขอบคุณทุกคะแนนโหวตด้วยค่ะ

บทก่อนๆ ค่ะ
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้


บทที่ 23


    แสงไฟที่ส่องลอดออกมาจากห้องซึ่งเปิดออกไปยังสระว่ายน้ำหลังบ้านพาให้พราวไหมแวะไปที่นั่นก่อนขึ้นชั้นบน จะว่าไปก็เพื่อรายงานตัวว่าถึงบ้านแล้วนั่นแหละ สามคืนแล้ว คุณรองใช้ห้องนั้นเป็นที่ทำงาน จนเธอเริ่มคุ้นเคยกับการไปให้เขาเห็นตัวก่อนทำอะไรอย่างอื่นเมื่อกลับถึงบ้าน

    มีเสียงเพลงดังออกมาแว่วๆ แผ่วเบาเสียจนเหมือนแทรกแฝงอยู่ในบรรยากาศ หากยิ่งเข้าไปใกล้ประตูห้องนั้นเท่าไร ท่วงทำนองเศร้าสร้อยและชวนฝันนั้นก็ยิ่งชัดขึ้นทุกที เธอไม่มีความรู้เรื่องเพลงคลาสสิกสักเท่าไรนัก จึงไม่รู้ชื่อ ไม่รู้ว่าเป็นเพลงของใคร รู้แต่ว่าคุณรองชอบเพลงคลาสสิกรุ่นเก่ามากๆ ประเภทที่ต้องตะกายบันไดฟังกันนั่นแหละ

    หยุดอยู่เพียงประตูห้องเพราะไม่อยากทำลายสมาธิเขา แอบมองเข้าไปข้างในก็เห็นร่างสูงหนาในชุดกางเกงยีนขายาว เก่าจนสีออกซีด เสื้อยืดคอกลม แขนสั้น เก่าคร่ำพอกัน เก่าจนสีดำกลายเป็นสีเทาทึมๆ เขากำลังยืนตระหง่านอยู่กลางห้อง สองมือประสานกันที่ท้ายทอย เป็นกิริยาอาการซึ่งแสดงว่ากำลังใช้ความคิดอย่างหนัก

    ...ก็น่าแปลกที่แม้จะห่างเหินกันมาแต่เล็กๆ จนบัดนี้ หากบางครั้งบางคราพราวไหมอ่านอากัปกิริยาของคุณรองได้อย่างทะลุปรุโปร่ง เพียงดูจากท่ายืน ท่านั่ง หรือสังเกตจากสีหน้า หลายครั้งบอกได้ทันทีว่าเขากำลังคิดอะไร กำลังรู้สึกอย่างไร หรือแม้แต่กำลังจะทำอะไร บอกได้ทั้งๆ ไม่รู้หรอกว่าทำได้อย่างไร

    เขากำลังพิจารณาอะไรบางอย่างบนพื้นห้อง เมื่อเธอลดสายตาลงดู ก็เห็นกระดาษเขียนแบบแผ่นใหญ่กางอยู่ที่ปลายเท้าเขา อีกสามแผ่นซึ่งมีขนาดเล็กกว่าวางแผ่อยู่ข้างๆ บนพื้นตรงนั้นยังมีแผ่นสีตัวอย่างแผ่นเล็กๆ ทิ้งอยู่เกลื่อนกลาด โต๊ะไม้กรุกระจกตัวเตี้ยซึ่งปกติตั้งอยู่ตรงนั้นถูกเลื่อนไปแอบไว้ชิดผนังห้องตั้งแต่เมื่อคืนวาน ช่วยให้กลางห้องมีพื้นที่กว้างพอสำหรับกางกระดาษเขียนแบบแผ่นใหญ่ๆ

    เสียงเพลงคลาสสิกที่ได้ยินมาจากสเตอริโอสุดมุมห้องอีกด้าน ปกติไม่ค่อยมีใครใช้เครื่องเสียงราคาสูงลิบลิ่วเครื่องนั้น บ้านนี้ไม่ค่อยมีเสียงเพลงให้ได้ยินบ่อยนัก ซีดีเพลงนั้นก็คงเป็นของคุณรองเอง

    เมื่อเห็นว่าเขากำลังหมกมุ่นกับงาน เธอถอยกลับออกมา หากเสียงห้าวๆ ทักขึ้นก่อน

    “มาแล้วหรือ”

    สุ้มเสียงที่ถามเป็นเพียงการรับรู้ว่าเห็นแล้วว่าถึงบ้านมากกว่าอื่นใด ไม่มีวี่แววว่าตำหนิ ไม่มีคำถามว่าสี่ทุ่มกว่าแล้วทำไมจึงเพิ่งกลับ

    “เข้ามาสิพราว มาช่วยพี่ดูนี่หน่อย”

    พราวไหมวางกระเป๋าสะพายและสมุดหนังสือที่หอบมาด้วยลงบนโต๊ะตัวเล็กข้างประตู เดินเรื่อยๆ มาหยุดยืนดูภาพบนกระดาษร่างแบบที่พื้น เห็นว่าเป็นภาพวาดของบ้านสองชั้นตามแบบในชนบทของยุโรปที่ไหนสักแห่ง แต่ก็คงประยุกต์แล้วเพื่อให้เข้ากับบรรยากาศและภูมิประเทศภูมิอากาศของไทย ทั้งหมดเท่าที่เห็นมีสามแบบ ทั้งรูปทรงและขนาดต่างกัน แต่ละหลังวาดไว้อย่างประณีต มีรายละเอียดครบครัน มีตัวเลขบอกสัดส่วนไว้เรียบร้อย และลงสีไว้แล้วเกือบทั้งหมด ส่วนที่ยังไม่ระบายสี โดยเฉพาะที่เป็นรูปวาดของห้องภายในตัวเรือน มีแถบสีตัวอย่างวางเรียงกันไว้เพื่อเปรียบเทียบ

    “ห้องนั่น พราวว่าสีไหนดี”

    สถาปนิกหนุ่มชี้ไปที่ห้องซึ่งอยู่ในเรือนหลังที่ดูเหมือนจะมีขนาดใหญ่ที่สุด พลางทรุดตัวลงนั่งบนส้นเท้าของตัวเอง หยิบแผ่นกระดาษสีน้ำตาลเฉดต่างๆ กันมาเทียบลงบนส่วนซึ่งเป็นผนังของห้องรับแขก แล้วส่งให้หญิงสาวทั้งหมด

    พราวไหมลงนั่งพับเพียบบนพื้นพรมใกล้ๆ เขา ดูเผินๆ สีน้ำตาลอ่อนบนแผ่นสีทั้งหมดแทบจะไม่ต่างกันเลย แต่พอเอามาเทียบกันใกล้ๆ จึงได้เห็นว่ามีโทนสีซึ่งต่างกัน แม้จะเพียงเล็กน้อยก็ตาม

    “ดูไม่ต่างกันเลยนะคะ”

    “ดูอย่างนี้เหมือนไม่ต่างกัน แต่พอทาลงบนผนังห้องจริงๆ แล้วนี่สิ จะเห็นชัดว่าต่างกัน”

    หญิงสาวพิจารณาสีเหล่านั้นทีละแผ่นอย่างตั้งอกตั้งใจ เมื่อเขาลงนั่งราบกับพื้นห้อง

เลือกได้แผ่นหนึ่ง เป็นสีน้ำตาลอ่อนจางอมส้มน้อยๆ เธอส่งให้เขา

    “พราวว่าสีนี้สวยดีค่ะ”

    ภาษิตรับแผ่นสีนั้นมาวางทาบลงบนภาพร่าง พราวไหมจึงสังเกตเห็นว่าผนังห้องนั้นมีช่องสี่เหลี่ยม ดูจากรูปมีรายละเอียดบอกชัดว่าก่อด้วยอิฐ

    “ตรงนั้นเป็นเตาผิงหรือคะ”

    “ก็เตาผิงนั่นแหละ” เขาตอบโดยไม่มองหน้า มัวแต่รวบแผ่นสีที่กระจัดกระจายอยู่เกลื่อนกลาดมารวมไว้ด้วยกัน

    “ที่นั่นหนาวถึงขนาดต้องมีเตาผิงเลยหรือคะ”

    “หนองคายน่ะหรือ คงไม่มั้ง คงมีไว้ย่างเนื้อเวลาทำเนื้อย่างน้ำตกมากกว่า”

    สถาปนิกหนุ่มตอบหน้าตาย ยิ้มเมื่อสบตาใสแจ๋วที่กำลังเบิกกว้าง

    “เจ้าของเขาจะให้มีเตาผิงด้วย เขาว่าเตาผิงให้บรรยากาศโรแมนติกดี กะจะให้รีสอร์ตนี้เป็นที่สำหรับฮันนีมูน นั่นเป็นจุดขายของเขา ก็คงโรแมนติกดีอยู่หรอก ร้อนตับแลบ จะให้คนเขาติดเตาผิงผิงไฟ พี่ว่ามันกินเนื้อที่โดยไม่จำเป็น คนพักก็คงไม่ค่อยได้ใช้กันด้วยเพราะถึงหน้าหนาว มันก็ไม่น่าจะหนาวขนาดจำเป็นต้องใช้เตาผิง” เขาอธิบายยาวเหยียดตามนิสัยและความเคยชิน
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่