ขอบคุณทุกคนที่อ่านเรื่องนี้นะคะ
ขอบคุณ คุณ สมาชิกหมายเลข 1065771, น้องดาว Lady Star 919, น้องมัด ฮิปโปโปตัวโตพุงโลชะมัด, คุณ พวงดารา, คุณซูซี่ Susisiri, จารย์จี GTW, คุณ
สาวอิสานกับบ่าวเมืองเหนือ, คุณ สมาชิกหมายเลข 868629, คุณนัน turtle_cheesecake, คุณนะ เป่าชาง, คุณป้าทุยบ้านทุ่ง, คุณลิ ลายลิขิต
ขอบคุณทุกคะแนนโหวตด้วยค่ะ
บทก่อนหน้าค่ะ
บทนำ
https://ppantip.com/topic/36387078
บทที่ 1
https://ppantip.com/topic/36392612
บทที่ 2
https://ppantip.com/topic/36400065
บทที่ 3
https://ppantip.com/topic/36407292
บทที่ 4
https://ppantip.com/topic/36411315
บทที่ 5
https://ppantip.com/topic/36419344
บทที่ 6
https://ppantip.com/topic/36427179
บทที่ 7
https://ppantip.com/topic/36430854
บทที่ 8
นักธุรกิจหนุ่มใหญ่ผู้เป็นนายจ้างของเพื่อนรักผิดไปจากภาพที่วาดไว้ในใจมากทีเดียว เมื่ออัญชลีเล่าให้ฟังถึงผู้บริหารศูนย์การค้าวัยต้นสี่สิบ พราวไหมคิดว่าเขาคงอุดมสมบูรณ์ทั้งรูปร่างและหน้าตา…ตามรูปลักษณ์ของคนวัยนั้นเท่าที่เคยเห็น และคงวางตัวให้น่ายำเกรงอย่างนักธุรกิจผู้ประสบความสำเร็จในชีวิตและหน้าที่การงาน ยิ่งเมื่อเดินเข้าไปในห้องโถงกว้างขวางทางตอนหน้าซึ่งเป็นห้องทำงานของเลขานุการิณีส่วนตัว ก็ยิ่งเหมือนจะตอกย้ำความคิดนั้น
ห้องทำงานของอัญชลีซึ่งใช้เป็นห้องรับแขกด้วยปูพรมหนาสีน้ำเงินเข้ม เป็นสีเดียวกับผนังทางฝั่งตรงข้ามประตูที่เพิ่งเดินเข้ามา ในขณะที่อีกสามด้านเป็นสีขาวนวล กลางห้องเป็นชุดรับแขกชุดใหญ่ ประกอบด้วยโต๊ะกลาง พื้นผิวตอนบนเป็นกระจกสีชา ล้อมรอบด้วยเก้าอี้นวมหุ้มผ้าเนื้อหยาบสีน้ำเงินอ่อน โต๊ะทำงานของอัญชลีอยู่มุมห้องทางฝั่งขวา หันหน้ามาทางประตู
ความโล่งโถง สีที่ใช้ และลักษณะของเฟอร์นิเจอร์ ช่วยให้ทั้งหมดนี้ทั้งสวยงามและเคร่งขรึมไปพร้อมกัน
ถ้าบริเวณทำงานของเลขาหรูขนาดนี้ ห้องทำงานของผู้อำนวยการจะขนาดไหน
เมื่อเลขาสาวบอกผ่านเครื่องติดต่อภายในเข้าไปให้รู้ว่าเพื่อนซึ่งนัดไว้มาถึงแล้ว ร่างสูงใหญ่ผึ่งผายเป็นฝ่ายเปิดประตูออกมารับ แทนที่จะปล่อยให้คนมาขอพบเข้าไปหาเองอย่างที่นักธุรกิจผู้ยิ่งใหญ่ที่ไหนๆ ก็ทำกัน
สืบพงษ์ไม่อ้วนและไม่แก่อย่างที่วาดภาพไว้ ใบหน้าคมคายออกคล้ำเกรียมเหมือนถูกแดดเผา มีรอยเขียวครึ้มจางๆ ของไรหนวดเคราบริเวณคาง ทำให้ใบหน้าดูเข้มชวนมองขึ้นอีกมากทีเดียว นัยน์ตาคมลึกดูจะมองทุกสิ่งรอบตัวอย่างพินิจพิเคราะห์ สันจมูกตรง ริมฝีปากได้รูปขัดกับดวงตาได้อย่างน่าประหลาด เพราะดูเหมือนจะมีรอยยิ้มเยื้อนอยู่เกือบตลอดเวลา
ดูๆ ไปตาและปากของเขาราวจะสะท้อนสองด้านของความเป็นนักธุรกิจผู้ปราดเปรื่อง ด้านหนึ่งคือสายตาที่วิเคราะห์ทุกสิ่งทุกอย่างอย่างถี่ถ้วนอยู่เป็นนิจ ไม่ว่าจะมองอะไรก็จะพิจารณาให้เห็นและทำความเข้าใจอย่างทะลุปรุโปร่ง อีกด้านคือความเป็นมิตร ง่ายๆ และเป็นกันเอง คุณสมบัติหลังดูเหมือนจะแทรกแฝงเป็นกระสายอยู่ทุกอณูในความเป็นตัวตนของเขา
"คุณพราวไหมใช่ไหมครับ"
ไม่คอยให้อัญชลีเป็นคนแนะนำ เขาตรงเข้ามาหาขณะที่เธอลุกยืนเก้กังอยู่ข้างเพื่อนรัก
พราวไหมรีบหนีบแฟ้มเอกสารเข้าไว้กับสีข้าง กระพุ่มมือขึ้นไหว้แทบไม่ทัน
นักธุรกิจหนุ่มใหญ่ผงกศีรษะรับรู้แทนการรับไหว้
"อ้อนพูดถึงคุณให้ฟังเยอะแยะ จนต้องนัดคุณมาพบนี่แหละ กลัวจะไปได้งานที่อื่นเสียก่อน"
เสียงทุ้มลึกฟังดูสนิทสนม ทั้งๆ ที่เพิ่งรู้จักกัน ตลอดเวลาที่พูด ตาคมจับแน่วนิ่งอยู่ที่วงหน้าเธอ พอคนถูกมองทำท่าว่าอึดอัด เขาจึงได้รู้สึกตัว
"เชิญครับ เชิญข้างใน"
สุ้มเสียงเชิญชวนเปลี่ยนเป็นร่าเริง ออกจะขัดเขินกับความไม่มีมารยาทของตัวเอง มือใหญ่ๆ ผายไปทางประตูซึ่งนำไปสู่ห้องทำงานด้านใน
พราวไหมยิ้มออกมาได้ ชำเลืองมองเพื่อน ก่อนเดินตามไปแต่โดยดี
สืบพงษ์ชะงักเพียงแค่ประตูเมื่อนึกอะไรขึ้นได้ เขาหันกลับมาสั่งเลขานุการิณีของตัว
“อีกสักชั่วโมงช่วยสั่งอาหารกลางวันขึ้นมาหน่อยนะครับคุณอ้อน สำหรับสามคน คุณพราวไหม แล้วก็คุณด้วย”
พราวไหมรู้ล่วงหน้าจากเพื่อนรักแล้วว่าสืบพงษ์อาจชวนกินอาหารกลางวัน นั่นเป็นวิธีทำความรู้จักของเขา ยิ่งถ้าคนนั้นจะเข้าไปเกี่ยวข้องกับลูกสาว ยิ่งเป็นเรื่องสำคัญที่เขาต้องรู้จักและศึกษาให้แน่ใจเสียก่อน ด้วยเหตุนั้นเมื่อเขานัดให้มาพบเวลาสิบเอ็ดโมงตรง จึงค่อนข้างแน่ใจว่าเขาจะชักชวนให้ร่วมรับประทานอาหารกลางวันหลังจากนั้น
‘คุณสืบพงษ์แกฉลาด แกรู้วิธีดูคน คนไหนที่แกเพิ่งรู้จัก แล้วต้องการดูให้ถี่ถ้วน แกจะชวนกินข้าว แกว่าเวลากินข้าวแล้วคุยกัน มันไม่เป็นทางการจนเกินไป แกบอกว่าจะมองเห็นนิสัยใจคอของคนๆ นั้นได้ดีกว่ามานั่งสัมภาษณ์งานกันอย่างเป็นเรื่องเป็นราวเสียอีก’ อัญชลีแอบบอกให้รู้ล่วงหน้า
‘เพราะอย่างนั้นอย่าตกใจล่ะ ถ้าคุณสืบจะชวนกินข้าว’
“คงไม่รังเกียจที่จะทานกลางวันเป็นเพื่อนผมนะครับ คุณพราวไหม”
จะให้พราวไหมปฏิเสธได้อย่างไรถ้านี่เป็นวิธีสัมภาษณ์งานของนักธุรกิจผู้นี้ อีกทั้งวิธีการเชิญชวนของเขาก็เป็นกันเองเสียจนมองไม่เห็นว่าจะมีอะไรเคลือบแฝง
จึงรีบรับคำเชิญแทบไม่ทัน
“มะ...ไม่ค่ะ...คุณสืบพงษ์”
ตั้งใจให้เขารู้ด้วยว่าไม่เพียงไม่รังเกียจเท่านั้น ดีใจเสียอีกที่ได้รู้ว่าเขาใช้วิธีทำความรู้จักตามแบบที่เพื่อนรักบอก อัญชลีบอกว่าเขาจะใช้ก็แต่กับคนที่สนใจจริงๆ เท่านั้น
“ถ้างั้นทานอะไรดีครับ ชั้นล่างมีร้านอาหารญี่ปุ่นอยู่ร้านนึง อาหารอร่อยครับ”
เขาหันมาทางเลขาสาว
“เอาแบบนี้…คุณอ้อน คุณสั่งอะไรก็ได้สักสามสี่อย่าง ปลาดิบซักอย่าง” แต่ก็ยังไม่วายถามผู้มาสมัครงานเพื่อความแน่ใจ
“ทานปลาดิบได้หรือเปล่าครับ”
พราวไหมตอบได้ทันควัน…โดยไม่เสียเวลาคิด ตอนนี้อะไรก็กินได้ทั้งนั้นแหละ
“ได้ค่ะ ได้”
“ปลาดิบอีกที่ให้คุณพราวไหมด้วยนะครับคุณอ้อน แล้วอะไรอีกก็ได้ ตามใจคุณ เอาเป็นตามนั้นก็แล้วกัน”
‘ผู้นำตัวจริงเลยล่ะนี่’
พราวไหมฟังเขาสั่งอาหารแล้วได้แต่คิดอยู่ในใจ ไม่ถามก่อนด้วยซ้ำว่าจะรับประทานอาหารด้วยหรือไม่ เหมาเอาเองเสร็จสรรพเลยว่าไม่ขัดข้องแน่ๆ แถมลักษณะการแนะนำอาหารนั้นเหมือนคำสั่งเสียมากกว่า
ว่าไปแล้วเธอเองก็ชอบคนที่มีบุคลิกแบบนี้ แม้เขาจะแสดงความเป็นผู้นำตามความเคยชิน แต่ก็ทำได้อย่างสุภาพและเป็นกันเองเสียเหลือเกิน ไม่เพียงเท่านั้น ดูเหมือนจะเข้าใจข้อจำกัดของผู้หญิงสาวๆ อีกด้วย ถ้าชวนกินอาหารกันสองต่อสองตั้งแต่ครั้งแรกที่รู้จักกัน ก็คงกระไรอยู่ เขาจึงได้ชวนอัญชลีด้วยอีกคน คงเพื่อไม่ให้อึดอัดใจกันทั้งสองฝ่ายนั่นเอง
ออกคำสั่งกับเลขาส่วนตัวไปแล้ว สืบพงษ์หัวเราะอย่างนึกขันตัวเองเมื่อคิดได้
“ขอโทษครับคุณพราวไหม ผมสั่งให้ใครทำอะไรต่ออะไรเสียจนเคยตัว คือผมเป็นคนทำอะไรรีบร้อนเสมอ ชีวิตมันยุ่งอยู่ตลอดเวลาน่ะครับ ก็เลยลืมถามก่อนว่าคุณจะเป็นเพื่อนทานกลางวันกับผมได้ไหม ถ้าตกลง ก็อยากทานอะไร ต้องเป็นขั้นตอนอย่างนั้นใช่ไหมครับ ถึงจะถูก”
พราวไหมบอกตัวเองอีกว่าชักชอบนายจ้างคนนี้ของอัญชลีเสียแล้ว ในบุคลิกความเป็นผู้นำของเขา มีความเป็นกันเองแทรกแฝงอยู่ด้วยเสมอ เขาทำให้ผู้หญิงตัวเล็กๆ ที่มาสมัครงานอย่างเธอลดความเครียดเกร็งได้ด้วยคำพูดเพียงไม่กี่ประโยค
“ไม่เป็นไรหรอกค่ะ คุณสืบพงษ์ อะไรก็ได้ค่ะ”
นักธุรกิจหนุ่มใหญ่ยิ้มอย่างพึงพอใจ ก่อนย้ำสั่งเลขาส่วนตัวอีกครั้ง
“ก็ตามนั้นก็แล้วกันนะครับคุณอ้อน ให้เขาเอาขึ้นมาสักเที่ยงตรง อาหารขึ้นมาแล้ว คุณเข้ามาตามได้เลย”
“ค่ะ คุณสืบ”
เลขาสาวรับคำแล้วมองเลยไปยิ้มให้กำลังใจเพื่อน
ระบำเงา (บทที่ 8)
ขอบคุณ คุณ สมาชิกหมายเลข 1065771, น้องดาว Lady Star 919, น้องมัด ฮิปโปโปตัวโตพุงโลชะมัด, คุณ พวงดารา, คุณซูซี่ Susisiri, จารย์จี GTW, คุณ
สาวอิสานกับบ่าวเมืองเหนือ, คุณ สมาชิกหมายเลข 868629, คุณนัน turtle_cheesecake, คุณนะ เป่าชาง, คุณป้าทุยบ้านทุ่ง, คุณลิ ลายลิขิต
ขอบคุณทุกคะแนนโหวตด้วยค่ะ
บทก่อนหน้าค่ะ
บทนำ https://ppantip.com/topic/36387078
บทที่ 1 https://ppantip.com/topic/36392612
บทที่ 2 https://ppantip.com/topic/36400065
บทที่ 3 https://ppantip.com/topic/36407292
บทที่ 4 https://ppantip.com/topic/36411315
บทที่ 5 https://ppantip.com/topic/36419344
บทที่ 6 https://ppantip.com/topic/36427179
บทที่ 7 https://ppantip.com/topic/36430854
นักธุรกิจหนุ่มใหญ่ผู้เป็นนายจ้างของเพื่อนรักผิดไปจากภาพที่วาดไว้ในใจมากทีเดียว เมื่ออัญชลีเล่าให้ฟังถึงผู้บริหารศูนย์การค้าวัยต้นสี่สิบ พราวไหมคิดว่าเขาคงอุดมสมบูรณ์ทั้งรูปร่างและหน้าตา…ตามรูปลักษณ์ของคนวัยนั้นเท่าที่เคยเห็น และคงวางตัวให้น่ายำเกรงอย่างนักธุรกิจผู้ประสบความสำเร็จในชีวิตและหน้าที่การงาน ยิ่งเมื่อเดินเข้าไปในห้องโถงกว้างขวางทางตอนหน้าซึ่งเป็นห้องทำงานของเลขานุการิณีส่วนตัว ก็ยิ่งเหมือนจะตอกย้ำความคิดนั้น
ห้องทำงานของอัญชลีซึ่งใช้เป็นห้องรับแขกด้วยปูพรมหนาสีน้ำเงินเข้ม เป็นสีเดียวกับผนังทางฝั่งตรงข้ามประตูที่เพิ่งเดินเข้ามา ในขณะที่อีกสามด้านเป็นสีขาวนวล กลางห้องเป็นชุดรับแขกชุดใหญ่ ประกอบด้วยโต๊ะกลาง พื้นผิวตอนบนเป็นกระจกสีชา ล้อมรอบด้วยเก้าอี้นวมหุ้มผ้าเนื้อหยาบสีน้ำเงินอ่อน โต๊ะทำงานของอัญชลีอยู่มุมห้องทางฝั่งขวา หันหน้ามาทางประตู
ความโล่งโถง สีที่ใช้ และลักษณะของเฟอร์นิเจอร์ ช่วยให้ทั้งหมดนี้ทั้งสวยงามและเคร่งขรึมไปพร้อมกัน
ถ้าบริเวณทำงานของเลขาหรูขนาดนี้ ห้องทำงานของผู้อำนวยการจะขนาดไหน
เมื่อเลขาสาวบอกผ่านเครื่องติดต่อภายในเข้าไปให้รู้ว่าเพื่อนซึ่งนัดไว้มาถึงแล้ว ร่างสูงใหญ่ผึ่งผายเป็นฝ่ายเปิดประตูออกมารับ แทนที่จะปล่อยให้คนมาขอพบเข้าไปหาเองอย่างที่นักธุรกิจผู้ยิ่งใหญ่ที่ไหนๆ ก็ทำกัน
สืบพงษ์ไม่อ้วนและไม่แก่อย่างที่วาดภาพไว้ ใบหน้าคมคายออกคล้ำเกรียมเหมือนถูกแดดเผา มีรอยเขียวครึ้มจางๆ ของไรหนวดเคราบริเวณคาง ทำให้ใบหน้าดูเข้มชวนมองขึ้นอีกมากทีเดียว นัยน์ตาคมลึกดูจะมองทุกสิ่งรอบตัวอย่างพินิจพิเคราะห์ สันจมูกตรง ริมฝีปากได้รูปขัดกับดวงตาได้อย่างน่าประหลาด เพราะดูเหมือนจะมีรอยยิ้มเยื้อนอยู่เกือบตลอดเวลา
ดูๆ ไปตาและปากของเขาราวจะสะท้อนสองด้านของความเป็นนักธุรกิจผู้ปราดเปรื่อง ด้านหนึ่งคือสายตาที่วิเคราะห์ทุกสิ่งทุกอย่างอย่างถี่ถ้วนอยู่เป็นนิจ ไม่ว่าจะมองอะไรก็จะพิจารณาให้เห็นและทำความเข้าใจอย่างทะลุปรุโปร่ง อีกด้านคือความเป็นมิตร ง่ายๆ และเป็นกันเอง คุณสมบัติหลังดูเหมือนจะแทรกแฝงเป็นกระสายอยู่ทุกอณูในความเป็นตัวตนของเขา
"คุณพราวไหมใช่ไหมครับ"
ไม่คอยให้อัญชลีเป็นคนแนะนำ เขาตรงเข้ามาหาขณะที่เธอลุกยืนเก้กังอยู่ข้างเพื่อนรัก
พราวไหมรีบหนีบแฟ้มเอกสารเข้าไว้กับสีข้าง กระพุ่มมือขึ้นไหว้แทบไม่ทัน
นักธุรกิจหนุ่มใหญ่ผงกศีรษะรับรู้แทนการรับไหว้
"อ้อนพูดถึงคุณให้ฟังเยอะแยะ จนต้องนัดคุณมาพบนี่แหละ กลัวจะไปได้งานที่อื่นเสียก่อน"
เสียงทุ้มลึกฟังดูสนิทสนม ทั้งๆ ที่เพิ่งรู้จักกัน ตลอดเวลาที่พูด ตาคมจับแน่วนิ่งอยู่ที่วงหน้าเธอ พอคนถูกมองทำท่าว่าอึดอัด เขาจึงได้รู้สึกตัว
"เชิญครับ เชิญข้างใน"
สุ้มเสียงเชิญชวนเปลี่ยนเป็นร่าเริง ออกจะขัดเขินกับความไม่มีมารยาทของตัวเอง มือใหญ่ๆ ผายไปทางประตูซึ่งนำไปสู่ห้องทำงานด้านใน
พราวไหมยิ้มออกมาได้ ชำเลืองมองเพื่อน ก่อนเดินตามไปแต่โดยดี
สืบพงษ์ชะงักเพียงแค่ประตูเมื่อนึกอะไรขึ้นได้ เขาหันกลับมาสั่งเลขานุการิณีของตัว
“อีกสักชั่วโมงช่วยสั่งอาหารกลางวันขึ้นมาหน่อยนะครับคุณอ้อน สำหรับสามคน คุณพราวไหม แล้วก็คุณด้วย”
พราวไหมรู้ล่วงหน้าจากเพื่อนรักแล้วว่าสืบพงษ์อาจชวนกินอาหารกลางวัน นั่นเป็นวิธีทำความรู้จักของเขา ยิ่งถ้าคนนั้นจะเข้าไปเกี่ยวข้องกับลูกสาว ยิ่งเป็นเรื่องสำคัญที่เขาต้องรู้จักและศึกษาให้แน่ใจเสียก่อน ด้วยเหตุนั้นเมื่อเขานัดให้มาพบเวลาสิบเอ็ดโมงตรง จึงค่อนข้างแน่ใจว่าเขาจะชักชวนให้ร่วมรับประทานอาหารกลางวันหลังจากนั้น
‘คุณสืบพงษ์แกฉลาด แกรู้วิธีดูคน คนไหนที่แกเพิ่งรู้จัก แล้วต้องการดูให้ถี่ถ้วน แกจะชวนกินข้าว แกว่าเวลากินข้าวแล้วคุยกัน มันไม่เป็นทางการจนเกินไป แกบอกว่าจะมองเห็นนิสัยใจคอของคนๆ นั้นได้ดีกว่ามานั่งสัมภาษณ์งานกันอย่างเป็นเรื่องเป็นราวเสียอีก’ อัญชลีแอบบอกให้รู้ล่วงหน้า ‘เพราะอย่างนั้นอย่าตกใจล่ะ ถ้าคุณสืบจะชวนกินข้าว’
“คงไม่รังเกียจที่จะทานกลางวันเป็นเพื่อนผมนะครับ คุณพราวไหม”
จะให้พราวไหมปฏิเสธได้อย่างไรถ้านี่เป็นวิธีสัมภาษณ์งานของนักธุรกิจผู้นี้ อีกทั้งวิธีการเชิญชวนของเขาก็เป็นกันเองเสียจนมองไม่เห็นว่าจะมีอะไรเคลือบแฝง
จึงรีบรับคำเชิญแทบไม่ทัน
“มะ...ไม่ค่ะ...คุณสืบพงษ์”
ตั้งใจให้เขารู้ด้วยว่าไม่เพียงไม่รังเกียจเท่านั้น ดีใจเสียอีกที่ได้รู้ว่าเขาใช้วิธีทำความรู้จักตามแบบที่เพื่อนรักบอก อัญชลีบอกว่าเขาจะใช้ก็แต่กับคนที่สนใจจริงๆ เท่านั้น
“ถ้างั้นทานอะไรดีครับ ชั้นล่างมีร้านอาหารญี่ปุ่นอยู่ร้านนึง อาหารอร่อยครับ”
เขาหันมาทางเลขาสาว
“เอาแบบนี้…คุณอ้อน คุณสั่งอะไรก็ได้สักสามสี่อย่าง ปลาดิบซักอย่าง” แต่ก็ยังไม่วายถามผู้มาสมัครงานเพื่อความแน่ใจ
“ทานปลาดิบได้หรือเปล่าครับ”
พราวไหมตอบได้ทันควัน…โดยไม่เสียเวลาคิด ตอนนี้อะไรก็กินได้ทั้งนั้นแหละ
“ได้ค่ะ ได้”
“ปลาดิบอีกที่ให้คุณพราวไหมด้วยนะครับคุณอ้อน แล้วอะไรอีกก็ได้ ตามใจคุณ เอาเป็นตามนั้นก็แล้วกัน”
‘ผู้นำตัวจริงเลยล่ะนี่’
พราวไหมฟังเขาสั่งอาหารแล้วได้แต่คิดอยู่ในใจ ไม่ถามก่อนด้วยซ้ำว่าจะรับประทานอาหารด้วยหรือไม่ เหมาเอาเองเสร็จสรรพเลยว่าไม่ขัดข้องแน่ๆ แถมลักษณะการแนะนำอาหารนั้นเหมือนคำสั่งเสียมากกว่า
ว่าไปแล้วเธอเองก็ชอบคนที่มีบุคลิกแบบนี้ แม้เขาจะแสดงความเป็นผู้นำตามความเคยชิน แต่ก็ทำได้อย่างสุภาพและเป็นกันเองเสียเหลือเกิน ไม่เพียงเท่านั้น ดูเหมือนจะเข้าใจข้อจำกัดของผู้หญิงสาวๆ อีกด้วย ถ้าชวนกินอาหารกันสองต่อสองตั้งแต่ครั้งแรกที่รู้จักกัน ก็คงกระไรอยู่ เขาจึงได้ชวนอัญชลีด้วยอีกคน คงเพื่อไม่ให้อึดอัดใจกันทั้งสองฝ่ายนั่นเอง
ออกคำสั่งกับเลขาส่วนตัวไปแล้ว สืบพงษ์หัวเราะอย่างนึกขันตัวเองเมื่อคิดได้
“ขอโทษครับคุณพราวไหม ผมสั่งให้ใครทำอะไรต่ออะไรเสียจนเคยตัว คือผมเป็นคนทำอะไรรีบร้อนเสมอ ชีวิตมันยุ่งอยู่ตลอดเวลาน่ะครับ ก็เลยลืมถามก่อนว่าคุณจะเป็นเพื่อนทานกลางวันกับผมได้ไหม ถ้าตกลง ก็อยากทานอะไร ต้องเป็นขั้นตอนอย่างนั้นใช่ไหมครับ ถึงจะถูก”
พราวไหมบอกตัวเองอีกว่าชักชอบนายจ้างคนนี้ของอัญชลีเสียแล้ว ในบุคลิกความเป็นผู้นำของเขา มีความเป็นกันเองแทรกแฝงอยู่ด้วยเสมอ เขาทำให้ผู้หญิงตัวเล็กๆ ที่มาสมัครงานอย่างเธอลดความเครียดเกร็งได้ด้วยคำพูดเพียงไม่กี่ประโยค
“ไม่เป็นไรหรอกค่ะ คุณสืบพงษ์ อะไรก็ได้ค่ะ”
นักธุรกิจหนุ่มใหญ่ยิ้มอย่างพึงพอใจ ก่อนย้ำสั่งเลขาส่วนตัวอีกครั้ง
“ก็ตามนั้นก็แล้วกันนะครับคุณอ้อน ให้เขาเอาขึ้นมาสักเที่ยงตรง อาหารขึ้นมาแล้ว คุณเข้ามาตามได้เลย”
“ค่ะ คุณสืบ”
เลขาสาวรับคำแล้วมองเลยไปยิ้มให้กำลังใจเพื่อน