ระบำเงา (บทที่ 2)

ขอบคุณทุกคนที่อ่านเรื่องนี้นะคะ
ขอบคุณ คุณ CAN LIVE, คุณ วราภรณ์ pink, คุณซูซี่ Susisiri, น้องดาว Lady Star 919, จารย์จี GTW, คุณ นิตยา นิรันดร์รัก, คุณนะ เป่าชาง, คุณ ป้าทุยบ้านทุ่ง, คุณ พวงดารา, คุณนัน turtle_cheesecake, น้องมัด ฮิปโปโปตัวโตพุงโลชะมัด
ขอบคุณทุกคะแนนโหวตด้วยค่ะ

บทก่อนหน้าค่ะ
บทนำ   https://ppantip.com/topic/36387078
บทที่ 1  https://ppantip.com/topic/36392612


บทที่ 2



    "จะไปไหนหรือ"

    นัยน์ตาคมปลาบเพ่งดูหญิงสาวที่กำลังจัดโต๊ะอาหารเช้า เห็นว่าอยู่ในชุดกางเกงขายาวผ้าลินินสีเทาเข้ม เสื้อเชิ้ตแขนยาว สีกลีบบัวโรย ดูเรียบร้อย ทะมัดทะแมงเกินกว่าจะใช้ใส่อยู่กับบ้าน

    ใบหน้าหมดจดเหลียวหลังมามองเมื่อได้ยินเสียงถาม

    "พราวจะไปเยี่ยมพี่ที่รู้จักกันน่ะค่ะ มีคนรู้จักฝากหนังสือมาให้แก"

    ชายหนุ่มเดินเรียบเรื่อยมาหยุดยืนดูอาหารบนโต๊ะ ขณะที่อีกผ่ายก็เอาแต่ก้มหน้าก้มตารินน้ำจากเหยือกใส่แก้วทั้งสามใบ และเลี่ยงที่จะสบตาเขา

    "พี่นิพนธ์น่ะหรือ"

    นั่นแหละ พราวไหมจึงคิดขึ้นได้ว่าภาษิตรู้จักนิพนธ์ดี ในเมื่อเคยเรียนอยู่ด้วยกัน แต่เขาจบปริญญาโทกลับมาก่อน และเมื่อเธอไปเรียนในมหาวิทยาลัยเดียวกันนั้น นิพนธ์กำลังจะจบปริญญาเอกพอดี     

    "ค่ะ พี่นิพนธ์"

    ภาษิตมองใบหน้าหมดจดอย่างรู้ทัน นิพนธ์เป็นอาจารย์สอนอยู่ที่เดียวกับทัศนัย รู้ดีถึงความสัมพันธ์ระหว่างพราวไหมและเพื่อนร่วมรุ่นผู้นั้น
หากก็ไม่พูดอะไร ทรุดนั่งลงบนเก้าอี้ตัวหัวโต๊ะ มองดูมือบางๆ ตักข้าวต้มใส่ถ้วยแล้วเลื่อนมาวางให้ตรงหน้า

    จริงๆ แล้วพราวไหมก็บอกตัวเองไม่ได้เหมือนกันว่าทำไมจึงอยากไปหารุ่นพี่ผู้นั้นตั้งแต่วันแรกที่มาถึงเมืองไทย ไปเพื่อให้ได้เห็น 'เขา' อีกสักครั้งก่อน 'เขา' จะแต่งงานอย่างนั้นหรือ ไปเพื่อให้ได้พบและได้เจรจากันซึ่งๆ หน้าว่ามันเรื่องอะไรจึงได้ตัดสินใจแต่งงานกับคนอื่นอย่างนั้นหรือ เจรจากันแล้วจะได้อะไรขึ้นมา ในเมื่อกำหนดวันแต่งงานของเขาก็อีกสองอาทิตย์ที่จะถึงนี่แล้ว

    "เดี๋ยวพี่ไปส่ง"

    เสียงห้าวๆ ว่าไปเรื่อยเปื่อย ตาจ้องข้าวต้มในถ้วย พอย้ายไปจับนิ่งอยู่ที่มือเล็กๆ ซึ่งกำลังเลื่อนถ้วยเล็กถ้วยน้อยใส่เครื่องปรุงสารพัดประเภทมาให้ก็เห็นว่ามือข้างนั้นชะงักไปครู่หนึ่ง

    พราวไหมชำเลืองดูคนพูด.. ตื่นตะลึง ไม่ใช่เพราะข้อเสนอของเขาหรอก แต่เพราะคำแทนตัวที่เขาใช้มากกว่า ไม่บ่อยนักหรอกที่คุณรองจะแทนตัวเองว่า 'พี่' ในเวลาที่พูดด้วย

    หากคนพูดก็ไม่แสดงทีท่าว่าสังเกตเห็นอากัปกิริยาผิดปกตินั้นแต่อย่างใด

    "อาพรรณล่ะ"

    นั่นแหละหญิงสาวจึงได้สติ

    "แม่อยู่ในครัวค่ะ พราวไปบอกแม่นะคะ ว่าคุณรองลงมาแล้ว"

    เหลือบมองมือใหญ่ขาวสะอาดตักตังฉ่ายใส่ลงในชามข้าวต้ม เมื่อไม่เห็นว่าเขาจะพูดหรือสั่งอีก จึงเลี่ยงออกมาเสียจากห้องอาหาร โล่งใจไม่น้อยที่ไม่ต้องอยู่กันตามลำพังสองต่อสองเป็นเวลานาน

    พ้นธรณีประตูออกมาไม่ทันไรก็เห็นผู้เป็นมารดาเดินฉับๆ ออกมาจากห้องเตรียมอาหาร มือหนึ่งถือจานใบเล็กๆ มีแผ่นขนมปังสีน้ำตาลอ่อนซ้อนกันสองแผ่น อีกมือถือถ้วยบรรจุน้ำผึ้ง

    "คุณรองลงมาหรือยัง"

    "ลงมาแล้วค่ะ"

    "เห็นคุณรองชอบขนมปังชุบไข่ทอดราดน้ำผึ้ง แม่ก็เลยไปทำมาให้"

    ภาษิตได้ยินคำพูดนั้นแว่วๆ จึงรีบลุกยืนเมื่อเห็นสองคนแม่ลูกเดินเคียงกันกลับเข้ามา

    "เกรงใจจังครับคุณอา ที่จริงไม่ต้องทำอะไรเป็นพิเศษให้ผมหรอก"

    พราวไหมรับจานขนมปังและถ้วยน้ำผึ้งจากมือแม่แล้ววางลงตรงหน้าชายหนุ่ม สิ่งหนึ่งที่ทำให้เธอชอบภาษิตมากกว่าคนอื่นๆ ก็ตรงที่เขาเป็นคนเดียวในครอบครัวนี้ที่ให้ความเคารพนับถือแม่พรพรรณของเธออย่างเสมอต้นเสมอปลาย แม้เขาจะเฉยเมยกับเธอเป็นส่วนใหญ่ หากคราใดที่เขาแสดงให้เห็นว่าเคารพแม่เพียงไร นั่นก็ทำให้ตื้นตันใจได้ครานั้น

    แรกๆ ก็ไม่เข้าใจหรอกว่าเขาจะต่างจากพี่ชายมากมายขนาดนั้นได้อย่างไร แต่พอได้พบและพูดคุยกับคุณหญิงผกาในวันแต่งงานคุณใหญ่วันนั้น...แม้จะเพียงในชั่วเวลาสั้นๆ...หากก็พอเดาได้ว่าทำไม คงเป็นเพราะเขาใกล้ชิดคุณหญิงผู้เป็นแม่มากกว่านักธุรกิจผู้ถนัดต่อการเชือดเฉือนคู่แข่งแบบไม่ไว้หน้าอย่างพ่อนั่นเอง

    "ไม่เป็นไรหรอกค่ะคุณรอง นานๆ คุณรอง จะมาทานข้าวด้วยสักครั้ง"

พรพรรณทรุดนั่งลงฝั่งตรงข้ามของลูกสาว มองดูพราวไหมตักข้าวต้มมาวางให้ แล้วอ้อมโต๊ะกลับไปตักให้ตัวเองอีกที่

    นั่นก็เหมือนจบบทสนทนาของทั้งสามคนลงชั่วคราว ต่างฝ่ายต่างก้มหน้าก้มตาจัดการกับอาหารเช้าเงียบๆ แม้จะมีเรื่องให้ต้องพูดคุยกันน้อยมาก แต่พราวไหมเริ่มรู้สึกว่ากลับมาเมืองไทยคราวนี้...หลังจากที่ไปเรียนต่างประเทศเสียสองปี...ภาษิตมีความเป็นกันเองมากขึ้น กับแม่ของเธอนั้นเขาให้ความเป็นกันเองมานานแล้ว แต่สำหรับเธอ เขาเคยห่างเหินและไว้ตัวเอามากๆ ท่าทีที่เปลี่ยนไปคราวนี้ ทำให้แปลกใจได้ไม่น้อย แต่ไม่ว่าจะเป็นกันเองเพียงไร ก็ยังไม่กล้าสบตาเขาตรงๆ อยู่เหมือนเดิม

เขาเองก็คงรู้ จึงไม่พยายามมองเธอตรงๆ เช่นกัน

    มีสิ่งหนึ่งเกี่ยวกับภาษิตทำให้พราวไหมตะขิดตะขวงใจที่จะเห็นหน้าหรือพูดคุยด้วยเสมอ...สายตาตื่นตระหนกครั้งนั้นของเขายังฝังใจไม่รู้ลืม ความอับอายที่เขามาเป็นผู้รู้เห็นเหตุการณ์น่ารังเกียจ น่าขยะแขยงในคราวนั้น ทำให้มองเขาไม่ติดอีกเลย และดูเหมือนเหตุการณ์นั้นกลายเป็นเสมือนหุบเหวกว้างใหญ่ไพศาลที่แยกเธอจากลูกชายคนรองของคุณภูมิอย่างชนิดที่หาอะไรมาถมได้ไม่มีวันเต็ม

    พราวไหมเข้าใจดีว่าทำไมภาสกร...ลูกชายคนโตของบ้านหลังนี้…จึงรังเกียจเธอและแม่นักหนา เมื่อครั้งที่คุณหญิงผการู้ว่าคุณภูมิไปติดพันแม่จนถึงขั้นมีอะไรกัน และหลงขนาดตั้งใจจะพามาอยู่ด้วย คุณหญิงผกาจึงตัดสินใจย้ายออกไปจากบ้านเสียก่อนหน้า และไม่ยอมมีส่วนเกี่ยวข้องกับสามีอีกเลย นอกจากนานๆ ต้องไปออกงานเพื่อรักษาหน้าตาในสังคมด้วยกันสักครั้ง แต่กรณีแบบนั้นก็เกิดขึ้นน้อยครั้งเต็มที

    "เย็นนี้กลับมาทานข้าวด้วยกันอีกสิคะคุณรอง" คราวนี้พรพรรณเป็นคนทำลายความเงียบขึ้นบ้าง

    ด้วยคำเชิญชวนนั้นของแม่ พราวไหมชายตาดูคนซึ่งนั่งอยู่ที่หัวโต๊ะ เห็นก็แต่มือขาวๆ นิ้วเรียวยาวอย่างนิ้วศิลปินแตะอยู่ที่แก้วใสใส่น้ำเย็นจัด มีหยดน้ำเกาะพร่างพราวอยู่โดยรอบ

    "ดูก่อนนะครับคุณอา ถ้างานไม่ยุ่ง ผมจะโทรมาบอกอีกที บางวันงานยุ่ง กว่าจะออกจากที่ทำงานได้ก็ค่ำไปแล้วแหละครับ กลัวว่าถ้านัดว่าจะมาแล้วมาไม่ได้ คุณอาจะรอเก้อ" ภาษิตตอบรับยิ้มๆ

    "ไม่เป็นไรค่ะ ถ้าคุณรองมาไม่ได้ก็ไม่เป็นไร ถ้ามาได้ โทร.มาบอกนะคะ อาจะได้เตรียมของที่คุณรองชอบทานไว้ให้"

    "ครับ ยังไงผมจะโทรมาบอก"

    พราวไหมเหลือบมองใบหน้าคมสันกำลังยิ้มพรายเพียงแวบเดียว หลบวูบเมื่อเห็นว่าเขากำลังทอดสายตามาทางนี้พอดี ก้มหน้าก้มตาเขี่ยข้าวต้มในถ้วยขณะฟังทั้งคู่คุยกัน เธอพึงพอใจกับบรรยากาศเป็นกันเองที่ไม่ค่อยจะมีเกิดขึ้นบ่อยนักในบ้านหลังนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อไม่มีประมุขของบ้านร่วมอยู่ด้วย บรรยากาศชวนอึดอัดจึงยังไม่มีให้รู้สึก นั่งฟังเสียงหัวเราะหึๆ ในลำคอของชายหนุ่มทุกครั้งที่เขาพึงพอใจในสิ่งที่ได้ยิน

ตลอดเวลาสิบกว่าปีที่ผ่านมา แม้เจ็ดแปดปีหลังๆ จะไม่ค่อยได้อยู่ที่นี่ แต่ก็ไม่เคยคิดว่าวันหนึ่งจะรู้สึกผ่อนคลายได้ถึงเพียงนี้
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่