ระบำเงา (บทที่ 10)

ขอบคุณทุกคนที่อ่านเรื่องนี้นะคะ
ขอบคุณ คุณ สมาชิกหมายเลข 1065771, น้องดาว Lady Star 919, คุณ สมาชิกหมายเลข 1509172, คุณ สมาชิกหมายเลข 868629, คุณนัน turtle_cheesecake, คุณ ป้าทุยบ้านทุ่ง, คุณ พวงดารา, น้องมัด มัศยวีร์, จารย์จี GTW, คุณนะ Na(นะ)
ขอบคุณทุกคะแนนโหวตด้วยค่ะ

บทก่อนหน้าค่ะ
บทนำ   https://ppantip.com/topic/36387078
บทที่ 1  https://ppantip.com/topic/36392612
บทที่ 2  https://ppantip.com/topic/36400065
บทที่ 3  https://ppantip.com/topic/36407292
บทที่ 4  https://ppantip.com/topic/36411315
บทที่ 5  https://ppantip.com/topic/36419344
บทที่ 6  https://ppantip.com/topic/36427179
บทที่ 7  https://ppantip.com/topic/36430854
บทที่ 8  https://ppantip.com/topic/36434883
บทที่ 9  https://ppantip.com/topic/36442539



บทที่ 10



    พราวไหมมองตามร่างสูงตรงซึ่งเดินนำอยู่ข้างหน้า แผ่นหลังกว้างกำยำซ่อนอยู่ในสูทสีกรมท่า คุณปัญชลีย์ว่าเป็นผู้หญิงที่มีรูปร่างสูงแล้ว หากพอมาเดินเคียงคุณสืบพงษ์อย่างนี้ ทั้งรวมเอารองเท้าส้นสูงเข้าไปด้วย หล่อนยังสูงเลยบ่าเขาไม่มากเลย ที่แน่ๆ ทั้งคู่ดูเหมาะสมกันเหลือเกิน เรือนร่างได้สัดส่วนงามระหงนั้นต้องเดินคู่กับผู้ชายที่มีท่วงท่าผึ่งผายแบบนี้ จึงจะไปด้วยกันได้ดี

    อีกด้านของเขาเป็นลูกสาวซึ่งเห็นชัดแล้วว่าติดพ่อแจ ปัญชิกาเกาะกุมมือพ่อไว้ตลอดเวลา ดูไปแล้วเหมือนพยายามอยู่ให้ห่างแม่มากที่สุด โดยใช้พ่อเป็นเกราะช่วยกันแม่ออกไป

    จากลิฟต์สำหรับเจ้าหน้าที่และผู้บริหารศูนย์การค้ามาถึงร้านอาหารจีนนั้นไม่ไกลเลย หากเพียงระยะทางสั้นๆ แค่นี้พราวไหมก็มีโอกาสได้เห็นความสนิทสนมแนบแน่นระหว่างพ่อลูก เขาชี้ชวนให้ลูกสาวดูโน่นนี่แทบจะตลอดทาง ส่วนลูกก็ยึดมือพ่อไว้ตลอดทางเช่นกัน

    ฝ่ายแม่เด็กก็ไม่ยอมน้อยหน้า ทุกครั้งที่พ่อหันไปคุยกับลูก แม่จะสอดแขนเข้าโอบเขาทางด้านหลังแล้วยื่นหน้าไปกระซิบกระซาบอะไรบางอย่างจนใกล้ จากนั้นก็เลื่อนทั้งสองมือลงโอบแขนเขามาแนบไว้กับตัว ในขณะที่คนกลางไม่แสดงทีท่ารับรู้การต่อสู้กันเองระหว่างแม่ลูกนั้นแม้แต่น้อย หรืออาจรู้ หากไม่แสดงออกก็เป็นได้

    พราวไหมเห็นแล้วก็เศร้าใจ คนซึ่งไม่รู้เรื่องราวคงคิดว่านี่เป็นครอบครัวที่อบอุ่นครอบครัวหนึ่งเป็นแน่

เหลียวมองเพื่อนรักซึ่งเดินเคียงมาข้างๆ ก็พอดีสบตากัน ฝ่ายนั้นยิ้ม แสดงว่าเข้าใจ

แทบสะดุ้งเมื่อคนเดินนำอยู่ข้างหน้าเหลียวหลังมาขอคำยืนยันอีกครั้ง

“ตกลงร้านนี้นะครับคุณพราว”    

เขาจะรู้ไหมนะว่าเธอเฝ้าดูเขามาตลอดทาง ตอนอยู่ในลิฟต์นั้นไม่กล้าหรอก ในเมื่อสายตาคมปลาบดุดันของคุณปัญชลีย์คอยปรามอยู่ตลอดเวลา ที่จริงเขาไม่จำเป็นต้องถามเพื่อความแน่ใจอีกครั้งก็ได้ เธอไม่ได้สลักสำคัญอะไรถึงขนาดนั้นสักหน่อย

ก้าวยาวๆ ให้ใกล้เขาเข้าไปอีกนิดเพื่อจะได้ไม่ต้องตะโกนตอบ

“ค่ะ คุณสืบ”

    ห้องอาหารจีนซึ่งตั้งอยู่ชั้นล่างสุดของศูนย์การค้าแห่งนี้กว้างขวางทีเดียว ดูจากภายนอกราวจะกินเนื้อที่เท่ากับร้านอื่นสามร้านรวมกัน หน้าร้านมีสิงโตแบบจีนขนาบสองข้างประตูซึ่งเป็นไม้ ตีกรอบด้วยลวดลายต้นไผ่และใบไผ่ บานประตูสลักลายดอกโบตั๋นแล้วแต้มสีสวยงามทีเดียว

ดูเหมือนคุณสืบพงษ์จะคุ้นเคยกับที่นี่เป็นอย่างดี เขาทักทายทุกคนอย่างเป็นกันเอง นับตั้งแต่พนักงานต้อนรับที่ประตู เรื่อยไปจนถึงบริกรแทบจะทุกคนที่เห็น

    กำลังเลือกอาหารจากเมนูซึ่งพนักงานต้อนรับมาส่งให้ได้เพียงไม่นาน ผู้ชายวัยกลางคนมีเสื้อสีขาวสวมทับเสื้อตัวในก็เดินเร็วๆ ออกมาจากด้านหลัง ตรงรี่เข้ากระพุ่มมือไหว้ผู้อำนวยการใหญ่ของศูนย์การค้าอย่างนอบน้อม ทั้งๆที่ดูเผินๆ ก็รู้ว่าสูงวัยกว่าอยู่หลายปี

    สืบพงษ์หันไปเห็นว่าเป็นใครก็รีบวางรายการอาหารลงบนโต๊ะ แล้วลุกยืนอย่างมีมารยาทพร้อมรับไหว้

“คุณวิศิษฐ์ วันนี้อยู่นี่หรือฮะ”

“ครับ คุณสืบ สองสามเดือนมานี่ที่นี่ยุ่งกว่าที่รัชดาฯครับ ก็เลยให้ลูกชายคุมร้านโน้นแทน” สำเนียงฟังดูก็รู้ว่าคนพูดมีเชื้อจีน

คนหนุ่มกว่าเหลียวมองไปรอบห้องกว้างขวางนั้นก็เห็นจริง เวลาเที่ยงวันเช่นนี้แทบหาโต๊ะว่างไม่ได้เลย

“คงมีลูกค้าประจำแล้วใช่ไหมครับ”

“ครับ หลายคนแล้ว ได้งานโชว์อาหารนานาชาติที่คุณสืบจัดคราวนั้นแหละครับ ทำให้คนรู้เมนูอาหารของผมมากขึ้น ส่วนใหญ่กลางวันอย่างนี้ก็คนทำงานแถวนี้ อ้าว! ผมมัวชวนคุณสืบคุย เชิญครับ เชิญตามสบาย”

    พ่อครัวใหญ่ผู้เป็นเจ้าของร้านผายมือมาที่เก้าอี้ กวาดสายตาไปรอบโต๊ะ สบตาคนโน้นคนนี้ พร้อมกับผงกศีรษะทักทายจนครบทุกคน

    “เชิญตามสบายนะครับ”

    สืบพงษ์กลับนั่งลงดังเดิมเมื่อฝ่ายนั้นผละจากไป ก้มลงกวาดตาดูรายการอาหารแวบหนึ่งก่อนเงยกลับขึ้นหาหญิงสาวซึ่งนั่งอยู่ตรงหน้า…อีกฝั่งของโต๊ะ

    “ทานอะไรดีครับคุณพราว” ชื่อซึ่งเขาใช้เรียกเธอเริ่มสั้นลงแล้ว สั้นตามที่เลขาของตัวเองใช้เรียกเพื่อนสนิท “อ้อนล่ะ”

    “ของอ้อนขอเป็นเป็ดย่างหมี่หยกก็ได้ค่ะคุณสืบ” เลขาสาวตอบได้ทันควัน หมายตาอาหารซึ่งตั้งโชว์ไว้ที่ตู้กระจกหน้าร้านตั้งแต่เดินผ่านแล้ว
อาหารมื้อนั้นน่าอึดอัดสำหรับทุกคน พราวไหมเข้าใจแล้วว่าทำไมคุณสืบพงษ์จึงมีปัญหากับมารดาของปัญชิกาและทำไมทั้งคู่จึงใช้ชีวิตร่วมกันไม่ได้

      “ตกลงว่าจะเริ่มสอนฝ้ายได้เมื่อไหร่ครับคุณพราว” สืบพงษ์ถามเมื่อสั่งอาหารกันเรียบร้อยแล้ว ร่างใหญ่ๆ โน้มตัวมาข้างหน้านิดหนึ่ง สองมือประสานกันบนโต๊ะ

    พราวไหมกำลังจะตอบว่าเริ่มได้ทันที พรุ่งนี้ก็ยังได้ หากก็ช้าเกินไป อดีตภรรยาซึ่งนั่งอยู่ข้างเขาขัดขึ้นเสียก่อน

“ทำไมไม่เรียกมาสัมภาษณ์หลายๆ คนล่ะสืบ จะได้เลือกคนที่ดีที่สุด คุณเคยรับสมัครคนงานมาตั้งเยอะ” หล่อนเน้นคำว่า ‘คนงาน’ ชัดเจนทีเดียว

“คุณไม่รู้หรอกหรือว่าควรต้องทำยังไง นี่อะไรกัน เรียกมาสัมภาษณ์คนเดียวก็ตกลงจ้างแล้ว”

สืบพงษ์ปรายตามาทางคนพูดเพียงแวบเดียว ก่อนออกปากเตือนเสียงเข้ม

“เรื่องนี้เป็นเรื่องของผม ปล่อยให้ผมจัดการเองเถอะนะปัญ”

“เรื่องของคุณ?” หางเสียงในประโยคนั้นแหลมสูงทีเดียว

“ฝ้ายไม่ใช่ลูกฉันด้วยรึไง หรือคุณคิดว่าคุณเลี้ยงลูกได้ดีกว่า ถ้าคุณเลี้ยงได้ดีกว่าแล้วทำไมถึงได้เป็นเรื่องมีราวขึ้นมาจนลูกเสียผู้เสียคนไปแบบนี้ล่ะ” เสียงต่อว่าของหล่อนดังขึ้นทุกที

พราวไหมใจหายเมื่อได้ยินคำพูดชนิดไม่ยั้งคิดนั้น ละสายตาจากรายการอาหารแล้วหันมองสาวน้อยซึ่งนั่งอยู่ใกล้ๆ เห็นก็เพียงด้านข้างของใบหน้าซูบซีดที่ก้มต่ำ ไม่มีทีท่าว่าสนใจอะไรทั้งสิ้น

สืบพงษ์ถอนใจ คร้านจะต่อปากต่อคำด้วย

“ว่าไงครับฝ้าย ให้พี่พราวเริ่มงานพรุ่งนี้เลยดีไหม” ประโยคต่อมาเป็นเหมือนข้อสรุปตามแบบฉบับของเขา “ถ้าเริ่มพรุ่งนี้เลย จะเร็วไปไหมครับคุณพราว”
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่