ระบำเงา (บทที่ 6)

ขอบคุณทุกคนที่อ่านเรื่องนี้นะคะ
ขอบคุณ คุณ เปรียว sixtyone, คุณ สมาชิกหมายเลข 1509172, คุณ CAN LIVE, น้องดาว Lady Star 919, คุณ สมาชิกหมายเลข 868629, คุณลิ ลายลิขิต, คุณ ซูซี่ Susisiri, จารย์จี GTW, คุณ พวงดารา, คุณนัน turtle_cheesecake, คุณนะ เป่าซาง, คุณ noobbie, คุณ ป้าทุยบ้านทุ่ง
ขอบคุณทุกคะแนนโหวตด้วยค่ะ

บทก่อนหน้าค่ะ
บทนำ   https://ppantip.com/topic/36387078
บทที่ 1  https://ppantip.com/topic/36392612
บทที่ 2  https://ppantip.com/topic/36400065
บทที่ 3  https://ppantip.com/topic/36407292
บทที่ 4  https://ppantip.com/topic/36411315
บทที่ 5  https://ppantip.com/topic/36419344


บทที่ 6



    ภาษิตเลื่อนเก้าอี้ให้ ‘น้องสาว’ ก่อนลงนั่งข้างๆ แทบสะอึกกับคำถามแรกจากอาจารย์รุ่นพี่

    "ทำไมไม่พาแฟนมาด้วยล่ะรอง จะได้รู้จักกันไว้"

    กระอึกกระอักตอบโดยไม่เข้าใจว่าทำไม "เอ่อ! ไม่ดีกว่าครับพี่นิพนธ์"

ดีที่บริกรสาวเข้ามาช่วยกู้สถานการณ์ไว้ได้ทันเวลาก่อนจะต้องกระอักกระอ่วนไปยิ่งกว่านี้

    "รับเครื่องดื่มอะไรดีคะ"

    "อะไรดีครับพี่" ได้ทีเบี่ยงเบนคำถามไปเป็นเรื่องอื่นเสีย ก่อนแก้เก้อด้วยการหันมาถามคนซึ่งนั่งสงบเสงี่ยมอยู่ข้างๆ

"พราว เอาอะไรดี"

    "ลองน้ำแตงโมไหมพราว ที่นี่เขาขึ้นชื่อนะ" นิพนธ์เป็นคนแนะนำเสียแทน

    เสียงใสๆ ที่ตอบกลับมาฟังแทบไม่ได้ยิน

    "ค่ะ"

    "ถ้างั้นของผมก็อย่างเดียวกันครับ"

    "น้ำแตงโมอีกสองที่นะคะ" บริกรสาวทวนคำสั่ง

    "น้ำแตงโมน่ะพี่แนะนำพราวเขา ส่วนรอง…เบียร์ไม่ดีกว่าเรอะ"

    "ไม่ล่ะครับพี่ น้ำแตงโมนี่แหละดีแล้ว"

    สถาปนิกหนุ่มตอบพลางกางรายการอาหาร พอสังเกตเห็นว่าคนซึ่งนั่งอยู่ข้างตัวเงียบเสียจนน่าเป็นห่วง ก็เอนตัวเข้าหาเพื่อให้ได้เห็นด้วย
    
"พี่สั่งอะไรไปบ้างแล้วครับ"

    "ยังเลยรอง เมื่อกี้ระหว่างรอสั่งทอดมันปลากรายไปอย่างเดียว ที่นี่เขาอร่อย ส่วนอย่างอื่นก็คอยให้พราวมาเป็นคนสั่ง วันนี้เลี้ยงพราวนี่นะ"

    "ถ้างั้นพราวดูเองก็แล้วกันนะ อยากทานอะไรบ้างก็สั่งได้ไม่ต้องเกรงใจ พี่นิพนธ์กระเป๋าหนักอยู่แล้ว ใช่มั้ยครับ"

ประโยคหลังตามด้วยเสียงหัวเราะ พอเหลือบดูเพื่อนร่วมรุ่นซึ่งนั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามโต๊ะก็เห็นว่าสายตาของฝ่ายนั้นแทบไม่ละจากใบหน้าหมดจดของผู้หญิงเพียงคนเดียวที่โต๊ะ ความเสียดายสะท้อนชัดทั้งทางสีหน้าและแววตา

    "ไง ทัศ ไม่ได้เจอกันเสียนาน งานคงยุ่งสินะ"

สุ้มเสียงที่ถามไม่สะท้อนความรู้สึกใดๆ เป็นเหมือนการทักทายกันทั่วไปมากกว่า พอมองออกหรอกว่าคนซึ่งมีความรุ่มร้อนในใจที่สุดคืออาจารย์หนุ่มผู้นั่งอยู่ตรงหน้านี่เอง     

    "ก็เรื่อยๆ" ทัศนัยตอบคำถามคนหนึ่ง แต่สายตากลับจับนิ่งอยู่ที่อีกคน "แล้วนายล่ะ เห็นว่ากำลังสร้างรีสอร์ตแถวชะอำอยู่ใช่ไหม"

    "ฮื่อ งานนั้นเป็นโครงการของใหญ่กับหุ้นส่วนเขา"

ภาษิตไม่เคยเรียกภาสกรว่าพี่ เรื่องนี้เพื่อนๆ ทุกคนรู้กันดี

    "ไปถึงไหนแล้วล่ะ"

    "เสร็จไปกว่าครึ่งแล้ว จริงๆ แล้วรีสอร์ตนั่นเป็นของคุณเนื่อง ส่วนที่เป็นของใหญ่ก็เป็นคอนโดแบบห้องชุด ใหญ่เขาถนัดแนวนั้นมากกว่า"

    นัยน์ตาอ่อนโยนของคนฟังยังไม่วายมองกลับไปกลับมาระหว่างคนที่กำลังคุยด้วยกับหญิงสาวคนซึ่งนั่งอยู่ข้างๆ ร่างใหญ่โตนั้น

ที่จริงก็น่าสงสารอยู่หรอก ภาษิตอดคิดเช่นนั้นไม่ได้ รู้ว่าทำผิดเพราะความอ่อนแอ ไม่รู้จักควบคุมตัวเอง ไม่เพียงแค่ครั้งสองครั้ง แต่คงหลายครั้งทีเดียว จริงๆ แล้วคำสารภาพผิดของเพื่อนคนนี้ก็ทำให้ตัวเองได้คิดเช่นกัน

    ‘เราไม่ได้ตั้งใจให้เป็นอย่างนั้นเลยนะรอง’ เขาเล่าให้ฟังว่าอย่างนั้น

    ในบรรดาเพื่อนซึ่งเรียนหนังสือมาด้วยกันทั้งหมด ทัศนัยสุภาพที่สุด ในขณะที่เพื่อนคนอื่นๆขึ้น กู  กันเป็นเรื่องปกติ สำหรับเพื่อนคนนี้ คำว่า เรา และ นาย คือคำเรียกแทนตัวและเรียกเพื่อนเพื่อแสดงความสนิทสนมที่สุดแล้ว

การเป็นลูกชายคนเดียวของครอบครัวซึ่งสืบเชื้อสายมาจากตระกูลเก่าแก่ เพียงดูจากนามสกุลก็เป็นที่รู้กันดีว่าเก่าแค่ไหน ทัศนัยได้รับการอบรมมาอย่างดี ถูกหล่อหลอมให้อยู่ในแนวทางที่ถูกต้องตรงเผง อยู่ในแถวในแนวเสียจนเหมือนจะอ่อนต่อโลกไปเลยนั่นแหละ พอมาเจอเด็กสาวประเภท 'รุกฆาต' เข้า ก็เลยเซไม่เป็นท่า

    ‘แต่ก็เป็นไปแล้ว จะไม่รับผิดชอบก็ไม่ได้ พ่อแม่เด็กเป็นใครนายก็รู้’

    ‘เด็ก’ คือเด็กสาววัยเพียงสิบเก้าปีที่ทัศนัยจะต้องแต่งงานด้วยเพราะเผลอไผลไปทำให้ท้องเข้า

ก่อนหน้าที่จะมีพราวไหมเข้ามาเกี่ยวข้อง ภาษิตและทัศนัยไม่ถึงกับสนิทสนมกันสักเท่าไรนัก เพียงแต่เป็นเพื่อนร่วมโรงเรียนกันมาตั้งแต่ชั้นมัธยม เริ่มสนิทกันบ้างก็เมื่อไปเรียนต่อระดับปริญญาโทและปริญญาเอกในมหาวิทยาลัยเดียวกัน

ในขณะที่ภาษิตเรียนต่อด้วยทุนส่วนตัว และเรียนจบระดับปริญญาโท ซึ่งถือเป็นปริญญาสูงสุดสำหรับผู้ที่ตั้งใจออกมาทำงานเป็นสถาปนิกโดยอาชีพ…ไม่ใช่เพื่อสอนสถาปัตยกรรมศาสตร์ ทัศนัยได้ทุนของมหาวิทยาลัยที่สอนเพื่อไปเรียนปริญญาเอกในมหาวิทยาลัยเดียวกัน

ทั้งคู่ยิ่งติดต่อพูดคุยกันบ่อยขึ้นเมื่อมีพราวไหมเข้ามาเป็นตัวแปร

หลังเรียนจบปริญญาตรี พราวไหมส่งใบสมัครไปหลายมหาวิทยาลัย ได้รับคำตอบรับจากหลายแห่งเช่นกัน แต่ก็เลือกมหาวิทยาลัยซึ่งภาษิตเรียนจบ เพราะเขายังมีเพื่อนเรียนอยู่ที่นั่น เพื่อนคนซึ่งเขามั่นใจที่สุดว่าจะช่วยดูแลหญิงสาวได้คงไม่มีใครเกินทัศนัย

นับตั้งแต่พราวไหมไปเรียนต่อที่มหาวิทยาลัยแห่งนั้น ภาษิตและทัศนัยติดต่อพูดคุยกันทั้งทางโทรศัพท์และอีเมลบ่อยขึ้น เรื่องที่คุยกันส่วนใหญ่จะเกี่ยวกับน้องสาวต่างบิดามารดาของสถาปนิกหนุ่มเป็นหลัก

ภาษิตเป็นคนแรกที่รู้ว่าทัศนัยรู้สึกอย่างไรกับพราวไหม และเป็นคนแรกเช่นกันที่รู้ว่าหลังเรียนจบและกลับเมืองไทยแล้ว เพื่อนอาจารย์ผู้เรียกได้ว่าอ่อนต่อโลกเพราะทั้งชีวิตมีแต่เรื่องเรียนและเรื่องงาน กำลังถูกบังคับให้แต่งงานกับเด็กสาวอีกคน

    คืนวันนั้นทั้งคู่นัดเจอกันที่คลับชั้นใต้ถุนโรงแรมหรูย่านสีลม ปกติทัศนัยไม่ดื่มเหล้า เมื่อเขาใช้ที่นั่นเป็นที่นัดพบเพื่อปรึกษาเรื่องหนักใจ จึงทำให้ภาษิตประหลาดใจได้ไม่น้อย

    ‘เราควรทำยังไงดีฮึ รอง’

    ในเวลานั้นสีหน้าคนพูดเหมือนใกล้ตาย ทัศนัยผู้เพียบพร้อมไปเสียทุกด้าน ทั้งรูปร่างหน้าตา ชาติกำเนิด ความประพฤติ เรื่อยไปจนถึงการเรียนและความก้าวหน้าในหน้าที่การงาน กลับถูกเด็กสาววัยเพียงสิบเก้าปีจับจนดิ้นไม่หลุด

    ‘นายเสียใจเพราะอะไรฮึ ทัศ เพราะเห็นว่าคนที่นายไปทำให้ท้องยังเด็กเกินไป เด็กกว่าลูกศิษย์นายอีกหลายๆ คน ความรู้ก็น้อย นอกจากพ่อแม่รวย กับกว้างขวางแล้ว ก็ไม่มีอะไรที่จะทำให้นายภูมิใจได้สักอย่าง หรือว่าเสียใจที่ทำให้คนที่นายเคยบอกว่ารักนักรักหนา ถึงขนาดตั้งใจจะแต่งงานด้วยทันทีที่เขาเรียนจบต้องเสียใจ’

    ทัศนัยหมุนแก้วเบอร์เบิ้นออนเดอะร็อคในมืออยู่เป็นครู่ ก่อนค้นหาคำตอบซึ่งตรงกับความรู้สึกที่สุดได้พบ

    ‘เพราะอย่างหลังนั่นแหละ พราวเป็นคนที่เราตั้งใจจะใช้ชีวิตด้วยไปจนแก่ตายไปด้วยกัน เป็นคนที่เราอยากให้เป็นแม่ของลูกเรา อีกอย่าง ให้เราอยู่กับคนที่เราไม่รัก แล้วก็ไม่เคยแคร์เลยจนนิดเดียวไปตลอดชีวิตได้ยังไง มองไม่เห็นว่าจะอยู่กันยืดได้ยังไง ถึงแต่งไป เรารู้ว่าไม่นานก็ต้องเลิกกัน เรื่องของเรากับนุ่นเริ่มอย่างไม่ถูกต้อง แล้วมันก็จบลงอย่างไม่ถูกต้องเหมือนกัน ใครๆ ก็รู้ ทั้งฝ่ายเขา ฝ่ายเรา มองเห็นอย่างเดียวกัน แล้วจะเสียเวลาแต่งกันทำไม ไอ้เรื่องเงินพ่อแม่เขา เราไม่สนใจหรอก มีวิชาความรู้อยู่กับตัว เราเลี้ยงครอบครัวได้’
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่