ระบำเงา (บทที่ 21)

ขอบคุณทุกคนที่อ่านเรื่องนี้นะคะ
ขอบคุณ จารย์จี GTW, น้องดาว Lady Star 919, คุณ สมาชิกหมายเลข 1065771, คุณลิ ลายลิขิต, คุณซูซี่ Susisiri, คุณนัน turtle_cheesecake, คุณ เจ้าหญิงงัวเงีย, น้องมัด มัศยวีร์, คุณนะ Na(นะ), คุณ สมาชิกหมายเลข 868629, คุณป้าทุยบ้านทุ่ง
ขอบคุณทุกคะแนนโหวตด้วยค่ะ

บทก่อนๆ ค่ะ
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้


บทที่ 21



    ร่างสูงล่ำสันในชุดเสื้อเชิ้ตแขนยาวสีฟ้า เนกไทสีน้ำเงินเข้มสลับลายทางสีเงิน กางเกงสีกรมท่า เรียกความสนใจจากชายหญิงซึ่งนั่งรวมกลุ่มกันอยู่ที่โต๊ะใกล้ประตูทางเข้าได้ในทันที

    “คุณสืบพงษ์! นั่นคุณสืบพงษ์นี่” คนสูงวัยที่สุดในที่นั้นอุทานอย่างตื่นเต้น พาเอาคนอื่นๆ หันมองตามกันเป็นแถว

    “เอ๊ะ! แล้วผู้หญิงคนนั้นใคร”

    สายตาทุกคู่เบี่ยงเบนมาที่ร่างบางระหงของหญิงสาวซึ่งเดินเคียงเข้ามา

    “ไม่ใช่เลขาเขานี่นา” อีกคนพยายามเดา “คนที่เป็นเลขานั่นดูไม่ได้เลย แต่คนนี้สวยใช้ได้”

    “หรือว่าเป็นเลขาคนใหม่” นั่นมาจากคนแรก

    “เฮ่ย...ไม่น่าจะใช่ ก็คนเก่ายังอยู่นี่นา คงเป็นญาติๆ กันมั้ง คุณสืบพงษ์เขาระวังจะตาย เรื่องควงผู้หญิงไปไหนมาไหนแบบนี้ เขาไม่เคยทำ”

    ประโยคหลังสุดนั้นพราวไหมได้ยินแว่วๆ เมื่อเดินผ่าน ไม่แน่ใจว่าคนซึ่งถูกเอ่ยถึงจะได้ยินหรือสังเกตเห็นบ้างหรือไม่ เขาน่าจะเห็น เพราะบางคนส่งยิ้มมาให้ด้วยซ้ำ คงไม่ได้ยิ้มให้เธอแน่นอน เพราะแน่ใจว่าไม่รู้จักใครสักคน อาจคุ้นหน้าบ้างก็เท่าที่เห็นตามหน้านิตยสารแฟชั่นและนิตยสารสำหรับผู้หญิง แต่ก็นึกชื่อไม่ออกว่าใครเป็นใครกันบ้าง

    “โต๊ะข้างหน้าต่างตัวนั้นดีไหมศักดิ์”

    จะเห็นหรือไม่เขาก็ไม่แสดงท่าทีรับรู้ใดๆ เอาแต่กวาดสายตาไปเกือบทั่วทั้งห้องรับประทานอาหารกว้างขวางนี้ แล้วไปหยุดลงที่โต๊ะขนาดสองคนนั่งตัวในสุด ดูเป็นส่วนตัวที่สุดด้วยเพราะซุกอยู่มุมห้อง ติดกับหน้าต่าง ทั้งยังมีกระถางต้นไม้บังอยู่ครึ่งๆ

    และ 'ศักดิ์' ก็กุลีกุจอนำไปที่นั่น

    “เป็นไงบ้างระยะนี้” สืบพงษ์ถามอย่างคนกันเองเมื่อเลื่อนเก้าอี้ให้หญิงสาวลงนั่ง

    “เรื่อยๆ เหมือนเดิมฮะ เห็นคุณพ่อบอกว่าคุณสืบสนใจ”

    “ก็กำลังคิดอยู่ครับ”

    เขาตอบสุภาพแม้อีกฝ่ายจะเด็กกว่ามาก เด็กเหมือนเพิ่งจบมัธยมมาหมาดๆ เสียด้วยซ้ำ พราวไหมชื่นชมคุณสืบพงษ์เสมอมาในเรื่องนี้

    “ศักดิ์เป็นลูกชายคุณพร้อมครับพราว” เขาก้มลงบอก ยังคงยืนอยู่ข้างหลังเก้าอี้หวายตัวที่เธอนั่ง สองมือวางบนบ่าเธอเหมือนไม่ตั้งใจ

“คุณพร้อมเป็นเจ้าของที่นี่ คักดิ์กำลังจะไปเรียนต่อต่างประเทศใช่ไหม” ประโยคหลังขอคำยืนยันจากเจ้าตัวขณะอ้อมโต๊ะมาเลื่อนเก้าอี้ฝั่งตรงข้าม

    “ฮะ”

    “แล้วนี่วันนี้คุณพ่ออยู่หรือเปล่า”

    “อยู่ครับ อยู่หลังบ้าน เดี๋ยวผมไปบอกฮะว่าคุณสืบมา”

    “ถ้าท่านยุ่งก็อย่ารบกวนเลย ตกลงว่าหาที่เรียนได้หรือยัง”

    “ได้แล้วฮะ”

    “ที่ไหน”

    “ที่เมืองตูร์ ที่พี่ก้อยไปอยู่ฮะ เป็นโรงเรียนสอนทำอาหาร ตกลงว่าผมจะไปเรียนทำอาหารครับคุณสืบ”

    “แสดงว่าเอาจริง”

    “ฮะ” เด็กหนุ่มหัวเราะเบาๆ “ก็คงอย่างงั้นแหละฮะ อย่างอื่นผมก็คิดไม่ออกว่าอยากเรียนอะไร เรียนบัญชีไปสองปี ก็เลยรู้ว่าไม่ชอบ”

    พราวไหมพลิกดูรายการอาหารซึ่งหนุ่มน้อยส่งให้ เป็นกระดาษสาสีขาวนวลแผ่นยาวๆ เพียงแผ่นเดียว รอบตัวหนังสือตีกรอบทองด้วยลวดลายไทย มีรายชื่ออาหารไทยยาวเหยียดจนเลือกไม่ถูก

    สองหนุ่มต่างวัยยังคงสนทนากันอยู่อีกครู่ พอจับใจความได้ว่า 'ศักดิ์' กำลังเรียนปริญญาตรีอยู่ในมหาวิทยาลัยเปิดแห่งหนึ่ง แต่ตัดสินใจว่าจะไม่เรียนจนจบเพราะไม่ชอบ จึงสมัครไปเรียนทำอาหารที่ประเทศฝรั่งเศสแทน รู้ต่อไปว่าพ่อของเด็กหนุ่มตั้งใจจะขายร้านอาหารแห่งนี้ และคุณสืบพงษ์สนใจจะซื้อ

    เธอว่าเป็นความคิดที่ดีถ้าเขาซื้อ แม้ร้านนี้จะอยู่นอกเมืองออกมาหน่อย เท่าที่เห็น มีแขกพอประมาณ แต่ความแตกต่างจากร้านอาหารทั่วไปให้ความรู้สึกว่ากิจการคงไปได้สวยเดียว เธอเองก็ประทับใจแต่แรกเมื่อมองเข้ามาจากถนนใหญ่ เห็นจากภายนอกก็พอดูออกว่าเดิมคงเคยเป็นบ้านของใครสักคน แล้วมาดัดแปลงเป็นห้องอาหารในภายหลัง

    ตัวบ้านเป็นเรือนไม้ชั้นเดียว ทั้งใหญ่และทั้งกว้าง พรางตาจากถนนด้วยไม้ยืนต้นและไม้พุ่มซึ่งปลูกไว้จนร่มครึ้ม บริเวณลานจอดรถตอนหน้ากว้างขวาง มีไม้ดอกไม้ผลต้นใหญ่ให้ความร่มรื่น เพียงแค่รถเลี้ยวเข้ามาก็ให้ความรู้สึกเหมือนอยู่อีกโลก รู้สึกถึงความร่มเย็น ห่างไกลจากความร้อนระอุและวุ่นวายของเมืองหลวง

    'ที่นี่ดูไม่เหมือนร้านอาหารเลยนะคะ' เธอแสดงความคิดเห็นเมื่อก้าวตามหลังเขาลงจากรถ เหลียวมองไปรอบตัวอย่างชื่นชม

    'ชอบหรือ' เขาก้มลงถามขณะเดินเคียงกันไปที่ประตูทางเข้า

    'ค่ะ ไม่เคยเห็นร้านอาหารแบบนี้มาก่อนเลย เหมือนเข้ามานั่งทานอาหารในบ้านเพื่อน'

    'เจ้าของเขาตั้งใจให้เป็นอย่างนี้มาแต่ต้นแหละครับ คุณพร้อมแกเป็นคนชอบทำกับข้าว ใครๆ ยุให้เปิดร้านอาหารมานานแล้ว แกไม่อยากไปลงทุนเซ้งร้านที่ไหน ก็เลยดัดแปลงเอาจากบ้านของตัวเองเสียเลย'

    เขาเล่าให้ฟัง แสดงว่ารู้จักเจ้าของร้านเป็นอย่างดี

    'เมื่อก่อนที่นี่เป็นบ้านสองชั้นนะครับ ทีนี้บ้านไม้สองชั้นนี่ดัดแปลงเป็นร้านอาหารลำบาก เพราะบ้านไม้แบบนี้ ชั้นบนเวลามีใครเดินไปเดินมา ได้ยินมาถึงชั้นล่าง แกก็เลยรื้อชั้นบนเสีย แล้วขยายชั้นล่างให้กว้างออกไปอีก'
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่