บทนำ https://ppantip.com/topic/38091648
บททั้งหมดก่อนหน้า
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้อารัมภบท "รำลึกถึงเฉาโจว" https://ppantip.com/topic/38091648
บทที่๑ "ซ่อนกายที่เฉาโจว"https://ppantip.com/topic/38163232
บทที่๒ "ชะตาชีวิต"https://ppantip.com/topic/38199618
บทที่๓ "พระจันทร์ขึ้นที่ซ่างไห่" https://ppantip.com/topic/38203543
บทที่๔ "ความรักที่เจ็บปวด" https://ppantip.com/topic/38213699
บทที่๕ "อินทรีหน้าบาก" https://ppantip.com/topic/38233678
บทที่ ๖ "แม่กุหลาบน้อย" https://ppantip.com/topic/38244845
บทที่ ๗. "ดวงใจอินทรี" https://ppantip.com/topic/38258177
บทที่ ๘. "ผู้หญิงของนายน้อยหวง" https://ppantip.com/topic/38267801
บทที่ ๙. "คำสัญญา" https://ppantip.com/topic/38282233
บทที่ ๑๐. "บททดสอบ" https://ppantip.com/topic/38304131
บทที่ ๑๑. "เรื่องของความรัก" https://ppantip.com/topic/38326384
บทที่ ๑๒. "มิตรภาพ" http://ppantip.com/topic/38346755
บทที่ ๑๓. "สัมพันธภาพ" http://ppantip.com/topic/38366155
บทที่ ๑๔. "ใจตรงกัน" http://ppantip.com/topic/38380649
บทที่ ๑๕. "ลิขิตแห่งรัก" http://ppantip.com/topic/38392223
บทที่ ๑๖. "ศัตรูที่อยู่ใกล้ตัว" https://ppantip.com/topic/38407198
บทที่ ๑๗. "ความในใจ" https://ppantip.com/topic/38454524
บทที่ ๑๘. "การพบกันของสองบุรุษ" ://ppantip.com/topic/38484724
เกริ่นนำ : นิยายเรื่องนี้ดำเนินเรื่องหลักที่ซ่างไห่ (เซี่ยงไฮ้) ภาษาที่ใช้เรียกขานชื่อตัวละครและสถานที่ทั้งหมดจะเรียกเป็นภาษาจีนกลางนะคะ ,นิยายเรื่องนี้และบางสถานที่เป็นเรื่องที่แต่งขึ้นทั้งหมด
คำเตือน : บุหรี่และสุราเป็นอันตรายต่อชีวิตและสุขภาพ
"บทที่ ๑๙.คนข้างกาย "
เฉิงเฟิงเร่งฝีเท้าเดินออกมาผ่านทางเชื่อมไปยังห้องหนังสือ เขาหันไปมองต้นเมเปิ้ลที่ใบของมันเริ่มหลุดร่วงลงในยามใกล้ฤดูหนาวเช่นนี้ แม้อากาศภายนอกจะเริ่มเย็นลงมาก หากแต่ภายในใจของเฉิงเฟิงนั้นกลับรู้สึกวิตกจนรุ่มร้อน นึกสังหรณ์ใจว่าบิดาบุญธรรมเรียกไปพบในยามนี้ ย่อมต้องมีเรื่องสำคัญอย่างแน่นอน
ในขณะที่เดินใกล้จะถึง เขาได้ยินเสียงบรรเลงเพลงกู่ฉินที่ดังแว่วออกมาจากห้องนั้น ฝีเท้าที่กำลังเร่งเดินอยู่เมื่อสักครู่กลับหยุดชะงักลง เสียงบรรเลงฉินนั้นทำให้เฉิงเฟิงมองไปยังต้นเสียง สักครู่หนึ่งเขาก็ตัดสินใจยืนรอแล้วหลับตาลงพร้อมกับคอยเงี่ยหูฟังไปด้วย
การบรรเลงนั้นเต็มไปด้วยพลังของนิ้วที่ดีดลงบนสายกู่ฉิน บางช่วงหนักแน่น บางคราวก็อ่อนไหว ฟังแล้วอดนึกถึงเรื่องเก่าไม่ได้ สุ่มเสียงแต่ละท่อนสายนั้นเต็มไปด้วยความรู้สึกที่แฝงไว้ด้วยความเศร้า ดังคล้ายเสียงถอนหายใจเพื่อระบายความกลัดกลุ้มในใจออกมา เฉิงเฟิงยืนฟังจนกระทั่งเสียงฉินท่อนสุดท้ายได้ถูกบรรเลงจนจบลง..
เฉิงเฟิงสูดลมหายใจลึก ก่อนที่จะก้าวเท้าต่อไป จนในที่สุดก็มายืนอยู่หน้าห้อง
ชายหนุ่มเคาะประตู เมื่อได้รับอนุญาตจึงรีบเปิดประตูเดินเข้าไปด้านใน
“พ่อบุญธรรม” เฉิงเฟิงค้อมศีรษะคารวะหวงเฟย บิดาบุญธรรมของเขารีบเข้ามาตบต้นแขนทั้งสองข้าง “อาเฟิงมาก็ดีแล้ว” หวงเฟยมีสีหน้ายิ้มแย้มแล้วบอกให้บุตรบุญธรรมนั่ง
เฉิงเฟิงขยับชายเสื้อฉางซานแล้วนั่งลงบนเก้าอี้ หวงเฟยก็ขยับชายเสื้อลงนั่งบนเก้าอี้อีกตัว
เฉิงเฟิงรู้หน้าที่จึงรีบเตรียมจัดซิการ์แล้วยื่นให้หวงเฟยพร้อมกับหยิบไลท์เตอร์ช่วยติดไฟให้ เขารอให้บิดาบุญธรรมได้สูบซิการ์เพื่อผ่อนคลายอยู่สักครู่ เฉิงเฟิงจึงเป็นฝ่ายกล่าวขึ้นก่อน
“ไม่ทราบว่า..พ่อบุญธรรมมีเรื่องกังวลอะไรหรือครับ”
คำถามของเฉิงเฟิงทำให้หวงเฟยหันมามองหน้าบุตรบุญธรรม มือนำซิการ์ออกจากปาก ก่อนที่จะยิ้ม “สีหน้าของพ่อบ่งบอกขนาดนั้นเลยหรือ”
“ขอโทษครับ ผมขอพูดตามตรง” เฉิงเฟิงมองหน้าบิดา “เผอิญผมได้ยินพ่อบุญธรรมบรรเลงเพลงฉิน ก่อนที่ผมจะเข้ามาครับ”
หวงเฟยยิ้มกว้างพร้อมกับส่ายหน้าไปมา
“คำพูดของลูก คล้ายดั่งจงจือฉีที่รู้ใจของโป๋หยา เพียงแค่ได้ยินเสียงฉินก็เข้าใจ”
เฉิงเฟิงค้อมศีรษะแล้วกล่าวจากใจจริง “ผมเพียงแค่รู้สึกว่าเป็นเช่นนั้น”
หวงเฟยยื่นมือไปตบไหล่ของอีกฝ่าย “พ่อยังมีอะไรที่ปิดบังลูกได้อีกล่ะ อาเฟิง”
บิดาบุญธรรมยิ้มแล้วลุกขึ้นเดินไปยืนอยู่ข้างหน้าต่าง กลิ่นซิการ์ชั้นดีลอยกระจายฟุ้ง
“ที่พ่อเรียกมาวันนี้ อยากจะพูดอะไรกับลูกสักหน่อย”
เฉิงเฟิงลุกขึ้นแล้วเดินไปหยุดอยู่ข้างบิดา หวงเฟยทอดสายตามองไปยังท้องฟ้า ดวงจันทร์ถูกเมฆบดบัง ชายผู้ผ่านโลกมาเกินครึ่งชีวิตขมวดคิ้ว คืนนี้ช่างแลดูเงียบเหงาเมื่อไร้ซึ่งแสงจันทร์สีนวลสาดส่อง ลมเย็นพัดผ่านมา แม้จะสวมใส่เสื้อหนาก็ยังทำให้รู้สึกสะท้านตัว
“ชีวิตก็เหมือนท้องฟ้า บางวันดูช่างสดใส บางวันก็ดูหม่นเทา”
หวงเฟยหันมาพูดกับเฉิงเฟิง “ปีนี้ลูกอายุ ๓๓ แล้วสินะ เวลาช่างผ่านไปรวดเร็วนัก”
คนพูดส่ายหน้าไปมา “แต่พ่อสิอายุจะหกสิบแล้ว” พูดแล้วก็หัวเราะตนเอง
เฉิงเฟิงยิ้มกว้างพูดตามความรู้สึกจริง “พ่อบุญธรรมยังดูแข็งแรงอยู่เลยครับ”
หวงเฟยสูบซิการ์แล้วถอนหายใจ หันมามองใบหน้าบุตรบุญธรรม
“อาเฟิง.. พ่อรู้ตัวดี หลายปีมานี้พ่อไม่ใช่ม้าหนุ่มอีกต่อไปแล้ว แม้ใจจะสู้ แต่สังขารไม่ไหว” หวงเฟยหยุดชะงักไปสักครู่ราวกับมีเรื่องบางอย่างในใจ ก่อนที่จะพูดต่อไป
“เรื่องในสมาคมต่อไปคงต้องให้ลูกช่วยดูแล แต่ไม่ว่าภายหน้าสมาคมอินทรีจะเป็นเช่นไร จะอยู่หรือไม่ ขอให้ลูกเชื่อมั่นตนเอง” หวงเฟยคาบซิการ์ไว้แล้วเอื้อมมือมาตบไหล่บุตรชาย
เฉิงเฟิงฟังแล้ว รู้สึกไม่สบายใจนัก เมื่อเห็นท่าทีของบิดาและคำพูดราวกับว่ากำลังจะมอบหมายหน้าที่สำคัญยิ่งให้กับเขา
“พ่อบุญธรรมมีเรื่องอะไรกันแน่ครับ”
หวงเฟยมองหน้าของบุตรบุญธรรม ก่อนจะพากันเดินกลับมานั่งลงที่เก้าอี้ตามเดิม
“พ่อได้พบกับอาจารย์โจวซุ่น สถานการณ์บ้านเมืองน่าวิตก ฝ่ายซ้ายถูกตามเก็บไปหลายคนพอ ๆ กับฝ่ายขวาที่หักหลังกันเอง พ่อเกรงว่าจะเกิดคลื่นใต้น้ำ อาจารย์โจวจึงต้องหลบซ่อนตัวอยู่”
เฉิงเฟิงขมวดคิ้วเข้ม “อาจารย์โจวเป็นพวกฝ่ายซ้ายหรือครับ” เขาพูดแล้วไม่คิดเช่นนั้น “เป็นไปไม่ได้”
คนพูดมั่นใจแล้วนึกทบทวน “ตั้งแต่ผมได้รู้จักกับอาจารย์โจว คำสนทนาความเห็นของท่านไม่เคยพูดเข้าข้างฝ่ายไหน”
หวงเฟยพยักหน้า “เพียงเพราะเขาช่วยชาวจีนด้วยกัน ก็ถูกปรักปรำว่าเป็นฝ่ายซ้าย”
เฉิงเฟิงถอนหายใจ “ไม่นึกว่าอาจารย์โจวอยากใช้ชีวิตอย่างสงบ กลับไม่ได้อย่างที่หวัง”
หลายปีมานี้เขารู้ว่าอาจารย์โจวต้องใช้ชีวิตหลบซ่อน ไม่นึกว่าคนบริสุทธิ์กลับตกเป็นเหยื่อของพวกขุนศึกที่คอยแก่งแย่งอำนาจ ถึงกับขายเพื่อนร่วมชาติเดียวกัน หมดจากปัญหาหนึ่งก็กลับเกิดอีกปัญหาหนึ่ง นึกแล้วก็หาได้มีใครดีกว่าใคร
“พ่อบุญธรรมครับ ผมมีเรื่องจะแจ้งให้ทราบ” ชายหนุ่มตัดสินใจที่จะนำเรื่องที่เขาจะข้ามไปยังฝั่งผู่ตงและเรื่องสำคัญอีกสองสามเรื่องปรึกษากับหวงเฟย…
หลังจากได้พบและพูดคุยกับบิดาบุญธรรมแล้ว เฉิงเฟิงก็เดินกลับมาที่ห้องนอน ในขณะที่ผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้าไปก็ใช้ความคิดไปด้วย แม้ว่าเขาจะไม่อยากเข้าไปเกี่ยวข้องกับปฏิบัติการลับของบิดาบุญธรรม แต่ก็อดรู้สึกเป็นห่วงไม่ได้ เพราะภาพลักษณ์ภายนอกแม้จะเป็นนายทุนผู้มีอิทธิพล แต่พ่อบุญธรรมของเขากลับไม่เคยคิดเอาเปรียบคนที่ด้อยกว่า มีน้ำใจนักเลงจนเป็นที่นับหน้าถือตา
มีนายทุนและกลุ่มแก๊งไม่น้อยที่แสวงหาผลประโยชน์ใส่ตนแต่ก็ยังให้ความเคารพเกรงใจบิดาบุญธรรม แต่เมื่อมีคนสนับสนุนก็ย่อมต้องมีคนคอยหาทางทำลาย นี่เป็นสัจธรรมของการมีอำนาจและเงินตรา สองสามปีมานี้แก๊งตงเปาจึงได้เติบโตขึ้นมาเบียดรัศมีของสมาคมอินทรี
พวกนั้นใช้แต่กำลังข่มขู่ คุกคามเพื่อให้เจ้าของกิจการ บ่อนพนันหลายแห่งยอมอยู่ใต้อาณัติ ทั้งยังได้ครอบครองพื้นที่ไปอีกหลายร้อยหมู่ รวมไปถึงเถ้าแก่ร้านน้ำชาที่ต้องขอความช่วยเหลือจากเขาเมื่อสองวันก่อน หากว่ายังคงปล่อยให้แก๊งตงเปากระหยิ่ม รุกกินจนพุงกาง ชาวบ้านยากจนก็ยิ่งเดือดร้อน เขาจึงต้องหาทางกำราบพวกนั้นเสียบ้าง แม้รู้ดีว่าการต่อสู้ในครั้งนี้จะยังไม่มีทางสิ้นสุด ผลกระทบของมันอาจจะสั่นสะเทือนธุรกิจของเขาบ้าง อย่างไรก็ตามพวกตงเปาต้องการท้าทายเขาและบิดาบุญธรรมอยู่แล้ว ฉะนั้นจะช้าหรือเร็วสมาคมอินทรีก็ไม่มีทางเลี่ยงการปะทะกับคนพวกตงเปาอยู่ดี จนกระทั่งผลของมันปรากฏชัดว่าใครเป็นผู้ที่แกร่งที่สุด!
เฉิงเฟิงสวมเสื้อคลุมชุดนอนแล้วเดินไปหยิบกระบองอินทรีขึ้นมาดู ใช้ผ้าบรรจงเช็ดทำความสะอาด พร้อมกับมองอาวุธคู่กายในมือ บิดาบุญธรรมได้สร้างเป็นอาวุธพิเศษชิ้นนี้เป็นกระบองสั้น เมื่อปลดล็อกที่ช่วงกลางจะสามารถดึงออกมาเป็นกระบองท่อนยาวได้ และเมื่อดึงส่วนด้ามหัวนกอินทรีออกก็จะปรากฏอาวุธมีดปลายแหลมซึ่งถูกซ่อนไว้ด้านใน ความแวววาวสะท้อนประกายคม เขายังตรวจเช็กปืนพกและอาวุธจำเป็นที่สะดวกในการพกพาอีกสามสี่ชิ้น ทั้งหมดนี้เขาจะต้องนำมันติดตัวไปด้วยในยามที่ข้ามไปยังฝั่งผู่ตง…
เช้าวันรุ่งขึ้น น้าซูหลินรีบมาเยี่ยมดูม่านอี้แล้วบอกอนุญาตให้พักงานไปก่อน ม่านอี้จึงได้ใช้เวลาพักอย่างเต็มที่ เธอพยายามรักษาข้อเท้าของตนเองโดยหวังว่าจะหายทันเพื่อจะได้ไปผู่ตงกับเขาอย่างที่ตั้งใจไว้ สักครู่หนึ่งเสี่ยวชิงก็เดินเข้ามาโดยมีซองจดหมายในมือ
“จดหมายจากพี่หลานซวงหรือ” ม่านอี้ถาม แต่เสี่ยวชิงกลับส่ายศีรษะ”เป็นจดหมายที่ส่งมาจากที่บ้านของคุณหนูค่ะ” สาวใช้คนสนิทรีบยื่นจดหมายฉบับนั้นให้เจ้านายสาวทันที
ม่านอี้กล่าวขอบคุณ เมื่อเสี่ยวชิงเดินออกไปแล้ว เธอรีบเปิดจดหมายแล้วนั่งลงอ่านข้อความทันที อามาของเธอเขียนจดหมายมาเล่าเรื่องที่สยาม พลันรอยยิ้มก็ระบายบนใบหน้า อ่านไปยิ้มไปเมื่อนึกถึงใบหน้าของบุพการี ความในจดหมายบ่งบอกว่าทั้งอามาและอาปาของเธอสบายดีและกำลังไปได้ดีกับธุรกิจร้านค้าขายส่งเล็ก ๆ ที่เริ่มจะขยายกิจการอีก จนกระทั่งได้อ่านท่อนความท้ายของจดหมาย ม่านอี้กลับมีรอยยิ้มจางลง เมื่ออามาของเธอแจ้งว่าอยากจะให้รีบกลับไปช่วยธุรกิจที่บ้าน เมื่ออ่านจบหญิงสาวพับกระดาษใส่ซองแล้วเก็บไว้ในลิ้นชัก
ม่านอี้เงยหน้ามองรูปของพ่อกับแม่ที่นำติดตัวมาด้วย ไม่ใช่ว่าเธอไม่รักพ่อกับแม่ ไม่ใช่ว่าเธอไม่ยินดีที่จะกลับบ้าน เพียงแต่แค่นึกว่าหากจะต้องจากซ่างไห่ไปในช่วงเวลาตอนนี้ หัวใจดวงน้อยรู้สึกก็สั่นคลอนขึ้นมาทันที นัยน์ตาคู่สวยเริ่มพร่ามัวไปด้วยม่านน้ำตา แล้วพูดกับรูปของพ่อแม่
“อาปา อามา ขอเวลาหนูให้อีกสักหน่อยนะคะ”
ม่านอี้อยากทำงานอย่างเต็มที่เพื่อน้าซูหลินกับร้านเมอร์รี่หลินให้สำเร็จ และข้อสำคัญเธออยากจะตอบแทนเฉิงเฟิง ก่อนที่เธอจะเดินทางจากซ่างไห่ไป
黃成風 ยอดบุรุษซ่อนคมพยัคฆ์ : ภาคหวงเฉิงเฟิง บทที่ ๑๙. คนข้างกาย
บททั้งหมดก่อนหน้า
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
เกริ่นนำ : นิยายเรื่องนี้ดำเนินเรื่องหลักที่ซ่างไห่ (เซี่ยงไฮ้) ภาษาที่ใช้เรียกขานชื่อตัวละครและสถานที่ทั้งหมดจะเรียกเป็นภาษาจีนกลางนะคะ ,นิยายเรื่องนี้และบางสถานที่เป็นเรื่องที่แต่งขึ้นทั้งหมด
คำเตือน : บุหรี่และสุราเป็นอันตรายต่อชีวิตและสุขภาพ
เฉิงเฟิงเร่งฝีเท้าเดินออกมาผ่านทางเชื่อมไปยังห้องหนังสือ เขาหันไปมองต้นเมเปิ้ลที่ใบของมันเริ่มหลุดร่วงลงในยามใกล้ฤดูหนาวเช่นนี้ แม้อากาศภายนอกจะเริ่มเย็นลงมาก หากแต่ภายในใจของเฉิงเฟิงนั้นกลับรู้สึกวิตกจนรุ่มร้อน นึกสังหรณ์ใจว่าบิดาบุญธรรมเรียกไปพบในยามนี้ ย่อมต้องมีเรื่องสำคัญอย่างแน่นอน
ในขณะที่เดินใกล้จะถึง เขาได้ยินเสียงบรรเลงเพลงกู่ฉินที่ดังแว่วออกมาจากห้องนั้น ฝีเท้าที่กำลังเร่งเดินอยู่เมื่อสักครู่กลับหยุดชะงักลง เสียงบรรเลงฉินนั้นทำให้เฉิงเฟิงมองไปยังต้นเสียง สักครู่หนึ่งเขาก็ตัดสินใจยืนรอแล้วหลับตาลงพร้อมกับคอยเงี่ยหูฟังไปด้วย
การบรรเลงนั้นเต็มไปด้วยพลังของนิ้วที่ดีดลงบนสายกู่ฉิน บางช่วงหนักแน่น บางคราวก็อ่อนไหว ฟังแล้วอดนึกถึงเรื่องเก่าไม่ได้ สุ่มเสียงแต่ละท่อนสายนั้นเต็มไปด้วยความรู้สึกที่แฝงไว้ด้วยความเศร้า ดังคล้ายเสียงถอนหายใจเพื่อระบายความกลัดกลุ้มในใจออกมา เฉิงเฟิงยืนฟังจนกระทั่งเสียงฉินท่อนสุดท้ายได้ถูกบรรเลงจนจบลง..
เฉิงเฟิงสูดลมหายใจลึก ก่อนที่จะก้าวเท้าต่อไป จนในที่สุดก็มายืนอยู่หน้าห้อง
ชายหนุ่มเคาะประตู เมื่อได้รับอนุญาตจึงรีบเปิดประตูเดินเข้าไปด้านใน
“พ่อบุญธรรม” เฉิงเฟิงค้อมศีรษะคารวะหวงเฟย บิดาบุญธรรมของเขารีบเข้ามาตบต้นแขนทั้งสองข้าง “อาเฟิงมาก็ดีแล้ว” หวงเฟยมีสีหน้ายิ้มแย้มแล้วบอกให้บุตรบุญธรรมนั่ง
เฉิงเฟิงขยับชายเสื้อฉางซานแล้วนั่งลงบนเก้าอี้ หวงเฟยก็ขยับชายเสื้อลงนั่งบนเก้าอี้อีกตัว
เฉิงเฟิงรู้หน้าที่จึงรีบเตรียมจัดซิการ์แล้วยื่นให้หวงเฟยพร้อมกับหยิบไลท์เตอร์ช่วยติดไฟให้ เขารอให้บิดาบุญธรรมได้สูบซิการ์เพื่อผ่อนคลายอยู่สักครู่ เฉิงเฟิงจึงเป็นฝ่ายกล่าวขึ้นก่อน
“ไม่ทราบว่า..พ่อบุญธรรมมีเรื่องกังวลอะไรหรือครับ”
คำถามของเฉิงเฟิงทำให้หวงเฟยหันมามองหน้าบุตรบุญธรรม มือนำซิการ์ออกจากปาก ก่อนที่จะยิ้ม “สีหน้าของพ่อบ่งบอกขนาดนั้นเลยหรือ”
“ขอโทษครับ ผมขอพูดตามตรง” เฉิงเฟิงมองหน้าบิดา “เผอิญผมได้ยินพ่อบุญธรรมบรรเลงเพลงฉิน ก่อนที่ผมจะเข้ามาครับ”
หวงเฟยยิ้มกว้างพร้อมกับส่ายหน้าไปมา
“คำพูดของลูก คล้ายดั่งจงจือฉีที่รู้ใจของโป๋หยา เพียงแค่ได้ยินเสียงฉินก็เข้าใจ”
เฉิงเฟิงค้อมศีรษะแล้วกล่าวจากใจจริง “ผมเพียงแค่รู้สึกว่าเป็นเช่นนั้น”
หวงเฟยยื่นมือไปตบไหล่ของอีกฝ่าย “พ่อยังมีอะไรที่ปิดบังลูกได้อีกล่ะ อาเฟิง”
บิดาบุญธรรมยิ้มแล้วลุกขึ้นเดินไปยืนอยู่ข้างหน้าต่าง กลิ่นซิการ์ชั้นดีลอยกระจายฟุ้ง
“ที่พ่อเรียกมาวันนี้ อยากจะพูดอะไรกับลูกสักหน่อย”
เฉิงเฟิงลุกขึ้นแล้วเดินไปหยุดอยู่ข้างบิดา หวงเฟยทอดสายตามองไปยังท้องฟ้า ดวงจันทร์ถูกเมฆบดบัง ชายผู้ผ่านโลกมาเกินครึ่งชีวิตขมวดคิ้ว คืนนี้ช่างแลดูเงียบเหงาเมื่อไร้ซึ่งแสงจันทร์สีนวลสาดส่อง ลมเย็นพัดผ่านมา แม้จะสวมใส่เสื้อหนาก็ยังทำให้รู้สึกสะท้านตัว
“ชีวิตก็เหมือนท้องฟ้า บางวันดูช่างสดใส บางวันก็ดูหม่นเทา”
หวงเฟยหันมาพูดกับเฉิงเฟิง “ปีนี้ลูกอายุ ๓๓ แล้วสินะ เวลาช่างผ่านไปรวดเร็วนัก”
คนพูดส่ายหน้าไปมา “แต่พ่อสิอายุจะหกสิบแล้ว” พูดแล้วก็หัวเราะตนเอง
เฉิงเฟิงยิ้มกว้างพูดตามความรู้สึกจริง “พ่อบุญธรรมยังดูแข็งแรงอยู่เลยครับ”
หวงเฟยสูบซิการ์แล้วถอนหายใจ หันมามองใบหน้าบุตรบุญธรรม
“อาเฟิง.. พ่อรู้ตัวดี หลายปีมานี้พ่อไม่ใช่ม้าหนุ่มอีกต่อไปแล้ว แม้ใจจะสู้ แต่สังขารไม่ไหว” หวงเฟยหยุดชะงักไปสักครู่ราวกับมีเรื่องบางอย่างในใจ ก่อนที่จะพูดต่อไป
“เรื่องในสมาคมต่อไปคงต้องให้ลูกช่วยดูแล แต่ไม่ว่าภายหน้าสมาคมอินทรีจะเป็นเช่นไร จะอยู่หรือไม่ ขอให้ลูกเชื่อมั่นตนเอง” หวงเฟยคาบซิการ์ไว้แล้วเอื้อมมือมาตบไหล่บุตรชาย
เฉิงเฟิงฟังแล้ว รู้สึกไม่สบายใจนัก เมื่อเห็นท่าทีของบิดาและคำพูดราวกับว่ากำลังจะมอบหมายหน้าที่สำคัญยิ่งให้กับเขา
“พ่อบุญธรรมมีเรื่องอะไรกันแน่ครับ”
หวงเฟยมองหน้าของบุตรบุญธรรม ก่อนจะพากันเดินกลับมานั่งลงที่เก้าอี้ตามเดิม
“พ่อได้พบกับอาจารย์โจวซุ่น สถานการณ์บ้านเมืองน่าวิตก ฝ่ายซ้ายถูกตามเก็บไปหลายคนพอ ๆ กับฝ่ายขวาที่หักหลังกันเอง พ่อเกรงว่าจะเกิดคลื่นใต้น้ำ อาจารย์โจวจึงต้องหลบซ่อนตัวอยู่”
เฉิงเฟิงขมวดคิ้วเข้ม “อาจารย์โจวเป็นพวกฝ่ายซ้ายหรือครับ” เขาพูดแล้วไม่คิดเช่นนั้น “เป็นไปไม่ได้”
คนพูดมั่นใจแล้วนึกทบทวน “ตั้งแต่ผมได้รู้จักกับอาจารย์โจว คำสนทนาความเห็นของท่านไม่เคยพูดเข้าข้างฝ่ายไหน”
หวงเฟยพยักหน้า “เพียงเพราะเขาช่วยชาวจีนด้วยกัน ก็ถูกปรักปรำว่าเป็นฝ่ายซ้าย”
เฉิงเฟิงถอนหายใจ “ไม่นึกว่าอาจารย์โจวอยากใช้ชีวิตอย่างสงบ กลับไม่ได้อย่างที่หวัง”
หลายปีมานี้เขารู้ว่าอาจารย์โจวต้องใช้ชีวิตหลบซ่อน ไม่นึกว่าคนบริสุทธิ์กลับตกเป็นเหยื่อของพวกขุนศึกที่คอยแก่งแย่งอำนาจ ถึงกับขายเพื่อนร่วมชาติเดียวกัน หมดจากปัญหาหนึ่งก็กลับเกิดอีกปัญหาหนึ่ง นึกแล้วก็หาได้มีใครดีกว่าใคร
“พ่อบุญธรรมครับ ผมมีเรื่องจะแจ้งให้ทราบ” ชายหนุ่มตัดสินใจที่จะนำเรื่องที่เขาจะข้ามไปยังฝั่งผู่ตงและเรื่องสำคัญอีกสองสามเรื่องปรึกษากับหวงเฟย…
หลังจากได้พบและพูดคุยกับบิดาบุญธรรมแล้ว เฉิงเฟิงก็เดินกลับมาที่ห้องนอน ในขณะที่ผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้าไปก็ใช้ความคิดไปด้วย แม้ว่าเขาจะไม่อยากเข้าไปเกี่ยวข้องกับปฏิบัติการลับของบิดาบุญธรรม แต่ก็อดรู้สึกเป็นห่วงไม่ได้ เพราะภาพลักษณ์ภายนอกแม้จะเป็นนายทุนผู้มีอิทธิพล แต่พ่อบุญธรรมของเขากลับไม่เคยคิดเอาเปรียบคนที่ด้อยกว่า มีน้ำใจนักเลงจนเป็นที่นับหน้าถือตา
มีนายทุนและกลุ่มแก๊งไม่น้อยที่แสวงหาผลประโยชน์ใส่ตนแต่ก็ยังให้ความเคารพเกรงใจบิดาบุญธรรม แต่เมื่อมีคนสนับสนุนก็ย่อมต้องมีคนคอยหาทางทำลาย นี่เป็นสัจธรรมของการมีอำนาจและเงินตรา สองสามปีมานี้แก๊งตงเปาจึงได้เติบโตขึ้นมาเบียดรัศมีของสมาคมอินทรี
พวกนั้นใช้แต่กำลังข่มขู่ คุกคามเพื่อให้เจ้าของกิจการ บ่อนพนันหลายแห่งยอมอยู่ใต้อาณัติ ทั้งยังได้ครอบครองพื้นที่ไปอีกหลายร้อยหมู่ รวมไปถึงเถ้าแก่ร้านน้ำชาที่ต้องขอความช่วยเหลือจากเขาเมื่อสองวันก่อน หากว่ายังคงปล่อยให้แก๊งตงเปากระหยิ่ม รุกกินจนพุงกาง ชาวบ้านยากจนก็ยิ่งเดือดร้อน เขาจึงต้องหาทางกำราบพวกนั้นเสียบ้าง แม้รู้ดีว่าการต่อสู้ในครั้งนี้จะยังไม่มีทางสิ้นสุด ผลกระทบของมันอาจจะสั่นสะเทือนธุรกิจของเขาบ้าง อย่างไรก็ตามพวกตงเปาต้องการท้าทายเขาและบิดาบุญธรรมอยู่แล้ว ฉะนั้นจะช้าหรือเร็วสมาคมอินทรีก็ไม่มีทางเลี่ยงการปะทะกับคนพวกตงเปาอยู่ดี จนกระทั่งผลของมันปรากฏชัดว่าใครเป็นผู้ที่แกร่งที่สุด!
เฉิงเฟิงสวมเสื้อคลุมชุดนอนแล้วเดินไปหยิบกระบองอินทรีขึ้นมาดู ใช้ผ้าบรรจงเช็ดทำความสะอาด พร้อมกับมองอาวุธคู่กายในมือ บิดาบุญธรรมได้สร้างเป็นอาวุธพิเศษชิ้นนี้เป็นกระบองสั้น เมื่อปลดล็อกที่ช่วงกลางจะสามารถดึงออกมาเป็นกระบองท่อนยาวได้ และเมื่อดึงส่วนด้ามหัวนกอินทรีออกก็จะปรากฏอาวุธมีดปลายแหลมซึ่งถูกซ่อนไว้ด้านใน ความแวววาวสะท้อนประกายคม เขายังตรวจเช็กปืนพกและอาวุธจำเป็นที่สะดวกในการพกพาอีกสามสี่ชิ้น ทั้งหมดนี้เขาจะต้องนำมันติดตัวไปด้วยในยามที่ข้ามไปยังฝั่งผู่ตง…
เช้าวันรุ่งขึ้น น้าซูหลินรีบมาเยี่ยมดูม่านอี้แล้วบอกอนุญาตให้พักงานไปก่อน ม่านอี้จึงได้ใช้เวลาพักอย่างเต็มที่ เธอพยายามรักษาข้อเท้าของตนเองโดยหวังว่าจะหายทันเพื่อจะได้ไปผู่ตงกับเขาอย่างที่ตั้งใจไว้ สักครู่หนึ่งเสี่ยวชิงก็เดินเข้ามาโดยมีซองจดหมายในมือ
“จดหมายจากพี่หลานซวงหรือ” ม่านอี้ถาม แต่เสี่ยวชิงกลับส่ายศีรษะ”เป็นจดหมายที่ส่งมาจากที่บ้านของคุณหนูค่ะ” สาวใช้คนสนิทรีบยื่นจดหมายฉบับนั้นให้เจ้านายสาวทันที
ม่านอี้กล่าวขอบคุณ เมื่อเสี่ยวชิงเดินออกไปแล้ว เธอรีบเปิดจดหมายแล้วนั่งลงอ่านข้อความทันที อามาของเธอเขียนจดหมายมาเล่าเรื่องที่สยาม พลันรอยยิ้มก็ระบายบนใบหน้า อ่านไปยิ้มไปเมื่อนึกถึงใบหน้าของบุพการี ความในจดหมายบ่งบอกว่าทั้งอามาและอาปาของเธอสบายดีและกำลังไปได้ดีกับธุรกิจร้านค้าขายส่งเล็ก ๆ ที่เริ่มจะขยายกิจการอีก จนกระทั่งได้อ่านท่อนความท้ายของจดหมาย ม่านอี้กลับมีรอยยิ้มจางลง เมื่ออามาของเธอแจ้งว่าอยากจะให้รีบกลับไปช่วยธุรกิจที่บ้าน เมื่ออ่านจบหญิงสาวพับกระดาษใส่ซองแล้วเก็บไว้ในลิ้นชัก
ม่านอี้เงยหน้ามองรูปของพ่อกับแม่ที่นำติดตัวมาด้วย ไม่ใช่ว่าเธอไม่รักพ่อกับแม่ ไม่ใช่ว่าเธอไม่ยินดีที่จะกลับบ้าน เพียงแต่แค่นึกว่าหากจะต้องจากซ่างไห่ไปในช่วงเวลาตอนนี้ หัวใจดวงน้อยรู้สึกก็สั่นคลอนขึ้นมาทันที นัยน์ตาคู่สวยเริ่มพร่ามัวไปด้วยม่านน้ำตา แล้วพูดกับรูปของพ่อแม่
“อาปา อามา ขอเวลาหนูให้อีกสักหน่อยนะคะ”
ม่านอี้อยากทำงานอย่างเต็มที่เพื่อน้าซูหลินกับร้านเมอร์รี่หลินให้สำเร็จ และข้อสำคัญเธออยากจะตอบแทนเฉิงเฟิง ก่อนที่เธอจะเดินทางจากซ่างไห่ไป