บทนำ https://ppantip.com/topic/38091648
บทก่อนหน้า
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้อารัมภบท "รำลึกถึงเฉาโจว" https://ppantip.com/topic/38091648
บทที่๑ "ซ่อนกายที่เฉาโจว"https://ppantip.com/topic/38163232
บทที่๒ "ชะตาชีวิต"https://ppantip.com/topic/38199618
บทที่๓ "พระจันทร์ขึ้นที่ซ่างไห่" https://ppantip.com/topic/38203543
เกริ่นนำ : ภาษาที่ใช้เรียกขานชื่อตัวละครและสถานที่ทั้งหมดจะเรียกเป็นภาษาจีนกลางแทนนะคะ ส่วนบทสนทนาซึ่งควรจะเป็นภาษาแต้จิ๋ว จะบรรยายแทนด้วยคำว่าพูดภาษาจีนสำเนียงท้องถิ่น ,นิยายเรื่องนี้เป็นเรื่องที่แต่งขึ้นทั้งหมด
คำเตือน : บุหรี่และสุราเป็นอันตรายต่อชีวิตและสุขภาพ
"บทที่ ๔ ความรักที่เจ็บปวด "
ปลายฤดูใบไม้ผลิ เฉิงเฟิงมาทำงานที่คลินิกของมิสเตอร์เอลวินได้สามวันแล้ว เขาสวมชุดคลุมยูนิฟอร์มของคลินิกโดยทำหน้าที่อยู่ด้านหน้าเคาน์เตอร์ช่วยต้อนรับและลงทะเบียนให้กับ ลูกค้าซึ่งเป็นชาวต่างชาติค่อนข้างสูงวัยหรือมีน้ำหนักตัวมาก ลูกค้าชาวจีนก็มีไม่น้อยส่วนใหญ่เป็นผู้มีฐานะค่อนข้างดีทั้งสิ้น เฉิงเฟิงเคยถนัดใช้แต่พู่กัน แต่เขาก็ได้เรียนรู้การเขียนอักษรด้วยปากกาแบบใหม่ ส่วนลายมือเขียนพู่กันของเขามักจะได้รับคำชมจากลูกค้าชาวจีน
ในวันนี้มีลูกค้าชาวจีนรายใหม่แซ่หม่า ชื่อหย่งเต๋อ วัยสี่สิบสามปีเข้ามารับการรักษา เขาให้เฉิงเฟิงเขียนรายละเอียดแล้วส่งต่อไปให้ลุงชาวจีนอีกคนผู้ซึ่งทำหน้าที่เดินเอกสาร ระหว่างที่รออยู่นั้นหม่าหย่งเต๋อมองใบหน้าและลักษณะของชายหนุ่มหน้าเคาน์เตอร์คนนี้ แล้วสอบถามชื่อแซ่กับเขา สนทนากันได้สักครู่ หม่าหย่งเต๋อรู้สึกถูกชะตา เพราะเฉิงเฟิงมีใบหน้ายิ้มแย้มและกิริยาการพูดจาดูมีการศึกษา
คนชื่อหม่าหย่งเต๋อก็หยิบรูปภาพหนึ่งขึ้นมาแล้วชวนคุย
“อาเฟิง นายว่าม้าตัวไหนน่าสนใจ ฉันน่าจะเล่นตัวไหนดี”
หม่าหย่งเต๋อชี้ที่รูปม้าสองตัวซึ่งมีหมายเลขกำกับ เฉิงเฟิงมองรูปภาพในมือสลับกับมองหน้าลูกค้า นึกในใจตั้งแต่มาถึงซ่างไห่เขายังไม่เคยเข้าบ่อนการพนันหรือไปสนามแข่งม้าเลยสักครั้ง จึงไม่ค่อยสันทัดที่จะให้คำแนะนำ เขาคิดว่าควรจะพูดความจริง “คุณหม่าครับ ผม..”
แต่เฉิงเฟิงต้องชะงักคำตอบเสียก่อน เพราะผู้ช่วยของมิสเตอร์เอลวินเรียกชื่อของหม่าหย่งเต๋อ ทำให้หม่าหย่งเต๋อต้องขานรับแล้วหันมากระซิบบอกกับเฉิงเฟิง
“เสร็จจากการตรวจ นายค่อยให้คำตอบแล้วกัน”
ชายร่างท้วมยิ้มกว้าง ท่าทางอารมณ์ดี รีบเดินเข้าไปที่ห้องรักษา
ลุงชาวจีนเดินกลับมายืนอยู่ด้านข้าง พร้อมกับกระซิบบอกให้เลือกม้าไปสักตัว เฉิงเฟิงจึงบอกว่าเขาไม่ได้เล่นการพนัน ทำให้ลุงคนนั้นมองหน้าเฉิงเฟิงราวกับไม่อยากจะเชื่อ
“ก็บอกคุณหม่าเขาไปเถอะ ถูกก็ดี ไม่ถูกคราวหน้าก็เลิกถามเอง”
เฉิงเฟิงนึกไม่ถึงว่าเขาจะได้รับคำแนะนำเช่นนั้น ผ่านไปราวครึ่งชั่วโมงหม่าโหย่งเต๋อก็เดินออกมา สีหน้ายังคงเต็มไปด้วยความอยากรู้ราวกับไม่ได้ลืมเรื่องที่เคยถามเอาไว้ ทำให้เฉิงเฟิงต้องฉีกยิ้มแล้วรีบบอกไปแบบสุ่ม ๆ เพื่อให้ลูกค้ารายนี้สบายใจ
เมื่อได้ฟังคำตอบแล้วท่าทางของหย่งเต๋อนั้นดีใจราวกับว่ากำลังจะได้เงินก้อนใหญ่ทั้งที่ยังไม่รู้ผลจะเป็นเช่นไร เฉิงเฟิงมองหน้าหย่งเต๋อแล้วก็ได้แต่อมยิ้ม
ได้เวลาเลิกงาน เฉิงเฟิงถอดชุดคลุมยูนิฟอร์มของคลินิกไปแขวนเข้าที่ตู้ เสร็จแล้วก็กล่าวลากับลุงและหม่าหย่งเต๋อแล้วเดินออกจากคลินิกไป
ผ่านไปไม่นานนักฟู่หรงผู้ช่วยของหวงเฟยก็เข้ามาที่นี่ เมื่อเห็นหม่าหย่งเต๋อก็ทักทาย
“สวัสดีเถ้าแก่หม่า” คนทั้งคู่ก็ยืนพูดคุยกันแล้วหย่งเต๋อก็อวดรูปม้าพร้อมกับกล่าวถึงชายหนุ่มที่ให้คำแนะนำแก่เขาชื่อหวงเฉิงเฟิง เมื่อพูดคุยถามดูลักษณะ ฟู่หรงก็ยิ่งมั่นใจว่าน่าจะเป็นคนเดียวกัน
ฟู่หรงเข้าไปรับยาที่มิสเตอร์เอลวินจัดไว้ให้หวงเฟย เมื่อแยกทางกับหม่าหย่งเต๋อแล้วคิดว่าเขาจะต้องบอกข่าวดีนี้ให้เจ้านายทราบ…
หลังเลิกงานเฉิงเฟิงมักแวะไปเดินเล่นที่ตลาด ขณะที่กำลังยืนจุดบุหรี่สูบอยู่แล้วหยิบรูปภาพหนึ่งจากกระเป๋าขึ้นมาดู ใบหน้าและรอยยิ้มของเซียงเหยานั้นงดงามเสมอในความรู้สึกของเขา
สักครู่มีคนมาสะกิดแขน เมื่อหันหน้าไปก็เห็นขอทานคนหนึ่งมายืนขอบุหรี่กับเขา เฉิงเฟิงมองชายขอทานร่างเล็กที่ผมเผ้ายุ่งเหยิง สวมเสื้อผ้าเก่าจนขาดวิ่น แลดูน่าสงสาร จึงหยิบบุหรี่ยื่นให้ไป แล้วเก็บรูปเซียงเหยาเข้าไว้ที่กระเป๋าด้านใน
ขอทานคนนั้นก็ยังยืนดักอยู่ทางด้านหน้าต่อ “นายท่านได้โปรด ขอเงินกินข้าวสักมื้อเถอะ”
เฉิงเฟิงยิ้มเพียงเล็กน้อย อาจจะเป็นเพราะวันนี้เขาอารมณ์ดีจึงไม่ได้นึกรำคาญการเซ้าซี้ของขอทานร่างเล็กตรงหน้า เขาล้วงมือไปในกระเป๋าจนชายขอทานได้ยินเสียงกรุ้งกริ่งของเหรียญกระทบกัน เฉิงเฟิงหยิบเหรียญที่มีอยู่ส่งให้ไปจำนวนหนึ่งซึ่งคิดว่าเพียงพอกับค่าอาหารสามมื้อ
ขอทานคนนั้นรีบค้อมศีรษะกล่าวขอบคุณพร้อมกับกล่าวอวยพร
“ขอให้นายท่านโชคดี นายท่านร่ำรวยเป็นเศรษฐี” ชายขอทานโค้งตัวแล้วโค้งตัวอีก
เฉิงเฟิงได้แต่ถอนหายใจ แม้แต่ในเมืองใหญ่เช่นนี้คนยากจน คนไร้ที่อยู่อาศัยก็ยังมีให้เห็น
ชายหนุ่มยังคงเดินต่อไป ผ่านร้านค้าขายของที่ยังคึกคักเหมือนอย่างเช่นทุกวัน เมื่อผ่านร้านเครื่องประดับ พลันรู้สึกสะดุดตากับตุ้มหูคู่หนึ่ง เขามองพิจารณาแล้วนึกถึงใบหน้าของเซียงเหยา เมื่อสอบถามราคากับเจ้าของร้านแล้วจึงคิดตั้งใจจะซื้อเพื่อมอบเป็นของขวัญให้เซียงเหยา เขาเก็บถุงใส่เครื่องประดับลงในกระเป๋า เพียงแต่รอให้เธอกลับมา เขาจะได้เล่าเรื่องงานใหม่ให้เธอฟัง
ระหว่างทางผ่านดอกร้านไม้ เห็นดอกกุหลาบสีแดงที่กำลังจะบาน ก็นึกถึงสาวคนรักอีก ยืนมองดอกไม้จนเหม่อ จนแม่ค้าร้านดอกไม้ต้องอมยิ้ม เมื่อเห็นใบหน้าของลูกค้าหนุ่มผู้นี้ราวกับกำลังอยู่ในห้วงแห่งความรัก เฉิงเฟิงซื้อดอกกุหลาบช่อเล็ก ตั้งใจจะเก็บไว้มองยามคิดถึงเซียงเหยา
ในขณะที่กำลังจะเดินกลับ สายตาของเขาก็เหลือบไปเห็นหญิงสาวคนหนึ่งบนรถยนต์ที่จอดติดสัญญาณไฟอยู่ใกล้ร้านดอกไม้แห่งนี้ ซึ่งดูคุ้นหน้าตา เขาจำได้อย่างแม่นยำว่าเป็นเซียงเหยา แต่รถยนต์คันนั้นก็เคลื่อนตัวออกไปเมื่อได้สัญญาณไฟจราจร
เฉิงเฟิงขมวดคิ้วทันที มั่นใจว่าตนเองไม่ได้ตาฝาดไปอย่างแน่นอน จึงรีบโบกมือเรียกรถสามล้อถีบตามไป รถยนต์คันนั้นไม่ได้ขับเร็วจนเกินไปนัก ทำให้เขาติดตามได้ทัน ผ่านไปไม่นานรถยนต์คันนั้นไปจอดอยู่ที่หน้าไนต์คลับหรูแห่งหนึ่ง
เมื่อเฉิงเฟิงลงจากรถรับจ้างก็เดินเลียบไปอยู่ข้าง ๆ สถานที่แห่งนั้น เห็นเซียงเหยาลงจากรถ โดยมีผู้ชายร่างผอมคนหนึ่งแต่งกายด้วยชุดสูท คลุมเสื้อโค้ทยาวและหมวกสักหลาดที่เดินตามลงมาอีกคน จากนั้นมีคนกลุ่มหนึ่งเดินมาจากรถคันหน้า ประมาณห้าหกคนห้อมล้อมทั้งเซียงเหยาและชายคนนั้นแล้วพากันเดินเข้าไปในไนต์คลับแห่งนั้น
เฉิงเฟิงก้มมองสำรวจดูชุดเสื้อผ้าของตนเอง เขาคิดว่าเซียงเหยาอาจจะทำงาน จึงไม่อยากจะรบกวนเธอ คิดว่าควรจะรออยู่ด้านนอกบริเวณนี้ เขาก้มมองช่อดอกกุหลาบในมือแล้วมีรอยยิ้ม
เวลาผ่านไปนานนับหลายชั่วโมงจนกระทั่งมืดค่ำ ชายหนุ่มยังคงนั่งอยู่ใกล้ ๆ บริเวณนั้น อากาศยามค่ำเริ่มเย็นจนรู้สึกได้
ทันทีที่เห็นร่างอวบอิ่มในชุดฉีผาวของสาวคนรักเดินออกมาจากไนต์คลับแห่งนั้น เธอจุดบุหรี่สูบ เมื่อเห็นแน่ชัดว่าเธอกำลังเดินอยู่คนเดียว ชายหนุ่มร่างสูงจึงรีบเดินเข้าไปหาเธอทันที
“เซียงเหยา ทำไมคุณไม่บอกผมจะได้มารับคุณ” เฉิงเฟิงพูดพร้อมกับรอยยิ้มกว้างบนใบหน้า หากแต่สีหน้าของเซียงเหยานั้นกลับตรงกันข้าม ดวงตาคู่สวยนั้นเบิกกว้างราวกับไม่เชื่อสายตาว่าเฉิงเฟิงจะมาถึงที่นี่ เธอรีบก้มหน้า
“อาเฟิง!” น้ำเสียงของเซียงเหยานั้นสั่นเครือ แต่อีกฝ่ายมัวแต่รู้สึกดีใจจนไม่ทันได้สังเกต
“ดอกไม้ที่คุณชอบ” เฉิงเฟิงยื่นช่อดอกกุหลาบสีแดงสดให้เซียงเหยา
หญิงสาวรับไว้ในมือแล้วก็หันซ้ายแลขวาเหมือนมองหาใคร ยังไม่ทันที่เฉิงเฟิงจะได้บอกว่าเขาได้งานใหม่ เซียงเหยารีบดึงแขนเฉิงเฟิงมายืนอีกมุมหนึ่งให้ห่างจากไนต์คลับแห่งนั้น
“อาเฟิง ฉันหาที่อยู่ของน้าซูหลินให้นายได้แล้ว” เซียงเหยารีบเปิดกระเป๋าหนีบแล้วหยิบกระดาษที่พับไว้อย่างดียื่นให้เฉิงเฟิง
ชายหนุ่มรับไว้พร้อมด้วยรอยยิ้มกว้างรู้สึกซาบซึ้งใจ “คุณเซียงเหยา ขอบคุณมาก”
เซียงเหยาต้องรีบบอกกับชายคนรักให้รีบไปจากที่นี่เสียก่อน
“นายกลับไปก่อน รีบไป” ทั้งน้ำเสียงและสีหน้ากระอักกระอวนของเซียงเหยาทำให้เฉิงเฟิงต้องขมวดคิ้วเข้มตึง เห็นสาวคนรักเหมือนจะพยายามก้มหน้าหลบร่องรอยอะไรบางอย่าง
ขณะที่เซียงเหยาหมุนตัวเดินกลับไป เขาจึงตามไปฉุดรั้งแขนเธอเอาไว้ เมื่อยืนอยู่ในที่มีแสงสว่าง ทันใดนั้นเขาก็เห็นถนัดแก่สายตาว่าใบหน้าของเซียงเหยาดูเหมือนจะมีรอยช้ำเป็นวงเล็ก ๆ
“ใครทำอะไรคุณ บอกผมสิ” เฉิงเฟิงเอื้อมมือไปลูบที่แก้มเนียน แล้วจับไหล่ของเซียงเหยาไว้แน่น ยิ่งทำให้หญิงสาวยืนตัวสั่น เธอได้แต่ส่ายหน้าไปมา
“เซียงเหยา!”
เสียงเรียกนั้นทำให้หญิงสาวที่ถูกเรียกสะดุ้งสุดตัว เนื้อตัวสั่นเทามากขึ้น ใบหน้าซีดเซียว นัยน์ตาคู่สวยกลับเอ่อด้วยม่านน้ำตา เธอมองหน้าเฉิงเฟิงราวกับปวดร้าวใจ
“ที่แท้ก็แอบคบไอ้หนุ่มข้างถนนนี่เอง ใฝ่ต่ำจริงๆ “
เฉิงเฟิงขบกรามแน่นจนนูนแล้วหันหน้าไปมองคนพูดคือชายร่างผอมสวมเสื้อสูทคนนั้น ชายคนนั้นเดินตรงเข้ามาคว้าข้อมือของเซียงเหยาไปต่อหน้าต่อตา ร่างอวบอิ่มของเธอถลาไปตามแรงฉุด ข้อมือของเธอถูกบีบจนต้องนิ่วหน้าด้วยความเจ็บ
“ปล่อยเธอ! อย่าแตะต้องเธอ” เฉิงเฟิงรีบตามไปเอื้อมมือคว้าตัวของเซียงเหยากลับมาพร้อมกับผลักหน้าอกของชายร่างผอมนั้นไปอย่างแรง เซียงเหยาถึงกับยกมือขึ้นปิดปาก
ตอนนี้ลูกน้องห้าหกคนนั้นได้เดินตามมาทางนี้ ช่วยกันดึงตัวเซียงเหยากลับมาอยู่กับเจ้านาย
“อย่าแตะต้องเธออย่างนั้นเหรอ” ชายคนนั้นพูดด้วยน้ำเสียงที่เยาะเย้ย สายตาของมันเต็มไปด้วยความเหยียดหยามอย่างเห็นได้ชัด เฉิงเฟิงนึกรังเกียจรอยยิ้มของชายคนนั้นขึ้นมาทันที
“ไอ้โง่! รู้ไหมว่าเธอเป็นนางบำเรอของฉัน” ชายคนนั้นพูดแล้วหันเอาหน้าซุกไซ้กับแก้มของเซียงเหยาราวกับมันเป็นเจ้าของเธอ
“ลองถามเซียงเหยาดูสิ เวลาอยู่กับฉันแล้วมันน่าสนุกแค่ไหน” ชายคนนั้นจับกระชากต้นแขนของเซียงเหยาบีบจนเนื้อต้นแขนของเธอแดงก่ำ
黃成風 ยอดบุรุษซ่อนคมพยัคฆ์ : ภาคหวงเฉิงเฟิง บทที่ ๔ ความรักที่เจ็บปวด
บทก่อนหน้า
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
เกริ่นนำ : ภาษาที่ใช้เรียกขานชื่อตัวละครและสถานที่ทั้งหมดจะเรียกเป็นภาษาจีนกลางแทนนะคะ ส่วนบทสนทนาซึ่งควรจะเป็นภาษาแต้จิ๋ว จะบรรยายแทนด้วยคำว่าพูดภาษาจีนสำเนียงท้องถิ่น ,นิยายเรื่องนี้เป็นเรื่องที่แต่งขึ้นทั้งหมด
คำเตือน : บุหรี่และสุราเป็นอันตรายต่อชีวิตและสุขภาพ
ปลายฤดูใบไม้ผลิ เฉิงเฟิงมาทำงานที่คลินิกของมิสเตอร์เอลวินได้สามวันแล้ว เขาสวมชุดคลุมยูนิฟอร์มของคลินิกโดยทำหน้าที่อยู่ด้านหน้าเคาน์เตอร์ช่วยต้อนรับและลงทะเบียนให้กับ ลูกค้าซึ่งเป็นชาวต่างชาติค่อนข้างสูงวัยหรือมีน้ำหนักตัวมาก ลูกค้าชาวจีนก็มีไม่น้อยส่วนใหญ่เป็นผู้มีฐานะค่อนข้างดีทั้งสิ้น เฉิงเฟิงเคยถนัดใช้แต่พู่กัน แต่เขาก็ได้เรียนรู้การเขียนอักษรด้วยปากกาแบบใหม่ ส่วนลายมือเขียนพู่กันของเขามักจะได้รับคำชมจากลูกค้าชาวจีน
ในวันนี้มีลูกค้าชาวจีนรายใหม่แซ่หม่า ชื่อหย่งเต๋อ วัยสี่สิบสามปีเข้ามารับการรักษา เขาให้เฉิงเฟิงเขียนรายละเอียดแล้วส่งต่อไปให้ลุงชาวจีนอีกคนผู้ซึ่งทำหน้าที่เดินเอกสาร ระหว่างที่รออยู่นั้นหม่าหย่งเต๋อมองใบหน้าและลักษณะของชายหนุ่มหน้าเคาน์เตอร์คนนี้ แล้วสอบถามชื่อแซ่กับเขา สนทนากันได้สักครู่ หม่าหย่งเต๋อรู้สึกถูกชะตา เพราะเฉิงเฟิงมีใบหน้ายิ้มแย้มและกิริยาการพูดจาดูมีการศึกษา
คนชื่อหม่าหย่งเต๋อก็หยิบรูปภาพหนึ่งขึ้นมาแล้วชวนคุย
“อาเฟิง นายว่าม้าตัวไหนน่าสนใจ ฉันน่าจะเล่นตัวไหนดี”
หม่าหย่งเต๋อชี้ที่รูปม้าสองตัวซึ่งมีหมายเลขกำกับ เฉิงเฟิงมองรูปภาพในมือสลับกับมองหน้าลูกค้า นึกในใจตั้งแต่มาถึงซ่างไห่เขายังไม่เคยเข้าบ่อนการพนันหรือไปสนามแข่งม้าเลยสักครั้ง จึงไม่ค่อยสันทัดที่จะให้คำแนะนำ เขาคิดว่าควรจะพูดความจริง “คุณหม่าครับ ผม..”
แต่เฉิงเฟิงต้องชะงักคำตอบเสียก่อน เพราะผู้ช่วยของมิสเตอร์เอลวินเรียกชื่อของหม่าหย่งเต๋อ ทำให้หม่าหย่งเต๋อต้องขานรับแล้วหันมากระซิบบอกกับเฉิงเฟิง
“เสร็จจากการตรวจ นายค่อยให้คำตอบแล้วกัน”
ชายร่างท้วมยิ้มกว้าง ท่าทางอารมณ์ดี รีบเดินเข้าไปที่ห้องรักษา
ลุงชาวจีนเดินกลับมายืนอยู่ด้านข้าง พร้อมกับกระซิบบอกให้เลือกม้าไปสักตัว เฉิงเฟิงจึงบอกว่าเขาไม่ได้เล่นการพนัน ทำให้ลุงคนนั้นมองหน้าเฉิงเฟิงราวกับไม่อยากจะเชื่อ
“ก็บอกคุณหม่าเขาไปเถอะ ถูกก็ดี ไม่ถูกคราวหน้าก็เลิกถามเอง”
เฉิงเฟิงนึกไม่ถึงว่าเขาจะได้รับคำแนะนำเช่นนั้น ผ่านไปราวครึ่งชั่วโมงหม่าโหย่งเต๋อก็เดินออกมา สีหน้ายังคงเต็มไปด้วยความอยากรู้ราวกับไม่ได้ลืมเรื่องที่เคยถามเอาไว้ ทำให้เฉิงเฟิงต้องฉีกยิ้มแล้วรีบบอกไปแบบสุ่ม ๆ เพื่อให้ลูกค้ารายนี้สบายใจ
เมื่อได้ฟังคำตอบแล้วท่าทางของหย่งเต๋อนั้นดีใจราวกับว่ากำลังจะได้เงินก้อนใหญ่ทั้งที่ยังไม่รู้ผลจะเป็นเช่นไร เฉิงเฟิงมองหน้าหย่งเต๋อแล้วก็ได้แต่อมยิ้ม
ได้เวลาเลิกงาน เฉิงเฟิงถอดชุดคลุมยูนิฟอร์มของคลินิกไปแขวนเข้าที่ตู้ เสร็จแล้วก็กล่าวลากับลุงและหม่าหย่งเต๋อแล้วเดินออกจากคลินิกไป
ผ่านไปไม่นานนักฟู่หรงผู้ช่วยของหวงเฟยก็เข้ามาที่นี่ เมื่อเห็นหม่าหย่งเต๋อก็ทักทาย
“สวัสดีเถ้าแก่หม่า” คนทั้งคู่ก็ยืนพูดคุยกันแล้วหย่งเต๋อก็อวดรูปม้าพร้อมกับกล่าวถึงชายหนุ่มที่ให้คำแนะนำแก่เขาชื่อหวงเฉิงเฟิง เมื่อพูดคุยถามดูลักษณะ ฟู่หรงก็ยิ่งมั่นใจว่าน่าจะเป็นคนเดียวกัน
ฟู่หรงเข้าไปรับยาที่มิสเตอร์เอลวินจัดไว้ให้หวงเฟย เมื่อแยกทางกับหม่าหย่งเต๋อแล้วคิดว่าเขาจะต้องบอกข่าวดีนี้ให้เจ้านายทราบ…
หลังเลิกงานเฉิงเฟิงมักแวะไปเดินเล่นที่ตลาด ขณะที่กำลังยืนจุดบุหรี่สูบอยู่แล้วหยิบรูปภาพหนึ่งจากกระเป๋าขึ้นมาดู ใบหน้าและรอยยิ้มของเซียงเหยานั้นงดงามเสมอในความรู้สึกของเขา
สักครู่มีคนมาสะกิดแขน เมื่อหันหน้าไปก็เห็นขอทานคนหนึ่งมายืนขอบุหรี่กับเขา เฉิงเฟิงมองชายขอทานร่างเล็กที่ผมเผ้ายุ่งเหยิง สวมเสื้อผ้าเก่าจนขาดวิ่น แลดูน่าสงสาร จึงหยิบบุหรี่ยื่นให้ไป แล้วเก็บรูปเซียงเหยาเข้าไว้ที่กระเป๋าด้านใน
ขอทานคนนั้นก็ยังยืนดักอยู่ทางด้านหน้าต่อ “นายท่านได้โปรด ขอเงินกินข้าวสักมื้อเถอะ”
เฉิงเฟิงยิ้มเพียงเล็กน้อย อาจจะเป็นเพราะวันนี้เขาอารมณ์ดีจึงไม่ได้นึกรำคาญการเซ้าซี้ของขอทานร่างเล็กตรงหน้า เขาล้วงมือไปในกระเป๋าจนชายขอทานได้ยินเสียงกรุ้งกริ่งของเหรียญกระทบกัน เฉิงเฟิงหยิบเหรียญที่มีอยู่ส่งให้ไปจำนวนหนึ่งซึ่งคิดว่าเพียงพอกับค่าอาหารสามมื้อ
ขอทานคนนั้นรีบค้อมศีรษะกล่าวขอบคุณพร้อมกับกล่าวอวยพร
“ขอให้นายท่านโชคดี นายท่านร่ำรวยเป็นเศรษฐี” ชายขอทานโค้งตัวแล้วโค้งตัวอีก
เฉิงเฟิงได้แต่ถอนหายใจ แม้แต่ในเมืองใหญ่เช่นนี้คนยากจน คนไร้ที่อยู่อาศัยก็ยังมีให้เห็น
ชายหนุ่มยังคงเดินต่อไป ผ่านร้านค้าขายของที่ยังคึกคักเหมือนอย่างเช่นทุกวัน เมื่อผ่านร้านเครื่องประดับ พลันรู้สึกสะดุดตากับตุ้มหูคู่หนึ่ง เขามองพิจารณาแล้วนึกถึงใบหน้าของเซียงเหยา เมื่อสอบถามราคากับเจ้าของร้านแล้วจึงคิดตั้งใจจะซื้อเพื่อมอบเป็นของขวัญให้เซียงเหยา เขาเก็บถุงใส่เครื่องประดับลงในกระเป๋า เพียงแต่รอให้เธอกลับมา เขาจะได้เล่าเรื่องงานใหม่ให้เธอฟัง
ระหว่างทางผ่านดอกร้านไม้ เห็นดอกกุหลาบสีแดงที่กำลังจะบาน ก็นึกถึงสาวคนรักอีก ยืนมองดอกไม้จนเหม่อ จนแม่ค้าร้านดอกไม้ต้องอมยิ้ม เมื่อเห็นใบหน้าของลูกค้าหนุ่มผู้นี้ราวกับกำลังอยู่ในห้วงแห่งความรัก เฉิงเฟิงซื้อดอกกุหลาบช่อเล็ก ตั้งใจจะเก็บไว้มองยามคิดถึงเซียงเหยา
ในขณะที่กำลังจะเดินกลับ สายตาของเขาก็เหลือบไปเห็นหญิงสาวคนหนึ่งบนรถยนต์ที่จอดติดสัญญาณไฟอยู่ใกล้ร้านดอกไม้แห่งนี้ ซึ่งดูคุ้นหน้าตา เขาจำได้อย่างแม่นยำว่าเป็นเซียงเหยา แต่รถยนต์คันนั้นก็เคลื่อนตัวออกไปเมื่อได้สัญญาณไฟจราจร
เฉิงเฟิงขมวดคิ้วทันที มั่นใจว่าตนเองไม่ได้ตาฝาดไปอย่างแน่นอน จึงรีบโบกมือเรียกรถสามล้อถีบตามไป รถยนต์คันนั้นไม่ได้ขับเร็วจนเกินไปนัก ทำให้เขาติดตามได้ทัน ผ่านไปไม่นานรถยนต์คันนั้นไปจอดอยู่ที่หน้าไนต์คลับหรูแห่งหนึ่ง
เมื่อเฉิงเฟิงลงจากรถรับจ้างก็เดินเลียบไปอยู่ข้าง ๆ สถานที่แห่งนั้น เห็นเซียงเหยาลงจากรถ โดยมีผู้ชายร่างผอมคนหนึ่งแต่งกายด้วยชุดสูท คลุมเสื้อโค้ทยาวและหมวกสักหลาดที่เดินตามลงมาอีกคน จากนั้นมีคนกลุ่มหนึ่งเดินมาจากรถคันหน้า ประมาณห้าหกคนห้อมล้อมทั้งเซียงเหยาและชายคนนั้นแล้วพากันเดินเข้าไปในไนต์คลับแห่งนั้น
เฉิงเฟิงก้มมองสำรวจดูชุดเสื้อผ้าของตนเอง เขาคิดว่าเซียงเหยาอาจจะทำงาน จึงไม่อยากจะรบกวนเธอ คิดว่าควรจะรออยู่ด้านนอกบริเวณนี้ เขาก้มมองช่อดอกกุหลาบในมือแล้วมีรอยยิ้ม
เวลาผ่านไปนานนับหลายชั่วโมงจนกระทั่งมืดค่ำ ชายหนุ่มยังคงนั่งอยู่ใกล้ ๆ บริเวณนั้น อากาศยามค่ำเริ่มเย็นจนรู้สึกได้
ทันทีที่เห็นร่างอวบอิ่มในชุดฉีผาวของสาวคนรักเดินออกมาจากไนต์คลับแห่งนั้น เธอจุดบุหรี่สูบ เมื่อเห็นแน่ชัดว่าเธอกำลังเดินอยู่คนเดียว ชายหนุ่มร่างสูงจึงรีบเดินเข้าไปหาเธอทันที
“เซียงเหยา ทำไมคุณไม่บอกผมจะได้มารับคุณ” เฉิงเฟิงพูดพร้อมกับรอยยิ้มกว้างบนใบหน้า หากแต่สีหน้าของเซียงเหยานั้นกลับตรงกันข้าม ดวงตาคู่สวยนั้นเบิกกว้างราวกับไม่เชื่อสายตาว่าเฉิงเฟิงจะมาถึงที่นี่ เธอรีบก้มหน้า
“อาเฟิง!” น้ำเสียงของเซียงเหยานั้นสั่นเครือ แต่อีกฝ่ายมัวแต่รู้สึกดีใจจนไม่ทันได้สังเกต
“ดอกไม้ที่คุณชอบ” เฉิงเฟิงยื่นช่อดอกกุหลาบสีแดงสดให้เซียงเหยา
หญิงสาวรับไว้ในมือแล้วก็หันซ้ายแลขวาเหมือนมองหาใคร ยังไม่ทันที่เฉิงเฟิงจะได้บอกว่าเขาได้งานใหม่ เซียงเหยารีบดึงแขนเฉิงเฟิงมายืนอีกมุมหนึ่งให้ห่างจากไนต์คลับแห่งนั้น
“อาเฟิง ฉันหาที่อยู่ของน้าซูหลินให้นายได้แล้ว” เซียงเหยารีบเปิดกระเป๋าหนีบแล้วหยิบกระดาษที่พับไว้อย่างดียื่นให้เฉิงเฟิง
ชายหนุ่มรับไว้พร้อมด้วยรอยยิ้มกว้างรู้สึกซาบซึ้งใจ “คุณเซียงเหยา ขอบคุณมาก”
เซียงเหยาต้องรีบบอกกับชายคนรักให้รีบไปจากที่นี่เสียก่อน
“นายกลับไปก่อน รีบไป” ทั้งน้ำเสียงและสีหน้ากระอักกระอวนของเซียงเหยาทำให้เฉิงเฟิงต้องขมวดคิ้วเข้มตึง เห็นสาวคนรักเหมือนจะพยายามก้มหน้าหลบร่องรอยอะไรบางอย่าง
ขณะที่เซียงเหยาหมุนตัวเดินกลับไป เขาจึงตามไปฉุดรั้งแขนเธอเอาไว้ เมื่อยืนอยู่ในที่มีแสงสว่าง ทันใดนั้นเขาก็เห็นถนัดแก่สายตาว่าใบหน้าของเซียงเหยาดูเหมือนจะมีรอยช้ำเป็นวงเล็ก ๆ
“ใครทำอะไรคุณ บอกผมสิ” เฉิงเฟิงเอื้อมมือไปลูบที่แก้มเนียน แล้วจับไหล่ของเซียงเหยาไว้แน่น ยิ่งทำให้หญิงสาวยืนตัวสั่น เธอได้แต่ส่ายหน้าไปมา
“เซียงเหยา!”
เสียงเรียกนั้นทำให้หญิงสาวที่ถูกเรียกสะดุ้งสุดตัว เนื้อตัวสั่นเทามากขึ้น ใบหน้าซีดเซียว นัยน์ตาคู่สวยกลับเอ่อด้วยม่านน้ำตา เธอมองหน้าเฉิงเฟิงราวกับปวดร้าวใจ
“ที่แท้ก็แอบคบไอ้หนุ่มข้างถนนนี่เอง ใฝ่ต่ำจริงๆ “
เฉิงเฟิงขบกรามแน่นจนนูนแล้วหันหน้าไปมองคนพูดคือชายร่างผอมสวมเสื้อสูทคนนั้น ชายคนนั้นเดินตรงเข้ามาคว้าข้อมือของเซียงเหยาไปต่อหน้าต่อตา ร่างอวบอิ่มของเธอถลาไปตามแรงฉุด ข้อมือของเธอถูกบีบจนต้องนิ่วหน้าด้วยความเจ็บ
“ปล่อยเธอ! อย่าแตะต้องเธอ” เฉิงเฟิงรีบตามไปเอื้อมมือคว้าตัวของเซียงเหยากลับมาพร้อมกับผลักหน้าอกของชายร่างผอมนั้นไปอย่างแรง เซียงเหยาถึงกับยกมือขึ้นปิดปาก
ตอนนี้ลูกน้องห้าหกคนนั้นได้เดินตามมาทางนี้ ช่วยกันดึงตัวเซียงเหยากลับมาอยู่กับเจ้านาย
“อย่าแตะต้องเธออย่างนั้นเหรอ” ชายคนนั้นพูดด้วยน้ำเสียงที่เยาะเย้ย สายตาของมันเต็มไปด้วยความเหยียดหยามอย่างเห็นได้ชัด เฉิงเฟิงนึกรังเกียจรอยยิ้มของชายคนนั้นขึ้นมาทันที
“ไอ้โง่! รู้ไหมว่าเธอเป็นนางบำเรอของฉัน” ชายคนนั้นพูดแล้วหันเอาหน้าซุกไซ้กับแก้มของเซียงเหยาราวกับมันเป็นเจ้าของเธอ
“ลองถามเซียงเหยาดูสิ เวลาอยู่กับฉันแล้วมันน่าสนุกแค่ไหน” ชายคนนั้นจับกระชากต้นแขนของเซียงเหยาบีบจนเนื้อต้นแขนของเธอแดงก่ำ