บทนำ https://ppantip.com/topic/38091648
บทก่อนหน้า
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้อารัมภบท "รำลึกถึงเฉาโจว" https://ppantip.com/topic/38091648
บทที่๑ "ซ่อนกายที่เฉาโจว"https://ppantip.com/topic/38163232
เกริ่นนำ : ภาษาที่ใช้เรียกขานชื่อตัวละครและสถานที่ทั้งหมดจะเรียกเป็นภาษาจีนกลางแทนนะคะ ส่วนบทสนทนาซึ่งควรจะเป็นภาษาแต้จิ๋ว จะบรรยายแทนด้วยคำว่าพูดภาษาจีนสำเนียงท้องถิ่น ,นิยายเรื่องนี้เป็นเรื่องที่แต่งขึ้นทั้งหมด
คำเตือน : บุหรี่และสุราเป็นอันตรายต่อชีวิตและสุขภาพ
"บทที่ ๒ ชะตาชีวิต"
เสียงเคาะไม้บอกเวลาที่ดังอยู่ด้านนอก ทำให้เด็กหนุ่มที่เพิ่งจะเคลิ้มหลับไป สะดุ้งตัวตื่นพร้อมกับมือขยี้ตารู้ว่าขณะนี้เป็นเวลายามสามแล้ว
ไม่นานนักเขาก็ได้เสียงเปิดประตูไม้ คนที่เขากำลังรอได้มาถึงแล้ว
“น้าหลินกลับมาแล้ว” เฉิงเฟิงลุกขึ้นกล่าวทักทาย
ซูหลินเดินเข้ามาเห็นเด็กหนุ่มมีใบหน้ายิ้มแย้ม
“ ทำไมยังไม่ไปนอนล่ะ” ซูหลินเอ่ยถามพร้อมกับถอดเสื้อคลุมออก
“ผมต้มน้ำเตรียมไว้ให้แล้ว” เฉิงเฟิงรีบบอกราวกับรายงานเรื่องสำคัญ
ซูหลินขมวดคิ้วเรียว นึกแปลกใจทำไมเฉิงเฟิงดูเอาใจเธอนัก เด็กหนุ่มรีบรับเสื้อคลุมจากเธอไปช่วยแขวนไว้ให้ ซูหลินเดินไปนั่งลงที่หน้าโต๊ะกระจกแล้วถอดตุ้มหูออก จากกระจกเธอยังคงเห็นเด็กหนุ่มยืนอยู่ ซูหลินจึงหันหน้ามาถาม “มีเรื่องอะไรหรือ”
เฉิงเฟิงมีท่าทางลังเลอยู่สักครู่ เด็กหนุ่มสูดลมหายใจลึกแล้วเอ่ยถาม
“ผมกับอาเจี้ยนไปข้างนอก ทำไมพวกเด็กละแวกใกล้เคียง พวกนั้นถึงชอบเรียกผมกับอาเจี้ยนว่า ’ไอ้เต้าหู’ ล่ะครับ”
คนถูกถามถึงกับนั่งอึ้งไป แต่แล้วพยายามเก็บสีหน้าไว้
“พวกเจ้าสองคนก็ไม่ต้องไปสนใจอะไร” ซูหลินรีบพูดตัดบทน้ำเสียงแสดงความเหนื่อยหน่ายแล้วหันตัวกลับไปมองกระจก
“พวกเขาบอกว่าผมต้องให้ผู้หญิงเลี้ยงอีกด้วย เป็นยังไงเหรอครับ”
“ถามอะไร? ไม่ใช่เรื่องของเด็ก!”ซูหลินหันมาพูดตะโกนใส่หน้าเฉิงเฟิง
“ยังจะมายืนทำอะไร ไปนอนซะ” ซูหลินพูดแล้วก็สะบัดตัวลุกขึ้นเดินเข้าไปด้านใน ปล่อยให้เฉิงเฟิงยืนนิ่งอยู่คนเดียว ไม่นึกว่าคำถามของเขาจะทำให้น้าซูหลินต้องโกรธถึงเพียงนี้
เมื่อซูหลินเดินกลับออกมา เฉิงเฟิงได้กล่าวขอโทษ ทำให้ซูหลินรู้ตัวว่าคงแสดงอาการเกินไป จึงต้องระงับความโกรธของตัวเอง แล้วไล่ให้เด็กหนุ่มไปเข้านอน “อาเฟิงเจ้าก็ไปนอนซะ อย่าไปสนใจ น้าเหนื่อยมากอยากพัก”
รุ่งเช้าของวันใหม่
ซูหลินก็แต่งตัวสวยอย่างทุกวัน ในบ้านนี้มีแต่ป้าอูที่รู้ว่าเธอทำอาชีพอะไร
เมื่อเฉิงเฟิงเดินออกมาบอกอรุณสวัสดิ์แต่เห็นใบหน้าของน้าซูหลินแลไม่สบายใจ เขาก็ไม่คิดซักถามอีก
แต่ถึงกระนั้นความอยากรู้อยากเห็นทำให้เขาต้องแอบสะกดรอยตามน้าซูหลินไป จนกระทั่งน้าสาวเดินหายเข้าไปสถานที่แห่งหนึ่ง
“หอหลานเซียง” เฉิงเฟิงอ่านชื่อป้ายร้านแห่งนั้น ประดับโคมแขวนเรียงกันเป็นแถว เขาได้แต่ชะเง้อมองดูแต่ไกลเห็นผู้คนทั้งผู้หญิงและผู้ชายยืนคุยหยอกล้อกันอยู่ ชั้นบนก็มีหญิงสาวหน้าตาสวยงามยืนโบกผ้าเช็ดหน้าให้คนที่เดินผ่านไปมา
เฉิงเฟิงจึงเดินไปสอบถามกับคุณป้าคนหนึ่ง แต่เขาก็กลับถูกไล่ตะเพิดแถมว่ายังถูกด่าว่าสาดเสียเทเสีย เฉิงเฟิงจึงตัดสินใจเดินกลับบ้านไป…
จากนั้นจนเวลาผ่านไปอีกสองปีต่อมา ขณะนี้เฉิงเฟิงเข้าสู่วัยหนุ่มสิบหกปี เมื่อซูหลินเห็นว่าเฉิงเฟิงเริ่มโตเป็นหนุ่มมากขึ้น เธอจึงให้เขาไปพักที่บ้านของป้าอูแทน เฉิงเฟิงกับหูเจี้ยนสองคนต่างชวนกันพูดคุยจนมืดค่ำ ป้าอูต้องคอยเตือนให้เข้านอน
ทุกคืนหลังจากเฉิงเฟิงช่วยสอนหนังสือให้หูเจี้ยนแล้ว เฉิงเฟิงก็มักจะใช้เวลานั่งคุยกับรูปภาพพ่อกับแม่ของเขา หูเจี้ยนได้สอบถามก็ทำให้รู้ว่าเฉิงเฟิงพูดไท่เหวินซึ่งเป็นภาษาบ้านเกิดเพื่อเล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นในแต่ละวัน ซึ่งช่วยให้รู้สึกว่าพ่อกับแม่ของเขายังอยู่ใกล้ ๆ
เข้าฤดูใบไม้ร่วง เมื่อถึงวันจงชิว พระจันทร์ในค่ำคืนนี้งดงามเต็มดวง ทั้งเฉิงเฟิงกับหูเจี้ยน ป้าอูต่างก็เตรียมนำขนมรูปทรงกลมมาไหว้พระจันทร์ วันนี้บรรยากาศค่อนข้างคึกคักเพราะบ้านในละแวกใกล้เคียงก็มีพวกญาติ ๆ มาร่วมตัวกัน
“ป้าอู เดี๋ยวจะมีใครมาหรือครับ” เฉิงเฟิงเห็นป้าอูง่วนอยู่กับเตรียมขนม
ยังไม่ทันที่ป้าอูตอบ ซูหลินก็พาเด็กสาวคนหนึ่งเดินเข้ามาด้วย
”เหมยหลิง!” หูเจี้ยนเรียกชื่อเด็กสาวคนนั้น แล้วใช้ไม้เท้าค้ำพร้อมกับขยับตัวเข้าไปหา เฉิงเฟิงเห็นอาการแสดงความดีใจของหูเจี้ยนแล้วก็อมยิ้ม
“เธอสบายดีนะหูเจี้ยน” เหมยหลิงกล่าวทักทายด้วยน้ำเสียงดีใจเช่นกัน
หูเจี้ยนพยักหน้า ใบหน้ายังคงระบายยิ้มจนตาหยี่
ซูหลินจึงแนะนำให้เฉิงเฟิงรู้จักกับเหมยหลิงอายุสิบสองปีเป็นลูกสาวของเธอ ในสายตาของเฉิงเฟิง เหมยหลิงเป็นเด็กสาวหน้าตาน่ารัก ตัดผมหน้าม้า ผูกสองเปีย ใบหน้ากลม ผิวขาว สีหน้ายิ้มแย้ม
เมื่อได้รู้จักทักทายกันแล้ว ต่างก็นั่งทานข้าวและขนม ซูหลินบอกกับทุกคนว่าลูกสาวของเธอจะมาพักอยู่ที่นี่สามสี่วัน ก่อนที่เธอจะส่งเหมยหลิงไปเรียนหนังสือที่ซูโจว ตลอดเวลาของการสนทนาเฉิงเฟิงสังเกตเห็นหูเจี้ยนพูดจามากเป็นพิเศษ อีกทั้งมีสีหน้าเปี่ยมไปด้วยความสุข แต่เมื่อน้าซูหลินบอกว่าจะส่งเหมยหลิงไปเรียนหนังสือที่ซูโจวเท่านั้นสีหน้าของหูเจี้ยนก็กลับดูเศร้าสร้อยไปทันที พวกเขาใช้เวลาพูดคุยไม่ค่อยมากนักจนกระทั่งถึงได้เวลาทุกคนต่างทยอยกันเข้านอน
ในคืนนั้น เฉิงเฟิงเห็นหูเจี้ยนยังนอนไม่หลับ เขาจึงลุกขึ้นนั่ง
“อาเจี้ยน นายมีเรื่องไม่สบายหรือเปล่า”
“นายลองเล่าเรื่องเหมยหลิงให้ฉันฟังสิ”
เมื่อได้ยินที่เฉิงเฟิงเอ่ยถาม หูเจี้ยนก็แสดงอาการกระตือรือร้นเล่าให้ฟังทันทีว่าลูกสาวของน้าซูหลิน เคยอยู่ที่นี่เป็นเพื่อนกับเขามาหลายปีเป็นเด็กผู้หญิงค่อนข้างขี้อาย สุขภาพของเหมยหลิงก็ไม่ค่อยดีนัก ร่างกายบอบบาง แต่เมื่อห้าปีก่อนน้าซูหลินก็ส่งให้เหมยหลิงไปอยู่กับคนรู้จักที่ซูโจว ทั้งเหมยหลิงกับหูเจี้ยนจึงไม่ได้พบกัน
“พอน้าซูหลินบอกว่าจะให้เหมยหลิงเรียนที่ซูโจว นายก็เลยเศร้าใช่ไหม”
เฉิงเฟิงเห็นหูเจี้ยนเงียบไป เขาพอจะเดาได้ว่าเพื่อนรุ่นน้องคนนี้ต้องชอบเหมยหลิงแน่นอน เขาจึงพูดปลอบใจกับหูเจี้ยน
“อาเจี้ยน คืนนี้เป็นวันดี พวกเราสองคนมาร่วมสาบานต่อหน้าดวงจันทร์เป็นพี่น้องกันไหม”
“ดีสิพี่ ฉันอยากมีพี่ชาย” หูเจี้ยนพยักหน้า ยิ้มจนตาเรียวเป็นเส้นเดียว
ทั้งคู่ก็ค่อย ๆ เปิดประตูออกมายืนลานข้างบ้าน พวกเขาต่างก็มองพระจันทร์ เฉิงเฟิงนำธูปออกมาจุด ส่งให้หูเจี้ยนสามดอก เขาถือไว้สามดอก
เฉิงเฟิงเป็นคนพูดนำขึ้นก่อน
“ขอให้พระจันทร์เป็นสักขีพยานว่าข้าหวงเฉิงเฟิงกับหยางหูเจี้ยนสาบานเป็นพี่น้องกัน มีสุขร่วมสุข มีทุกข์ร่วมทุกข์”
หูเจี้ยนหันไปมองหน้าพี่ชายแล้วก็ได้กล่าวตามคำสาบานเป็นพี่น้องเช่นเดียวกับเฉิงเฟิง แล้วทั้งสองคนก็โค้งคำนับสามครั้ง ไหว้ฟ้า ดินและบรรพบุรุษ
“พี่ใหญ่” หูเจี้ยนคำนับเรียกเฉิงเฟิง รอยยิ้มบนใบหน้าหูเจี้ยนดูสดใส
“น้องเจี้ยน” เฉิงเฟิงเรียกหูเจี้ยนแล้วรับคำนับ
แม้ทำเป็นพิธีที่เรียบง่าย แต่เป็นคำสัญญาที่สร้างความอบอุ่นใจให้กับสัมพันธภาพของทั้งคนสอง โดยเฉพาะหูเจี้ยนนั้นไม่รู้สึกว่าโดดเดี่ยวอีกต่อไป
สองวันต่อมาก่อนเดินทางเหมยหลิงเกิดป่วยกระทันหัน นอนเป็นไข้หนาวสั่น ป้าอูต้องช่วยเฝ้าดูแต่เห็นแล้วอาการไม่ดีขึ้น หูเจี้ยนยืนดูอยู่ใกล้ ๆ ก็ร้อนใจเป็นห่วงเหมยหลิงไปด้วย เฉิงเฟิงเพิ่งหุงข้าวเสร็จ จัดการงานบ้านไปได้สักครู่ก็เดินเข้ามาดูอีกคน
ป้าอูลุกขึ้นจะไปตามซูหลิน แต่เฉิงเฟิงได้จังหวะจึงบอกกับป้าอูว่าตนรู้จักที่ทำงานของน้าซูหลินจะเป็นไปตามเอง ป้าอูไม่ทันนึกอะไรจึงได้อนุญาตให้เฉิงเฟิงเป็นคนไปตาม เขาจึงรีบวิ่งไปหาน้าซูหลินที่หอหลานเซียงทันที
เพียงไม่นานเฉิงเฟิงก็มาหยุดยืนอยู่ที่หน้าหอหลานเซียง
“เฮ้ย! ไอ้หนู เจ้าเข้ามาที่นี่ไม่ได้” ชายร่างกำยำสองคนยืนขวางทางไว้
“ ผมจะมาหาคุณน้า” เฉิงเฟิงบอกด้วยความรีบร้อน
ชายร่างกำยำนั้นยืนมองเฉิงเฟิงตั้งแต่หัวจรดเท้า เด็กหนุ่มขายาว ผมตัดสั้น แต่งตัวด้วยเสื้อผ้าเนื้อหยาบ หน้าตาดูมอมแมม
“น้า?...ผู้หญิงหรือผู้ชาย” ชายคนนั้นถาม
“น้าซูหลิน”
ชายร่างกำยำคนนั้นได้ฟังแล้วก็รีบโบกมือพร้อมกับตะโกนบอกไล่เด็กหนุ่ม ทั้งผลักไส้ให้พ้นจากทางเข้า จนเฉิงเฟิงต้องถอยตัวมายืนอยู่ด้านข้างแต่เขายังคงไม่ยอมลดละความพยายาม เขายืนชะเง้อเพื่อมองหาน้าซูหลิน แล้วเขาก็เห็นผู้ชายสองคนเดินมาหยุดอยู่ด้านหน้า เมื่อเห็นว่าชายร่างกำยำคนนั้นพูดคุยให้การต้อนรับ เฉิงเฟิงอาศัยจังหวะนี้หลบแล้วลอดตัวแอบเข้าไป…
เมื่อเข้ามาด้านในได้แล้ว เด็กหนุ่มก็พยายามมองหาน้าซูหลิน แล้วก็เห็นกลุ่มผู้หญิงกับผู้ชายกำลังคุยหยอกล้อกัน เฉิงเฟิงเดินผ่านโดยยังไม่มีใครสนใจเขา แล้วแอบเดินเลาะมาเรื่อย ๆ พลันสายตาก็เหลือบไปเห็นคนที่เขาตามหา ก่อนที่เด็กหนุ่มจะได้ทันเอ่ยเรียก ก็มีชายคนหนึ่งเดินมาฉุดแขนของน้าซูหลินแล้วพากันเดินหลบหายเข้าไปที่มุมหนี่ง..
คิ้วเข้มบนใบหน้าของเฉิงเฟิงขมวดเกลียว เขาตัดสินใจเดินย่องตามเข้าไป ภาพที่เห็นคือ ชายคนนั้นกำลังหอมแก้มน้าซูหลิน ก่อนที่มือของชายคนนั้นจะเลื่อนไปปลดกระดุมเสื้อของน้าหลิน เธอก็หันมาเห็นเขาเสียก่อน ใบหน้าขาวนั้นถอดสี ร้องเรียก” อาเฟิง!” ซูหลินหน้าซีดคาดไม่ถึงว่าเด็กหนุ่มจะตามมาถึงที่นี่
“คุณน้า เหมยหลิงไม่สบายมากครับ”
ซูหลินได้ฟังแล้วรู้สึกร้อนใจเป็นห่วงบุตรสาว กำลังจะก้าวเท้าตามมา แต่ก็ถูกชายคนนั้นฉุดแขนรั้งไว้ “จะไปไหน”
“ฉันจะไปหาลูกก่อน ลูกฉันไม่สบาย”
“ไม่ได้! เธอต้องอยู่กับฉันก่อน”
“ปล่อยน้าหลินเดี๋ยวนี้! “
อาเฟิงถลาตัวไปดึงแขนของน้าหลินเอาไว้ แต่ชายคนนั้นถึงกับเอื้อมมือดึงคอเสื้อของเฉิงเฟิงไว้ “ไอ้นี่ใจกล้านัก หลีกไป!”
“ไม่! ปล่อยน้าหลินก่อน” เฉิงเฟิงยังคงพูดยืนกราน
ชายคนนั้นบันดาลโทสะ ผลักร่างอวบอิ่มของน้าหลินจนล้มลงไปที่พื้น
“น้าหลิน!” อาเฟิงรีบไปประคองน้าซูหลิน เด็กหนุ่มโมโหจนใบหน้าแดงก่ำแล้วหันไปตวาดใส่คนร่างใหญ่กว่า “ไอ้คนรังแกผู้หญิง”
ตอนนี้เฉิงเฟิงกัดฟันกรอดไม่นึกอะไรทั้งสิ้น ปรี่เข้าไปผลักชายคนนั้น ไม่สนใจว่าตนเองจะมีกำลังต่อสู้กับผู้ใหญ่ตรงหน้าได้หรือไม่ แต่เด็กหนุ่มกลับถูกฝ่ามือใหญ่ฟาดเข้าที่หน้าเต็มแรงจนเด็กหนุ่มเสียหลักล้มลงไปที่พื้นอีกคน
“อย่าทำร้ายเขา ฉันขอร้องล่ะ” ซูหลินรีบร้องห้าม
เฉิงเฟิงยังคงมีท่าทีฮึด พร้อมกับนึกในใจ แค่นี้เขาไม่ยอมแพ้ เด็กหนุ่มลุกขึ้นแล้วเดินตรงเข้าไปผู้ชายคนนั้นอีก
“ด้านในเสียงเอะอะมีเรื่องอะไรกัน” ผู้ชายร่างกำยำสองคนรีบวิ่งมาทางนี้
เมื่อเห็นเฉิงเฟิงก็จำได้ “อ้าวไอ้หนูนี่ เข้ามาได้ยังไง”
เด็กหนุ่มรีบคว้าข้อมือของน้าซูหลิน แล้วพากันวิ่งออกไปจากที่นี่ เขาได้ยินเสียงด่าว่าไล่ตามหลังมา
เมื่อทั้งคู่กลับมาถึงบ้าน น้าซูหลินก็รีบเข้าไปดูอาการของบุตรสาว เธอต้องรีบพาหมอมารักษาเหมยหลิง เมื่อตามตัวหมอมาดูอาการจัดยาให้แล้ว ทั้งป้าอูกับซูหลินช่วยกันดูแลเหมยหลิง
黃成風 ยอดบุรุษซ่อนคมพยัคฆ์ : หวงเฉิงเฟิง (เตชินท์) บทที่ ๒ ชะตาชีวิต
บทก่อนหน้า
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
เกริ่นนำ : ภาษาที่ใช้เรียกขานชื่อตัวละครและสถานที่ทั้งหมดจะเรียกเป็นภาษาจีนกลางแทนนะคะ ส่วนบทสนทนาซึ่งควรจะเป็นภาษาแต้จิ๋ว จะบรรยายแทนด้วยคำว่าพูดภาษาจีนสำเนียงท้องถิ่น ,นิยายเรื่องนี้เป็นเรื่องที่แต่งขึ้นทั้งหมด
คำเตือน : บุหรี่และสุราเป็นอันตรายต่อชีวิตและสุขภาพ
เสียงเคาะไม้บอกเวลาที่ดังอยู่ด้านนอก ทำให้เด็กหนุ่มที่เพิ่งจะเคลิ้มหลับไป สะดุ้งตัวตื่นพร้อมกับมือขยี้ตารู้ว่าขณะนี้เป็นเวลายามสามแล้ว
ไม่นานนักเขาก็ได้เสียงเปิดประตูไม้ คนที่เขากำลังรอได้มาถึงแล้ว
“น้าหลินกลับมาแล้ว” เฉิงเฟิงลุกขึ้นกล่าวทักทาย
ซูหลินเดินเข้ามาเห็นเด็กหนุ่มมีใบหน้ายิ้มแย้ม
“ ทำไมยังไม่ไปนอนล่ะ” ซูหลินเอ่ยถามพร้อมกับถอดเสื้อคลุมออก
“ผมต้มน้ำเตรียมไว้ให้แล้ว” เฉิงเฟิงรีบบอกราวกับรายงานเรื่องสำคัญ
ซูหลินขมวดคิ้วเรียว นึกแปลกใจทำไมเฉิงเฟิงดูเอาใจเธอนัก เด็กหนุ่มรีบรับเสื้อคลุมจากเธอไปช่วยแขวนไว้ให้ ซูหลินเดินไปนั่งลงที่หน้าโต๊ะกระจกแล้วถอดตุ้มหูออก จากกระจกเธอยังคงเห็นเด็กหนุ่มยืนอยู่ ซูหลินจึงหันหน้ามาถาม “มีเรื่องอะไรหรือ”
เฉิงเฟิงมีท่าทางลังเลอยู่สักครู่ เด็กหนุ่มสูดลมหายใจลึกแล้วเอ่ยถาม
“ผมกับอาเจี้ยนไปข้างนอก ทำไมพวกเด็กละแวกใกล้เคียง พวกนั้นถึงชอบเรียกผมกับอาเจี้ยนว่า ’ไอ้เต้าหู’ ล่ะครับ”
คนถูกถามถึงกับนั่งอึ้งไป แต่แล้วพยายามเก็บสีหน้าไว้
“พวกเจ้าสองคนก็ไม่ต้องไปสนใจอะไร” ซูหลินรีบพูดตัดบทน้ำเสียงแสดงความเหนื่อยหน่ายแล้วหันตัวกลับไปมองกระจก
“พวกเขาบอกว่าผมต้องให้ผู้หญิงเลี้ยงอีกด้วย เป็นยังไงเหรอครับ”
“ถามอะไร? ไม่ใช่เรื่องของเด็ก!”ซูหลินหันมาพูดตะโกนใส่หน้าเฉิงเฟิง
“ยังจะมายืนทำอะไร ไปนอนซะ” ซูหลินพูดแล้วก็สะบัดตัวลุกขึ้นเดินเข้าไปด้านใน ปล่อยให้เฉิงเฟิงยืนนิ่งอยู่คนเดียว ไม่นึกว่าคำถามของเขาจะทำให้น้าซูหลินต้องโกรธถึงเพียงนี้
เมื่อซูหลินเดินกลับออกมา เฉิงเฟิงได้กล่าวขอโทษ ทำให้ซูหลินรู้ตัวว่าคงแสดงอาการเกินไป จึงต้องระงับความโกรธของตัวเอง แล้วไล่ให้เด็กหนุ่มไปเข้านอน “อาเฟิงเจ้าก็ไปนอนซะ อย่าไปสนใจ น้าเหนื่อยมากอยากพัก”
รุ่งเช้าของวันใหม่
ซูหลินก็แต่งตัวสวยอย่างทุกวัน ในบ้านนี้มีแต่ป้าอูที่รู้ว่าเธอทำอาชีพอะไร
เมื่อเฉิงเฟิงเดินออกมาบอกอรุณสวัสดิ์แต่เห็นใบหน้าของน้าซูหลินแลไม่สบายใจ เขาก็ไม่คิดซักถามอีก
แต่ถึงกระนั้นความอยากรู้อยากเห็นทำให้เขาต้องแอบสะกดรอยตามน้าซูหลินไป จนกระทั่งน้าสาวเดินหายเข้าไปสถานที่แห่งหนึ่ง
“หอหลานเซียง” เฉิงเฟิงอ่านชื่อป้ายร้านแห่งนั้น ประดับโคมแขวนเรียงกันเป็นแถว เขาได้แต่ชะเง้อมองดูแต่ไกลเห็นผู้คนทั้งผู้หญิงและผู้ชายยืนคุยหยอกล้อกันอยู่ ชั้นบนก็มีหญิงสาวหน้าตาสวยงามยืนโบกผ้าเช็ดหน้าให้คนที่เดินผ่านไปมา
เฉิงเฟิงจึงเดินไปสอบถามกับคุณป้าคนหนึ่ง แต่เขาก็กลับถูกไล่ตะเพิดแถมว่ายังถูกด่าว่าสาดเสียเทเสีย เฉิงเฟิงจึงตัดสินใจเดินกลับบ้านไป…
จากนั้นจนเวลาผ่านไปอีกสองปีต่อมา ขณะนี้เฉิงเฟิงเข้าสู่วัยหนุ่มสิบหกปี เมื่อซูหลินเห็นว่าเฉิงเฟิงเริ่มโตเป็นหนุ่มมากขึ้น เธอจึงให้เขาไปพักที่บ้านของป้าอูแทน เฉิงเฟิงกับหูเจี้ยนสองคนต่างชวนกันพูดคุยจนมืดค่ำ ป้าอูต้องคอยเตือนให้เข้านอน
ทุกคืนหลังจากเฉิงเฟิงช่วยสอนหนังสือให้หูเจี้ยนแล้ว เฉิงเฟิงก็มักจะใช้เวลานั่งคุยกับรูปภาพพ่อกับแม่ของเขา หูเจี้ยนได้สอบถามก็ทำให้รู้ว่าเฉิงเฟิงพูดไท่เหวินซึ่งเป็นภาษาบ้านเกิดเพื่อเล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นในแต่ละวัน ซึ่งช่วยให้รู้สึกว่าพ่อกับแม่ของเขายังอยู่ใกล้ ๆ
เข้าฤดูใบไม้ร่วง เมื่อถึงวันจงชิว พระจันทร์ในค่ำคืนนี้งดงามเต็มดวง ทั้งเฉิงเฟิงกับหูเจี้ยน ป้าอูต่างก็เตรียมนำขนมรูปทรงกลมมาไหว้พระจันทร์ วันนี้บรรยากาศค่อนข้างคึกคักเพราะบ้านในละแวกใกล้เคียงก็มีพวกญาติ ๆ มาร่วมตัวกัน
“ป้าอู เดี๋ยวจะมีใครมาหรือครับ” เฉิงเฟิงเห็นป้าอูง่วนอยู่กับเตรียมขนม
ยังไม่ทันที่ป้าอูตอบ ซูหลินก็พาเด็กสาวคนหนึ่งเดินเข้ามาด้วย
”เหมยหลิง!” หูเจี้ยนเรียกชื่อเด็กสาวคนนั้น แล้วใช้ไม้เท้าค้ำพร้อมกับขยับตัวเข้าไปหา เฉิงเฟิงเห็นอาการแสดงความดีใจของหูเจี้ยนแล้วก็อมยิ้ม
“เธอสบายดีนะหูเจี้ยน” เหมยหลิงกล่าวทักทายด้วยน้ำเสียงดีใจเช่นกัน
หูเจี้ยนพยักหน้า ใบหน้ายังคงระบายยิ้มจนตาหยี่
ซูหลินจึงแนะนำให้เฉิงเฟิงรู้จักกับเหมยหลิงอายุสิบสองปีเป็นลูกสาวของเธอ ในสายตาของเฉิงเฟิง เหมยหลิงเป็นเด็กสาวหน้าตาน่ารัก ตัดผมหน้าม้า ผูกสองเปีย ใบหน้ากลม ผิวขาว สีหน้ายิ้มแย้ม
เมื่อได้รู้จักทักทายกันแล้ว ต่างก็นั่งทานข้าวและขนม ซูหลินบอกกับทุกคนว่าลูกสาวของเธอจะมาพักอยู่ที่นี่สามสี่วัน ก่อนที่เธอจะส่งเหมยหลิงไปเรียนหนังสือที่ซูโจว ตลอดเวลาของการสนทนาเฉิงเฟิงสังเกตเห็นหูเจี้ยนพูดจามากเป็นพิเศษ อีกทั้งมีสีหน้าเปี่ยมไปด้วยความสุข แต่เมื่อน้าซูหลินบอกว่าจะส่งเหมยหลิงไปเรียนหนังสือที่ซูโจวเท่านั้นสีหน้าของหูเจี้ยนก็กลับดูเศร้าสร้อยไปทันที พวกเขาใช้เวลาพูดคุยไม่ค่อยมากนักจนกระทั่งถึงได้เวลาทุกคนต่างทยอยกันเข้านอน
ในคืนนั้น เฉิงเฟิงเห็นหูเจี้ยนยังนอนไม่หลับ เขาจึงลุกขึ้นนั่ง
“อาเจี้ยน นายมีเรื่องไม่สบายหรือเปล่า”
“นายลองเล่าเรื่องเหมยหลิงให้ฉันฟังสิ”
เมื่อได้ยินที่เฉิงเฟิงเอ่ยถาม หูเจี้ยนก็แสดงอาการกระตือรือร้นเล่าให้ฟังทันทีว่าลูกสาวของน้าซูหลิน เคยอยู่ที่นี่เป็นเพื่อนกับเขามาหลายปีเป็นเด็กผู้หญิงค่อนข้างขี้อาย สุขภาพของเหมยหลิงก็ไม่ค่อยดีนัก ร่างกายบอบบาง แต่เมื่อห้าปีก่อนน้าซูหลินก็ส่งให้เหมยหลิงไปอยู่กับคนรู้จักที่ซูโจว ทั้งเหมยหลิงกับหูเจี้ยนจึงไม่ได้พบกัน
“พอน้าซูหลินบอกว่าจะให้เหมยหลิงเรียนที่ซูโจว นายก็เลยเศร้าใช่ไหม”
เฉิงเฟิงเห็นหูเจี้ยนเงียบไป เขาพอจะเดาได้ว่าเพื่อนรุ่นน้องคนนี้ต้องชอบเหมยหลิงแน่นอน เขาจึงพูดปลอบใจกับหูเจี้ยน
“อาเจี้ยน คืนนี้เป็นวันดี พวกเราสองคนมาร่วมสาบานต่อหน้าดวงจันทร์เป็นพี่น้องกันไหม”
“ดีสิพี่ ฉันอยากมีพี่ชาย” หูเจี้ยนพยักหน้า ยิ้มจนตาเรียวเป็นเส้นเดียว
ทั้งคู่ก็ค่อย ๆ เปิดประตูออกมายืนลานข้างบ้าน พวกเขาต่างก็มองพระจันทร์ เฉิงเฟิงนำธูปออกมาจุด ส่งให้หูเจี้ยนสามดอก เขาถือไว้สามดอก
เฉิงเฟิงเป็นคนพูดนำขึ้นก่อน
“ขอให้พระจันทร์เป็นสักขีพยานว่าข้าหวงเฉิงเฟิงกับหยางหูเจี้ยนสาบานเป็นพี่น้องกัน มีสุขร่วมสุข มีทุกข์ร่วมทุกข์”
หูเจี้ยนหันไปมองหน้าพี่ชายแล้วก็ได้กล่าวตามคำสาบานเป็นพี่น้องเช่นเดียวกับเฉิงเฟิง แล้วทั้งสองคนก็โค้งคำนับสามครั้ง ไหว้ฟ้า ดินและบรรพบุรุษ
“พี่ใหญ่” หูเจี้ยนคำนับเรียกเฉิงเฟิง รอยยิ้มบนใบหน้าหูเจี้ยนดูสดใส
“น้องเจี้ยน” เฉิงเฟิงเรียกหูเจี้ยนแล้วรับคำนับ
แม้ทำเป็นพิธีที่เรียบง่าย แต่เป็นคำสัญญาที่สร้างความอบอุ่นใจให้กับสัมพันธภาพของทั้งคนสอง โดยเฉพาะหูเจี้ยนนั้นไม่รู้สึกว่าโดดเดี่ยวอีกต่อไป
สองวันต่อมาก่อนเดินทางเหมยหลิงเกิดป่วยกระทันหัน นอนเป็นไข้หนาวสั่น ป้าอูต้องช่วยเฝ้าดูแต่เห็นแล้วอาการไม่ดีขึ้น หูเจี้ยนยืนดูอยู่ใกล้ ๆ ก็ร้อนใจเป็นห่วงเหมยหลิงไปด้วย เฉิงเฟิงเพิ่งหุงข้าวเสร็จ จัดการงานบ้านไปได้สักครู่ก็เดินเข้ามาดูอีกคน
ป้าอูลุกขึ้นจะไปตามซูหลิน แต่เฉิงเฟิงได้จังหวะจึงบอกกับป้าอูว่าตนรู้จักที่ทำงานของน้าซูหลินจะเป็นไปตามเอง ป้าอูไม่ทันนึกอะไรจึงได้อนุญาตให้เฉิงเฟิงเป็นคนไปตาม เขาจึงรีบวิ่งไปหาน้าซูหลินที่หอหลานเซียงทันที
เพียงไม่นานเฉิงเฟิงก็มาหยุดยืนอยู่ที่หน้าหอหลานเซียง
“เฮ้ย! ไอ้หนู เจ้าเข้ามาที่นี่ไม่ได้” ชายร่างกำยำสองคนยืนขวางทางไว้
“ ผมจะมาหาคุณน้า” เฉิงเฟิงบอกด้วยความรีบร้อน
ชายร่างกำยำนั้นยืนมองเฉิงเฟิงตั้งแต่หัวจรดเท้า เด็กหนุ่มขายาว ผมตัดสั้น แต่งตัวด้วยเสื้อผ้าเนื้อหยาบ หน้าตาดูมอมแมม
“น้า?...ผู้หญิงหรือผู้ชาย” ชายคนนั้นถาม
“น้าซูหลิน”
ชายร่างกำยำคนนั้นได้ฟังแล้วก็รีบโบกมือพร้อมกับตะโกนบอกไล่เด็กหนุ่ม ทั้งผลักไส้ให้พ้นจากทางเข้า จนเฉิงเฟิงต้องถอยตัวมายืนอยู่ด้านข้างแต่เขายังคงไม่ยอมลดละความพยายาม เขายืนชะเง้อเพื่อมองหาน้าซูหลิน แล้วเขาก็เห็นผู้ชายสองคนเดินมาหยุดอยู่ด้านหน้า เมื่อเห็นว่าชายร่างกำยำคนนั้นพูดคุยให้การต้อนรับ เฉิงเฟิงอาศัยจังหวะนี้หลบแล้วลอดตัวแอบเข้าไป…
เมื่อเข้ามาด้านในได้แล้ว เด็กหนุ่มก็พยายามมองหาน้าซูหลิน แล้วก็เห็นกลุ่มผู้หญิงกับผู้ชายกำลังคุยหยอกล้อกัน เฉิงเฟิงเดินผ่านโดยยังไม่มีใครสนใจเขา แล้วแอบเดินเลาะมาเรื่อย ๆ พลันสายตาก็เหลือบไปเห็นคนที่เขาตามหา ก่อนที่เด็กหนุ่มจะได้ทันเอ่ยเรียก ก็มีชายคนหนึ่งเดินมาฉุดแขนของน้าซูหลินแล้วพากันเดินหลบหายเข้าไปที่มุมหนี่ง..
คิ้วเข้มบนใบหน้าของเฉิงเฟิงขมวดเกลียว เขาตัดสินใจเดินย่องตามเข้าไป ภาพที่เห็นคือ ชายคนนั้นกำลังหอมแก้มน้าซูหลิน ก่อนที่มือของชายคนนั้นจะเลื่อนไปปลดกระดุมเสื้อของน้าหลิน เธอก็หันมาเห็นเขาเสียก่อน ใบหน้าขาวนั้นถอดสี ร้องเรียก” อาเฟิง!” ซูหลินหน้าซีดคาดไม่ถึงว่าเด็กหนุ่มจะตามมาถึงที่นี่
“คุณน้า เหมยหลิงไม่สบายมากครับ”
ซูหลินได้ฟังแล้วรู้สึกร้อนใจเป็นห่วงบุตรสาว กำลังจะก้าวเท้าตามมา แต่ก็ถูกชายคนนั้นฉุดแขนรั้งไว้ “จะไปไหน”
“ฉันจะไปหาลูกก่อน ลูกฉันไม่สบาย”
“ไม่ได้! เธอต้องอยู่กับฉันก่อน”
“ปล่อยน้าหลินเดี๋ยวนี้! “
อาเฟิงถลาตัวไปดึงแขนของน้าหลินเอาไว้ แต่ชายคนนั้นถึงกับเอื้อมมือดึงคอเสื้อของเฉิงเฟิงไว้ “ไอ้นี่ใจกล้านัก หลีกไป!”
“ไม่! ปล่อยน้าหลินก่อน” เฉิงเฟิงยังคงพูดยืนกราน
ชายคนนั้นบันดาลโทสะ ผลักร่างอวบอิ่มของน้าหลินจนล้มลงไปที่พื้น
“น้าหลิน!” อาเฟิงรีบไปประคองน้าซูหลิน เด็กหนุ่มโมโหจนใบหน้าแดงก่ำแล้วหันไปตวาดใส่คนร่างใหญ่กว่า “ไอ้คนรังแกผู้หญิง”
ตอนนี้เฉิงเฟิงกัดฟันกรอดไม่นึกอะไรทั้งสิ้น ปรี่เข้าไปผลักชายคนนั้น ไม่สนใจว่าตนเองจะมีกำลังต่อสู้กับผู้ใหญ่ตรงหน้าได้หรือไม่ แต่เด็กหนุ่มกลับถูกฝ่ามือใหญ่ฟาดเข้าที่หน้าเต็มแรงจนเด็กหนุ่มเสียหลักล้มลงไปที่พื้นอีกคน
“อย่าทำร้ายเขา ฉันขอร้องล่ะ” ซูหลินรีบร้องห้าม
เฉิงเฟิงยังคงมีท่าทีฮึด พร้อมกับนึกในใจ แค่นี้เขาไม่ยอมแพ้ เด็กหนุ่มลุกขึ้นแล้วเดินตรงเข้าไปผู้ชายคนนั้นอีก
“ด้านในเสียงเอะอะมีเรื่องอะไรกัน” ผู้ชายร่างกำยำสองคนรีบวิ่งมาทางนี้
เมื่อเห็นเฉิงเฟิงก็จำได้ “อ้าวไอ้หนูนี่ เข้ามาได้ยังไง”
เด็กหนุ่มรีบคว้าข้อมือของน้าซูหลิน แล้วพากันวิ่งออกไปจากที่นี่ เขาได้ยินเสียงด่าว่าไล่ตามหลังมา
เมื่อทั้งคู่กลับมาถึงบ้าน น้าซูหลินก็รีบเข้าไปดูอาการของบุตรสาว เธอต้องรีบพาหมอมารักษาเหมยหลิง เมื่อตามตัวหมอมาดูอาการจัดยาให้แล้ว ทั้งป้าอูกับซูหลินช่วยกันดูแลเหมยหลิง