黃成風 ยอดบุรุษซ่อนคมพยัคฆ์ : หวงเฉิงเฟิง (เตชินท์) บทที่ ๓ พระจันทร์ขึ้นที่ซ่างไห่

บทนำ https://ppantip.com/topic/38091648
บทก่อนหน้า
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
เกริ่นนำ : ภาษาที่ใช้เรียกขานชื่อตัวละครและสถานที่ทั้งหมดจะเรียกเป็นภาษาจีนกลางแทนนะคะ ส่วนบทสนทนาซึ่งควรจะเป็นภาษาแต้จิ๋ว จะบรรยายแทนด้วยคำว่าพูดภาษาจีนสำเนียงท้องถิ่น ,นิยายเรื่องนี้เป็นเรื่องที่แต่งขึ้นทั้งหมด
คำเตือน : บุหรี่และสุราเป็นอันตรายต่อชีวิตและสุขภาพ






"บทที่ ๓ พระจันทร์ขึ้นที่ซ่างไห่ "


          ซ่างไห่..
         หลังจากผ่านการเดินทางมาหลายช่วง จนกระทั่งเรือลำล่าสุดที่เฉิงเฟิงโดยสารมากำลังเทียบท่า
         เฉิงเฟิงแหงนหน้าขึ้นมองดูท้องฟ้าในวันนี้ อากาศแจ่มใส ลมพัดเย็นสบาย ฝูงนกนางนวลที่ส่งเสียงร้องราวกับยินดีที่มีแหล่งอาหารอันอุดมสมบูรณ์อยู่ในแม่น้ำหวงผู่แห่งนี้ ไม่ต่างจากบรรยากาศที่ดูคึกคักเต็มไปด้วยผู้คนสัญจรบนฝั่ง

         เมื่อเฉิงเฟิงได้มายืนอยู่บนแผ่นดินซ่างไห่ ความรู้สึกโดดเดี่ยวกลับโถมเข้าใส่ สถานที่แห่งนี้ดูกว้างใหญ่จนเขากลายเป็นเพียงแค่คนตัวเล็ก

         ตึกสูงที่ตั้งตระหง่านทอดยาวไปตามเส้นทางของแม่น้ำหวงผู่ ถนนหนทางที่ดูกว้างขวาง รถลาก รถราง วิ่งสวนทางกันไปมา รถยนต์รุ่นใหม่ที่เขาไม่เคยได้เห็นมาก่อนก็ร่วมอยู่ในเส้นทางนี้ ทำให้ถนนที่กว้างขวางดูแน่นไปถนัดตา

         ทุกชีวิตราวกับกำลังทำงานแข่งกับเวลา เสียงตะโกนดังเซ็งแซ่ ทั้งขายสินค้า พวกกุลีต่างก็ช่วยกันแบกและหาบของที่มาจากต่างประเทศ ทั้งน้ำมัน ยาสูบ บุหรี่ ใบชา ฯลฯ ดูราวกับสินค้ามีมากมายจนทุกคนทำงานมือเป็นระวิง บรรยากาศรอบเมือง บางครั้งก็ดูน่าตื่นตาตื่นใจ บางคราวก็ช่างดูสับสนวุ่นวายไปหมด
          เฉิงเฟิงหันมองซ้ายแลขวาแล้วกระชับกระเป๋าเดินทางในมือ  
    
           “เจ้าหนุ่มเพิ่งจะมาที่นี่ใช่ไหม”

          เฉิงเฟิงหันไปมองตามเสียงก็เห็นชายร่างท้วมคนหนึ่งเดินเข้ามาหา
เมื่อชายคนนั้นถามไถ่ พูดคุยก็รู้ว่าเฉิงเฟิงเดินทางหลายต่อมาจากเฉาโจว      
          “เจ้าหนุ่มมีคนรู้จักไหม?”
          “มีครับ” เฉิงเฟิงพยักหน้าแล้วล้วงกระเป๋าเสื้อแต่กลับไม่พบกระดาษที่อยู่ เขาตบกระเป๋าทั้งสองข้างก็ไม่พบ จึงคิดว่าเขาคงถูกมือดีล้วงไปแน่นอนตอนที่เดินเบียดเสียดกันเข้ามาจากท่าเรือ ได้แต่นึกโทษความสะเพร่าของตน แต่โชคดีที่เขาแยกเก็บซ่อนเงินไว้ภายในชุดของเขา
           ชายคนนั้นจึงรีบดึงตัวเฉิงเฟิงไปที่มุมหนึ่ง
         “ เดี๋ยวเจ้าหนุ่มเอาเงินสักร้อยหยวนเป็นค่าเบิกทาง แล้วฉันจะพาไปหาที่พัก”    
          เฉิงเฟิงมองหน้าชายร่างท้วมคนนั้น แล้วนึกในใจเขาอุตส่าห์ทำงานเก็บเงินไว้เป็นทุนไม่น้อย แต่ค่าเบิกทางที่ชายคนนั้นพูดถึง ดูออกจะมากไปสักหน่อย ด้วยความรู้สึกเฉลียวใจ เฉิงเฟิงจึงเลี่ยงตอบไปว่าเขาไม่มีเงินมากขนาดนั้น มีเพียงแค่ยี่สิบหยวนเป็นค่าที่พัก
          ชายร่างท้วมมองดูเฉิงเฟิงหัวจรดเท้าแล้วก็พยักหน้าเป็นการตกลง
           “ยี่สิบหยวนก็ได้ แต่ที่พักก็ต้องเล็กหน่อย”
           เฉิงเฟิงจึงล้วงเข้าไปในกระเป๋าด้านใน ชายคนนั้นก็คอยมองตามมาที่มือของเขา เฉิงเฟิงนึกรู้สึกแปลก ๆ  แต่ก็หยิบเงินออกมามอบให้  
           ชายคนนั้นก็รีบรับเงินไป แล้วบอกให้เฉิงเฟิงไปยืนรอที่หน้าร้านขายของ ชายคนนั้นก็เดินหายไปอีกทาง

         ผ่านไปสักระยะเฉิงเฟิงก็ยังไม่เห็นชายคนนั้นกลับมา เขาจึงตัดสินใจเดินไปตามก็พบชายร่างท้วมคนนั้นไปยืนพูดคุยและเก็บเงินกับใครอีกสองสามคน
     “พี่ชายไหนบอกว่าจะหาที่พักให้ฉัน”  
         “จำผิดคนหรือเปล่า ที่นี่คนหน้าตาเหมือนกันมีไม่น้อย”
         “พี่ชายทำไมมาหลอกกันล่ะ เอาเงินของฉันคืนมา”
         “เจ้านี่พูดไม่รู้เรื่อง” ชายร่างท้วมส่งเสียงดังเริ่มแสดงทีท่าไม่พอใจ
       เพียงพริบตาก็มีชายอีกสามสี่คนกรูกันเข้ามาผลักตัวเฉิงเฟิง ชายหนุ่มมองชายที่เข้ามาใหม่ทั้งสี่คน คราวนี้ก็รู้ว่าคนทั้งหมดรวมทั้งชายร่างท้วมคนแรกเป็นพวกเดียวกัน
        เฉิงเฟิงจ้องตาของพวกมันพร้อมกับกำหมัดในมืออีกข้างไว้แน่น เป็นจังหวะเดียวกับตำรวจสันติบาลนายหนึ่งเดินผ่านมาพอดี คนพวกนี้จึงรีบพากันเดินหนีไป  

          ขณะที่เฉิงเฟิงตัดสินใจจะเดินไปบอกกับนายตำรวจผู้นั้น พลันรู้สึกว่ามีมือหนึ่งเอื้อมมาแตะหัวไหล่ของเขาเอาไว้  “พ่อหนุ่ม”
          เฉิงเฟิงถอนหายใจแล้วหันไปมอง “จะเอาอะไรอีกล่ะ”

           คนที่แตะไหล่ของเขาเป็นชายวัยกลางคน ผิวเข้ม ร่างเล็ก ผมสีดำสลับผมหงอกขาว ดวงตาเล็ก ใบหน้ากร้านแดด
          “เอ๊ย! ลุงทำงานลากรถมาหลายปีแล้ว เห็นคนเข้าออกซ่างไห่ไม่รู้เท่าไหร่แทบทุกวัน ถ้าโชคดีลุงเจอก่อนก็จะแนะนำให้ เมื่อสักครู่ถือว่าฟาดเคราะห์ไปแล้วกันนะพ่อหนุ่ม อย่าไปมีเรื่องกับคนพวกนั้นเลย” ลุงคนนั้นรีบบอกอธิบาย
           “คนพวกนั้นเป็นใครหรือครับ ผมเห็นเขาไปหลอกคนอื่นอีก”
              ชายวัยกลางคนโบกมือบอกว่าเรื่องยาวไว้จะเล่าให้ฟัง
              “ ลุงเป็นคนเฉาโจวแซ่หวงชื่อตัวฝู แล้วพ่อหนุ่มชื่อแซ่อะไร มาจากเมืองไหน” ชายวัยกลางคนพูดแนะนำตัว
              เมื่อเห็นความเป็นมิตรและการแสดงน้ำใสใจจริงของคุณลุงท่านนั้น เฉิงเฟิงจึงพูดแนะนำตัว
              “ผมมาจากเฉาโจว แซ่หวง ชื่อเฉิงเฟิงครับ”
               เมื่อลุงคนลากรถได้ยินเช่นนั้น ใบหน้าถึงกับยิ้มกว้างกว่าเดิม มองชายหนุ่มตรงหน้ารุ้สึกถูกชะตา
              “ถ้าเช่นนั้นพวกเราคนกันเอง ถ้าพ่อหนุ่มยังไม่มีที่พักไปอยู่กับลุงก่อนก็ได้ ที่อยู่อาจจะคับแคบหน่อย อยู่ได้ไหมล่ะ”

             เฉิงเฟิงถอนหายใจ ได้เดินทางมาถึงที่นี่ อย่างน้อยก็ควรหาที่อยู่ไว้ก่อนแล้วค่อยตามหาน้าซูหลิน เขาจำได้เพียงแค่ชื่อถนน แต่ไม่ได้จดจำที่อยู่ละเอียดนัก ชายหนุ่มจึงตามลุงตัวฝูไป  

           ลุงตัวฝูขับรถจักรยานสามล้อพาเฉิงเฟิงผ่านถนนเส้นยาวเลี้ยวมาหลายตรอกจนกระทั่งมาถึงตรอกแห่งหนึ่ง เฉิงเฟิงเห็นลุงคนหนึ่งสวมแว่นตาดำอยู่ในชุดฉางซานเก่า ๆ สีซีดหม่น กำลังนั่งสีซอเอ้อหู มือที่ขยับสีซอ บทเพลงบรรเลงที่ได้ยินนั้นราวกับกระทบเข้ามาในใจของเขานัก ยิ่งได้ฟังก็ยิ่งรู้สึกสะท้อนใจ  เสียงบรรเลงซอเอ้อหู ยังดังตามมาจนเขาต้องหันหน้ากลับไปมองชายคนนั้น
             “ลุงตัวฝู คนที่เล่นซออยู่ เขาตาบอดหรือครับ” เฉิงเฟิงหันมาถามกับตัวฝู
              ตัวฝูขับรถไปก็เล่าให้เฉิงเฟิงฟังว่าชายตาบอดมาจากซูโจว เขาเป็นโรคผู้หญิงจนตาบอดแล้วก็ออกเร่ร่อนเล่นเพลงเพื่อแลกเงินกับอาหารประทังชีวิต เฉิงเฟิงได้ฟังแล้วก็ถอนหายใจตาม

            ในที่สุดพวกเขาก็มาถึงที่พัก ลุงตัวฝูเดินนำพาเขาขึ้นไปบนบันไดเล็ก ๆ ที่ค่อนข้างชัน แต่เฉิงเฟิงคุ้นเคยกับบันไดลักษณะนี้เขาจึงก้าวได้ไม่พลาด
             ที่นี่เป็นห้องเช่าเล็ก ๆ ภายในห้องมีเสื่อกับหมอนและของใช้จำเป็นไม่กี่ชิ้น “พักที่นี่ก่อน เอาไว้หางานทำแล้วพ่อหนุ่มมีเงินค่อยไปอยู่ที่อื่นก็ได้”
              ชายวัยกลางคนผู้มีน้ำใจบอกกับเฉิงเฟิง แล้วก็หยิบเสื่ออีกผืนหออกมากางปูกับพื้นพร้อมกับหมอนสี่เหลี่ยมอีกใบและผ้าห่ม  
             “ขอบคุณมากครับ คุณลุงคิดค่าที่พักเท่าไหร” เฉิงเฟิงเอ่ยถาม
              ลุงตัวฝูโบกมือบอกว่าไม่ใช่เรื่องใหญ่ถือว่าช่วยคนกันเอง จากนั้นลุงก็สอบถามกับเฉิงเฟิงเรื่องประสบการณ์การทำงาน ชายหนุ่มจึงเล่าให้คุณลุงฟัง
             ลุงตัวฝูเหมือนใช้ความคิด แล้วก็พูดกับเฉิงเฟิง
              “ทำได้หลายอย่างก็ได้เปรียบ แต่หากทำอะไรดีไม่ได้สักอย่างจะเสียเวลา แล้วรู้หนังสือหรือเปล่า”
              เฉิงเฟิงจึงบอกว่าตนเองรู้หนังสือ ลุงตัวฝูก็เลยถอนหายใจ
                “อยู่ที่นี่จะหางานดี สุจริตก็ต้องรู้ภาษาต่างชาติ มีคนรับประกัน แต่ก็มีอีกประเภทหนึ่งเงินดี แต่ไม่สุจริต ลุงอยากแนะนำว่าอย่าไปเลือกหนทางนั้นเลย มันอันตราย อยู่ที่นี่ต้องทำงานให้มาก ฟังให้มาก คิดให้มาก แต่พูดให้น้อย”
                เฉิงเฟิงพยักหน้าเข้าใจที่ลุงตัวฝูพูดมาทั้งหมด
                 “ลุงมีคำแนะนำให้ผม มีอะไรให้ผมทำก็ไม่เกี่ยงครับ”

                 ลุงตัวฝูจึงบอกว่าจะให้เฉิงเฟิงทำงานลากรถไปหาประสบการณ์ก่อน ค่อยขยับไปหางานอื่น  เฉิงเฟิงก็ตอบตกลง จากนั้นลุงตัวฝูก็พาเขาไปซื้อของใช้จำเป็นที่ตลาด พาไปดูร้านค้าและผู้คนบนท้องถนน พวกเขากลับมาก็เป็นเวลาเย็นแล้ว หลังจากนั่งทานข้าวเรียบร้อย ลุงตัวฝูนั่งพักอยู่สักครู่ก็เปิดเพลงงิ้วจากวิทยุเครื่องเล็ก แล้วก็ล้มตัวลงนอนหลับกรนยาวราวกับเรือกลไฟ  

                   เฉิงเฟิงก็เอนตัวลงนอน เขามองออกไปนอกหน้าต่าง คืนนี้พระจันทร์ยังคงสวยงาม เขานึกถึงน้าซูหลิน ป้าอู และใบหน้าของหูเจี้ยนน้องชายร่วมสาบาน    
                 เขาได้แต่พลิกตัวไปมา กระสับกระส่ายรู้สึกแปลกที่แปลกทางจนนอนไม่หลับ เวลาผ่านไปนานจนกระทั่งเปลือกตาหนักแล้วเฉิงเฟิงก็หลับไป

                รุ่งเช้าวันต่อมาเมื่อกินข้าวเช้าเสร็จ ลุงตัวฝูใจดีก็พาเขาไปที่เฉิงหวงเมี่ยว ศาลเจ้าหลักเมือง สักการะเจ้าพ่อหลักเมืองก่อนเป็นอันดับแรกเพื่อเป็นศิริมงคลและขอพรให้อยู่ที่ซ่างไห่ได้ราบรื่น
                   เฉิงเฟิงจุดธูปดอกใหญ่ แล้วมองไปที่เจ้าพ่อหลักเมือง พร้อมกับยกธูปในมือขึ้นบอกรายงานชื่อแซ่ของตนเองแล้วก็ขอพรจากท่านให้ช่วยคุ้มครองให้อุปสรรคทุกอย่างผ่านพ้นไปด้วยดี  เมื่ออธิษฐานเรียบร้อย ชายหนุ่มก็ปักธูปลงกระถางที่อยู่ภายนอกแล้วเดินเข้าไปด้านในคุกเข่าลงคำนับไหว้สามครั้ง

                  หลังจากนั้นลุงตัวฝูก็พาเขาไปทำงานลากรถเป็นครั้งแรก ลุงตัวฝูทำตัวเป็นลูกค้าแล้วบอกให้เฉิงเฟิงลากรถไปตามเส้นทางที่เขาบอก เฉิงเฟิงวิ่งลากรถอยู่เกือบวันก็พอจะจำเส้นทางได้  

                เฉิงเฟิงซาบซึ้งน้ำใจของลุงตัวฝูมาก ทั้งให้ความนับถืออย่างจริงใจราวกับเป็นญาติสนิทอีกคน จากวันนั้นเขาก็เริ่มทำงานด้วยความขยันขันแข็ง เงินที่ได้มาก็เก็บอุอมไว้ เขาแบ่งเงินรายได้เป็นค่าช่วยเหลือ แต่ลุงตัวฝูผู้มากน้ำใจ ไม่รับ เฉิงเฟิงก็ต้องคะยั้นคะยอจนลุงตัวฝูต้องรับเอาไว้
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่