ฝึกเขียนนิยาย ติขมได้

ปี 2555

กึก กึก กึก ครืด
เสียงรองเท้าผ้าใบเดินมาด้วยขาข้างเดียวส่วนอีกข้างก็ลากตามมาบนพื้นปูน เด็กหนุ่มในชุดพละสีแดงยับเยินทั้งยังมีเฝือกที่ขาอีกด้วย ร่างสูงเดินคอตกเหมือนคนสิ้นหวังบนสะพานเก่า ๆ หลังโรงเรียน ที่นี่มันช่างเงียบสงบเพราะไม่มีใครชอบมา ใบหน้าอันเรียบเฉยนั้นเงยหน้าขึ้นมา เขาตกใจเล็กน้อยที่มีใครอีกคนนั่งอยู่ที่ขอบสะพาน
ควันสีขาวถูกพ่นออกจากริมฝีปากทรงกว้างพร้อมกับกลิ่นเผาไหม้ เด็กสาวผู้มีใบหน้ารูปไข่ เครื่องหน้าสะสวย คิ้วโก่งดวงตาเฉี่ยวรับกับจมูกโด่งมีฮัมพ์ เธอไม่ใช่ใครที่ไหนเลย พัดชาไม้เบื่อไม้เมาของครูห้องปกครอง
“ขนาดหนีมาสูบตรงนี้ยังมีคนมาเจออีกเหรอเนี่ย” เธอใช้ลิ้นดุนกระพุ้งแก้มด้วยหน้าตาเอาเรื่องก่อนจะใช้มือจิ้มมวนบุหรี่เข้ากับขอบซีเมนต์ให้ดับแล้วเขี่ยทิ้งลงพื้น เธอไม่ได้สนใจว่าเขาจะมองเธอยังไงด้วยซ้ำ
“ถ้าเราเป็นคนทำให้เสียบรรยากาศก็ขอโทษด้วยแล้วกัน”
“ไม่ใช่แบบนั้นสักหน่อย” เด็กสาวยิ้มกว้างจนตาหยีเพราะรู้สึกเอ็นดูเจ้าลูกหมาหน้าจ๋อย “นักวิ่งทีมชาติตัวจริงนี่หงอเหมือนกันนะเนี่ย”
“รู้จักเราด้วยเหรอ”
“ขึ้นรับรางวัลหน้าเสาธงบ่อยขนาดนั้น เราเห็นแกจนเบื่อขี้หน้าแล้วรู้หรือเปล่า”
“ต่อจากนี้คงไม่มีโอกาสได้ขึ้นไปอีกแล้วล่ะ สภาพนี้เดินได้ปกติก็เป็นบุญแล้ว” เขาตัดพ้อพลางก้มดูที่ขาซ้ายของตน อยู่ ๆ น้ำตาที่เพิ่งจะเช็ดออกก็กลับมาชุ่มหน้าอีกแล้ว
“ก็ดีแล้วหนิ แล้วจะมาเดินหมดหวังแถวนี้ทำไม”
“ก็...” เด็กหนุ่มได้แต่อ้ำอึ้ง ความจริงแล้วเขาตั้งใจจะมาจบชีวิตที่นี่ต่างหาก เอ็นไขว้ขาหน้าเสียหายขนาดนี้คงกลับไปวิ่งเหมือนเดิมไม่ได้แล้ว อยู่ไปก็ไม่รู้จะทำอะไรต่อ
“บุหรี่ไหม สูบเป็นหรือเปล่า” มือบางยื่นกล่องสี่เหลี่ยมที่ด้านในเต็มไปด้วยมวนบุหรี่ยี่ห้อนอกให้ต่อหน้า เขาหยิบขึ้นมาหนึ่งมวนก่อนจะขึ้นมานั่งข้างเธอ
“ความจริงจะมากระโดดน้ำน่ะ รู้สึกอยู่ไปก็ไร้ค่า” แววตาเศร้าหมองหันกลับมามองพัดชา เด็กสาวเองก็จ้องเขาด้วยความรู้สึกอะไรก็ไม่รู้ ใบหน้าที่ไร้ซึ่งอารมณ์ทำให้เขาเดาใจเธอไม่ได้เลย
สายลมอ่อนพัดผมยาวปลิวไสว แสงจากหลอดไฟเก่า ๆ กระทบลงที่ใบหน้าของพัดชาแสดงให้เห็นจุดเด่นบนใบหน้าสวย ๆ ของเธอ รอยแผลที่ขมับนั้นไม่ได้มาจากความบังเอิญแน่นอน
“ถ้าแกจะกระโดด รอเราดูพลุเสร็จก่อนจะได้ไหม ยังไม่อยากเห็นภาพติดตาตอนนี้” เขาได้แต่ทำหน้างงในคำพูดของพัดชา เด็กสาวแหงนมองตึกสูงระฟ้าที่กำลังจัดงานเฉลิมฉลองบางอย่าง เธอได้แต่มองและยิ้มอย่างพอใจ “เชื่อหรือเปล่าว่าตึกนั้นเป็นของพ่อเรา”
“เชื่อสิ”
“วันนี้เขาจัดงานฉลองวันเกิดให้น้องชายเรา แต่วันนี้เราทะเลาะกับที่บ้านเลยมานั่งอยู่ตรงนี้แทน”
“งั้น...เราขอนั่งตรงนี้เป็นเพื่อเธอได้ไหม”
“เอาดิ นั่งตรงนี้คนเดียวบ่อย ๆ ก็เหงาเหมือนกัน”
“มาบ่อยเหรอ”
“ก็ทุกครั้งที่ทะเลาะกับที่บ้านนั่นแหละ นั่งให้ยุงกัดจนพอใจถึงจะยอมกลับ” เธอถอนหายใจพลางหันมามองหน้าเขา
“ขอโทษนะ”
“เรื่อง?” เธอเลิกคิ้วถาม
“ที่เข้ามาขัดจังหวะ พอดีวันนี้มีเรื่องนิดหน่อย”
“ไม่หน่อยแล้วมั้งถึงขั้นจะมากระโดดน้ำเนี่ย”
“ก็...” เขาเงียบไปอยู่ครู่หนึ่ง ใบหน้าที่บอบช้ำก้มหน้าลง ไม่นานนักหยดน้ำเล็ก ๆ ก็หยดลงบนกางเกง เด็กหนุ่มสะอื้นก่อนจะรู้ตัวว่าเผลอร้องไห้ออกมาเสียแล้ว “โดนพ่อดุน่ะสิ เขาเครียดที่เราวิ่งไม่ได้”
“ชีวิตมันมีอะไรให้ทำตั้งเยอะแยะนะ”
“ตั้งแต่จำความได้เราก็วิ่งมาโดยตลอด อยู่ดี ๆ วันนี้มันทำไม่ได้เหมือนแต่ก่อนก็เคว้งอยู่เหมือนกัน”
“เราเข้าใจแกนะ อยากจะทำอะไรก็ทำไปเถอะ” เด็กสาวพูดก่อนจะหันไปสนใจแสงพลุตรงหน้าที่ถูกจุดขึ้นแล้ว เงาสะท้อนในตาเธอก็เป็นประกายไม่ต่างกัน เธอมองพลุและเขาก็กำลังมองเธอที่กำลังมีความสุข เด็กหนุ่มเผลอยิ้มออกมาโดยไม่รู้ตัว “แกชื่ออะไรเหรอ”
“ชะ...ชื่อกันต์” เขาตอบกึกกักเพราะอยู่ดี ๆ เธอก็หันมาถามจนเขาเบี่ยงหน้าหนีไม่ทัน
“พลุหมดแล้ว อยากไปเลยไหม” ยังไม่ทันจะได้พูดอะไรต่อร่างของเด็กหนุ่มก็ถูกผลักร่วงลงสู่ผิวน้ำด้วยฝีมือของพัดชา เขาตะเกียกตะกายอยู่ในน้ำ ทำท่าจะจมเหล่ไม่จมเหล่โดยมีพัดชายืนมองนิ่ง ๆ อยู่ด้านบน
“ช่วยด้วย เราไม่อยากตายแล้ว”
“แป๊บนึง” เธอยืนขึ้นเต็มความสูงบนขอบสะพานที่กว้างกว่าเท้าเธอนิดเดียว เด็กสาวกระโดดลงไปช่วยคนเบื้องล่างโดยไม่คิดลังเล พัดชาว่ายน้ำเข้าไปอย่างคล่องแคล่ว ก่อนจะลากคนตัวสูงกว่าเข้าฝั่ง
“เฮือก!” เขาพยายามงับลมหายใจเข้าไปให้พอ นี่มันพยายามฆ่าชัด ๆ แต่พอหันไปมองหน้าของพัดชาก็เห็นว่าเธอกำลังกอดอกทำหน้าตาจริงจังอยู่
“อยู่ดี ๆ ก็เปลี่ยนใจไม่อยากตายแล้ว ถ้าวันอื่นเราไม่ได้อยู่ตรงนี้ใครจะว่ายน้ำเข้าไปช่วย มองดูรอบ ๆ ด้วย ว่ากี่สิบนาทีจะมีรถผ่านมาสักกี่คัน”
“อืม...ไม่ทำแล้ว”
“ขอโทษนะ เดี๋ยวจะโทรเรียกรถพยาบาลให้” เธอพูดพลางหยิบโทรศัพท์ในกระโปรงนักเรียนขึ้นมา ทว่ามันเปียกโชกเพราะลงไปในน้ำด้วยกันเมื่อกี้ “ ยิ้ม โทรศัพท์กู”
“ของแพงซะด้วย” กันต์พูดพลางหัวเราะในลำคอ
“เออ เดี๋ยวจะแบกไปที่โรงเรียนก็แล้วกัน อย่างน้อยก็มีตู้โทรศัพท์” เธอพูดพลางเข้าไปพยุงตัวเขาขึ้นมา สูงก็สูง หนักก็หนัก
“จำจนตาย”
“ห๊ะ อะไรนะ” เด็กสาวหัวเราะออกมา สภาพสะบักสะบอมกันทั้งคู่ก็คงจำไปจนตายนั่นแหละ
“ขอบคุณนะที่ทำให้คิดได้”
“เออเอาเถอะ อย่างน้อย ๆ แกก็เข้ามาทำให้วันห่วย ๆ ของเรามีสีสันขึ้นมาบ้าง”

เราสองคนเหมือนคนบ้าเลยว่าไหม...

ไม่รู้ว่ามันโอเคมั้ยนะคะ ติชมได้ พอดีช่วงนี้ชอบนักแสดงหญิงท่านหนึ่งมากเลยหยิบมาเป็นแรงบันดาลใจ ลองเดาดูได้นะคะว่าใคร
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่