บทนำ https://ppantip.com/topic/38091648
บทก่อนหน้า
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้อารัมภบท "รำลึกถึงเฉาโจว" https://ppantip.com/topic/38091648
บทที่๑ "ซ่อนกายที่เฉาโจว"https://ppantip.com/topic/38163232
บทที่๒ "ชะตาชีวิต"https://ppantip.com/topic/38199618
บทที่๓ "พระจันทร์ขึ้นที่ซ่างไห่" https://ppantip.com/topic/38203543
บทที่๔ "ความรักที่เจ็บปวด" https://ppantip.com/topic/38213699
บทที่๕ "อินทรีหน้าบาก" https://ppantip.com/topic/38233678
เกริ่นนำ : ภาษาที่ใช้เรียกขานชื่อตัวละครและสถานที่ทั้งหมดจะเรียกเป็นภาษาจีนกลางแทนนะคะ ส่วนบทสนทนาซึ่งควรจะเป็นภาษาแต้จิ๋ว จะบรรยายแทนด้วยคำว่าพูดภาษาจีนสำเนียงท้องถิ่น ,นิยายเรื่องนี้เป็นเรื่องที่แต่งขึ้นทั้งหมด
คำเตือน : บุหรี่และสุราเป็นอันตรายต่อชีวิตและสุขภาพ
"บทที่ ๖ แม่กุหลาบน้อย "
เฉิงเฟิงยังคงนั่งพักอยู่บนเก้าอี้ยาว สายตาเหม่อมองไปที่แม่น้ำหาน หวนนึกถึงเรื่องราวที่ผ่านมาแล้วก็ได้แต่ถอนหายใจ ขณะที่จะลุกขึ้นจากเก้าอี้ เด็กชายจางหมิงก็กลับมาหาเขาพร้อมกับถุงผลไม้ มาหยุดยืนตรงหน้าแล้วแหงนหน้าขึ้นมองเฉิงเฟิง
“คุณอาครับ นึกว่าคุณอาจะไม่อยู่ตรงนี้แล้ว” จางหมิงพูดน้ำเสียงเหนื่อยราวกับวิ่งทางไกล
“คุณแม่ให้เอาผลไม้มาให้คุณอาครับ” จางหมิงยิ้มจนตาหยี่แล้วยื่นถุงผลไม้มาให้
ยิ่งมองจางหมิงก็ยิ่งดูคล้ายกับหูเจี้ยนน้องชายร่วมสาบานของเขาในสมัยยังเด็ก
“ขอบใจมาก” เฉิงเฟิงยิ้ม เอื้อมมือไปรับถุงผลไม้แล้วอีกมือก็เขย่าศีรษะของจางหมิงด้วยความเอ็นดู เด็กชายจางหมิงโค้งตัวให้แล้วก็รีบวิ่งกลับไป
เฉิงเฟิงมองถุงผลไม้ในมือ สำหรับเขาแล้วมันเป็นน้ำใจตอบแทนที่มีคุณค่าต่อใจ…
เมื่อกลับมาถึงบ้านเช่าซึ่งเขาเคยอยู่พักอาศัยกับน้าซูหลิน ปัจจุบันได้ถูกปรับแต่งสถานที่จัดให้เป็นร้านยาและนวดจุด โดยให้หลิวอานผู้เป็นเพื่อนรักร่วมคณะสิงโตที่เขาไว้วางใจช่วยดูแล
เฉิงเฟิงเดินเข้ามาด้านในแล้วยื่นถุงผลไม้ให้กับหลิวอานเอาไปแบ่งให้ทุกคนทาน
“พี่เฟิงกลับมาพอดี อยู่ทานข้าวเย็นที่นี่แล้วกัน” หลิวอานเพื่อนสมัยวัยหนุ่มเอ่ยทัก สักครู่ก็มีเด็กผู้ชายวัยสองขวบวิ่งออกมาเรียกหลิวอานว่าพ่อ เด็กชายตัวเล็กแก้มยุ้ย พวงแก้มแดงทั้งสองข้าง หันมามองเฉิงเฟิงด้วยดวงตาแป๋ว แล้วรีบหลบกลับไปอยู่ด้านหลังของหลิวอานผู้เป็นพ่อ
“เห็นไหม..แม้แต่เด็กยังกลัวฉันเลย” เฉิงเฟิงพูดทีเล่นทีจริงแล้วนึกขำตนเอง บ่อยครั้งที่เด็กเล็กมักมองเขาแล้วรู้สึกกลัว ชายหนุ่มย่อตัวลงไปหาลูกชายหลิวอานพร้อมกับรอยยิ้มกว้าง หลิวอานจึงบอกกับลูกชายให้เรียกเฉิงเฟิงว่าลุง เด็กชายตัวน้อยก็ว่าง่ายเรียกตามที่พ่อสอน “คุณลุง”
น้ำเสียงเล็กที่เรียกเขาทำให้เฉิงเฟิงยิ้มกว้างกว่าเดิม หยิบขนมออกจากกระเป๋าแล้วยื่นให้ เด็กตัวน้อยมองเห็นขนมก็น้ำลายสอ จึงรีบคว้าขนมไปไว้ในมือตามประสาเด็ก แล้วก็วิ่งกลับเข้าไปในบ้านทันที เฉิงเฟิงกับหลิวอานพากันหัวเราะชอบใจ
“ทำไมพี่เฟิงไม่มาพักที่บ้านฉันล่ะ เดี๋ยวนี้ก็ไม่ได้คับแคบแล้วนี่นา”
เฉิงเฟิงลุกขึ้นยืน ส่ายหน้าไปมา “ฉันมีที่พักกับหูเจี้ยนแล้ว ไม่อยากรบกวนนาย”
“พี่ห่วงความปลอดภัยหรือ” หลิวอานยังคงง่วนอยู่กับการคัดแยกพืชที่ใช้ทำยา
“ฉันไม่ได้ห่วงตัวเอง แต่ห่วงคนรอบข้างจะพลอยเดือดร้อน”เฉิงเฟิงยืนพิงกำแพงแล้วหยิบบุหรี่ขึ้นมาจุดสูบ
“กิจการที่โรงเรียนกับร้านยาเป็นยังไง” เฉิงเฟิงเอ่ยถามกับหลิวอาน เพื่อนสนิทบอกกับเขาว่าทั้งสองกิจการดำเนินไปด้วยดี ร้านยาก็ทำกำไรได้พอสมควร คนฟังก็พยักหน้าแล้วนึกถึงเรื่องหนึ่งขึ้นได้
“นายรู้จักเด็กที่ชื่อจางหมิง อายุสิบสองปี อยู่ตรอกหนานซีหรือเปล่า”
“จางหมิง” หลิวอานนึกทบทวนแล้วรู้สึกคุ้น ๆ “ทำไมเหรอพี่เฟิง”
“ฉันจะให้ทุนเขาเรียนที่โรงเรียน นายก็ช่วยจัดการให้ฉันหน่อยแล้วกัน”
“พี่เฟิง!” หลิวอานถอนหายใจมองเพื่อนสนิท “ทำไมพี่ไม่ออกหน้าบอกให้ทุกคนรู้ว่าโรงเรียนแห่งนั้น..เป็นของพี่ บอกพวกเขาว่าหวงเฉิงเฟิงเป็นคนให้การอุปถัมภ์พวกเขา “
“อาอาน ทุกวันนี้หน้าฉันยังใหญ่ไม่พออีกหรือไง” เฉิงเฟิงพูดไปก็ยกนิ้วชี้หน้าตัวเองไป
“ดูแลแก๊งอินทรีก็ใหญ่พอแล้ว ” ชายหนุ่มพูดแล้วก็อัดบุหรี่เข้าปอดอีกครั้ง
“ไม่รู้ว่าเป็นของฉันจะปลอดภัยกว่า”
คำพูดของเฉิงเฟิง ทำให้หลิวอานยิ่งรู้สึกเป็นห่วงเพื่อนรักที่ต้องเข้าไปสู่เส้นทางอิทธิพล
สักครู่หูเจี้ยนก็เดินออกมาจากด้านใน แล้วมายืนอยู่ข้างพี่ชาย ตอนนี้หูเจี้ยนสามารถเดินได้เป็นปกติโดยไม่ต้องใช้ไม้เท้าช่วยพยุงตัวอีกต่อไป
หลิวอานเช็ดมือกับผ้าให้สะอาดแล้วเดินมาหาเพื่อนทั้งสองคน
“ลูกฉันก็สองขวบแล้ว เมื่อไรพี่เฟิงกับหูเจี้ยนจะมีคู่ซะที ไม่เห็นพามาแนะนำเลย อยากเห็นว่าที่พี่สะใภ้จริง ๆ หน้าตาจะเป็นยังไง” หลิวอานพูดแล้วเดินเข้าไปกระแซะไหล่เฉิงเฟิง
เมื่อได้เจอคำถามนี้เฉิงเฟิงถึงกับเงียบไป หูเจี้ยนนั้นรู้เรื่องราวความรักที่เจ็บปวดในอดีตของพี่ชายร่วมสาบานดี ผ่านมาหลายปีจนถึงปัจจุบัน แม้เฉิงเฟิงจะออกงานสังคมหรือเข้าออกไนต์คลับหรู ใช้ชีวิตเที่ยวสำราญตามประสาผู้ชายบ้าง แต่หูเจี้ยนก็ยังไม่เคยเห็นพี่ชายให้ความสนใจผู้หญิงคนไหนเป็นพิเศษ จึงได้แต่มองหน้าอีกฝ่าย
เฉิงเฟิงมีสีหน้าเคร่งขรึมแล้วก็ลอบถอนหายใจ…
ที่ซ่างไห่ ฤดูใบไม้ผลิ
หญิงสาวร่างสูงโปร่งหยิบผ้าเช็ดหน้าขึ้นปิดจมูก ฮัดเช่ย! เธอจามไปสองสามครั้งติดกันราวกับมีใครกำลังกล่าวถึงเธออยู่
ใบหน้าจิ้มลิ้ม คิ้วเรียว ดวงตากลมโตสีดำประกายสดใด จมูกเรียว ริมฝีปากเล็กนั้นดูอวบอิ่มด้วยลิปสติกสีสด ผมดำเงาถูกดัดเป็นลอนสั้นตามแบบนิยม ผิวขาวอมชมพูของเธอถูกขับให้ดูโดดเด่นด้วยชุดเสื้อเชิ้ตเข้ารูปสีครีมแขนสามส่วน สวมทับด้วยกระโปรงบานสีน้ำตาลอ่อนยาวเลยเข่า บุคลิกดูมั่นใจราวกับสาวสมัยใหม่ มือกระชับกระเป๋าเดินทางใบใหญ่ไว้แน่น หญิงสาวกำลังชะเง้อมองหาคนที่ได้นัดเอาไว้
จู่ ๆ ก็มีกลุ่มชายชาวจีนแต่งตัวด้วยชุดเสื้อกางเกงสีเข้มสามคน เดินเข้ามายืนขนาบข้าง รูปร่างของเธอช่างดึงดูดสายตาพวกมันนัก พวกนั้นใช้สายตาแทะโลมเธอตั้งแต่ศีรษะจรดเท้า แสดงท่าทางกระลิ้มกระเหลี่ย แต่หญิงสาวที่ยืนอยู่กลับมีท่าทางเฉยเมย
“น้องสาวเพิ่งมาซ่างไห่เหรอ มีงานทำหรือยังล่ะ” ชายคนหนึ่งยืนเบียดตัวเข้ามาใกล้
เธอมองคนกลุ่มนี้ด้วยหางตาแล้วทำเป็นไม่สนใจ ไม่ได้ยินที่คนพวกนี้พูด เมื่อเธอเห็นการ์ดชาวอินเดียกำลังเดินมาทางนี้ เธอเห็นเป็นโอกาสดีรีบกล่าวทักทายพร้อมกับหยิบนามบัตรในกระเป๋ายื่นส่งให้ชายชาวอินเดียดูแล้วพูดสื่อสารด้วยภาษาอังกฤษทันที
“สวัสดีค่ะ คุณรู้จักที่นี่ไหมคะ”
ชายกลุ่มนั้นเห็นว่าแม่สาวน้อยคนนี้ท่าทางพูดภาษาอังกฤษคล่องนัก ก็รู้ว่าเป้าหมายรายนี้ไม่ใช่ของเคี้ยวง่ายเสียแล้ว พวกมันจึงพากันเดินแยกย้ายหายกันไปทันที
เมื่อสอบถามกับการ์ดชาวอินเดียพอเป็นพิธี เธอจึงกล่าวขอบคุณแล้วชำเลืองสายตามองคนพวกนั้นซึ่งบัดนี้ได้เดินหายไปแล้ว หญิงสาวแอบเป่าลมออกจากปากรู้สึกโล่งใจ ดวงตาคู่สวยยังคอยมองหาคนที่นัดไว้
ในขณะเดียวกันชายหนุ่มอายุราว ๒๐ ปี ใบหน้าเกลี้ยงเกลา หน้าตาดี ดวงตาเรียว ผิวขาว แต่งกายด้วยเสื้อเชิ้ตกางเกงขายาวพร้อมกับสายเอี้ยมคาดกางเกงตามแบบนิยมตะวันตก กำลังเดินตรงมาทางด้านนี้ เมื่อเธอเห็นแล้วก็จำได้จึงยกมือขึ้นโบกให้กับเขา
“จินฮ่าน..พี่อยู่นี่”
ชายหนุ่มคนนั้นมีรอยยิ้มดีใจเมื่อเห็นพี่สาว “พี่ม่านอี้”
หญิงสาวที่ชื่อม่านอี้ เดินตรงเข้าไปสวมกอดน้องชายตามธรรมเนียมตะวันตกด้วยความคิดถึง หลี่ม่านอี้เดินทางมาถึงซ่างไห่วันนี้ โดยมีหลี่จินฮ่านผู้เป็นน้องชายมารับ เขาเดินนำพี่สาวไปที่รถยนต์ที่จอดอยู่ จินฮ่านทำหน้าที่เป็นคนขับ
ขณะที่นั่งอยู่ในรถ สองพี่น้องก็สนทนาด้วยภาษาไทย
“ฮ..ฮัดเช่ย! ม่านอี้ใช้ผ้าเช็ดหน้าปิดจมูกอีกครั้ง “จะว่าแพ้อากาศก็ไม่น่าจะใช่”
“ผมว่ามีใครกำลังคิดถึงพี่ม่านอี้อยู่หรือเปล่า” จินฮ่านพูดไปยิ้มไป แต่ม่านอี้กลับมองค้อนน้องชาย แล้วเธอก็มองออกไปทางนอกหน้าต่างรถด้วยความสนใจผู้คนบนท้องถนน โดยเฉพาะชาวจีนที่ใช้ชีวิตอยู่ตลอดเส้นทางของแม่น้ำหวงผู่
“วา..” ม่านอี้ต้องอุทานออกมาเมื่อเห็น วิวรอบเดอะบันด์ ทำให้เธอรู้สึกว่าเมืองท่าแห่งนี้มีเสน่ห์และมากไปด้วยศิลปะแห่งความงดงาม
เมื่อผ่านมาที่ถนนอีกเส้นหนึ่ง เธอก็แผ่นป้ายขนาดใหญ่ทั้งโฆษณาสินค้าและภาพยนตร์
ซึ่งอาจจะไม่ใช่ของแปลกสำหรับเธอที่ใช้ชีวิตอยู่ที่อังกฤษสองปี แต่สิ่งที่สะกดสายตาของเธอคือผู้คนที่อยู่ตามท้องถนน ทำให้เธอนึกถึงบ้านเกิดที่จากมา ในขณะเดียวกันก็รู้สึกดีใจราวกับอยู่ไม่ไกลจากบ้าน
“ที่นี่มีกลิ่นไอแฟชั่นแนวตะวันออกที่ฉันกำลังหาอยู่พอดีเลย”
จินฮ่านส่ายหน้าไม่รู้ว่าพี่สาวของเขากำลังเพ้ออะไร แต่ก็พอจะรู้ว่าพี่สาวได้ร่ำเรียนวิชาด้านแฟชั่นจากเมืองนอกมา
“โส้ยตี๋” ม่านอี้เรียกน้องชายด้วยคำคุ้นเคย
“อย่าเรียกแบบนั้นได้ไหม”
“ทำไมล่ะ” ม่านอี้หันมามองน้องชาย
“ผมโตแล้ว ถ้าผมเรียกพี่ม่านอี้ว่าตั่วเจ๊หรือเรียกพี่ฤหัย พวกเขาจะเรียกตามถูกไหมล่ะ”
“ก็ได้น้องจินฮ่าน น้องชายสุดที่รัก”ม่านอี้แสร้งพูดเสียงประชด เธอชอบพูดแหย่น้องชาย
จินฮ่านฟังพี่สาวพูดกระแนะกระแหนแล้วก็นึกขำในใจ สายตายังคงมองไปที่ถนน
“เวลาไปเรียนที่เมืองนอกล่ะ พี่มีชื่ออังกฤษด้วยไหม”
ม่านอี้เชิดหน้าตอบด้วยภาษาอังกฤษสำเนียงที่ค่อนจะกระเดียดตามน้ำเสียงเจ้าของภาษา “มิส..เรเชล”
จินฮ่านฟังแล้วปล่อยหัวเราะเสียงดังลั่น จนม่านอี้ต้องยกมือตีแขนน้องชาย “ขำอะไร”
ม่านอี้พูดแล้วก็เปิดกระเป๋าหนีบ หยิบบุหรี่ออกมาจากกล่องแล้วจุดสูบ ทำให้จินฮ่านต้องแปลกใจ นึกไม่ถึงว่าพี่สาวของตนจะกล้าแสดงออกด้วยมั่นอกมั่นใจถึงเพียงนี้
“พี่ม่านอี้สูบบุหรี่เป็นด้วยหรือ ถ้าอาปาเห็นต้องว่าเป็นผู้หญิงไม่ดีแน่ ๆ “
ม่านอี้ใช้นิ้วเรียวหนีบบุหรี่ แล้วหันหน้ามามองน้องชาย
“ทำไมล่ะ ผู้ชายสูบบุหรี่เป็นคนดีหมดหรือไง แล้วทำไมต้องบอกผู้หญิงสูบบุหรี่เป็นคนไม่ดี”
ม่านอี้ทำปากเชิดรั้ง ไม่เห็นด้วยกับคำพูดของน้องชายและพยายามหาเหตุผลมาแก้ต่าง
“ทีอาปายังสูบบุหรี่เลย นี่มันศตวรรษที่เท่าไรแล้ว พี่ก็แค่สูบบุหรี่เป็น แต่ไม่ได้ติดสักหน่อย”
จินฮ่านฟังแล้วได้แต่ส่ายหน้า เพราะรู้นิสัยที่แต่ไหนแต่ไรดื้อรั้นไม่ค่อยกลัวใครของพี่สาว
“พี่ม่านอี้มีหนุ่มรู้ใจเป็นชาวอังกฤษกับเขาด้วยหรือเปล่าล่ะ ”
“.. ต้องมีอยู่แล้ว” ม่านอี้ตอบราวกับเป็นเรื่องปกติ เธอพ่นควันบุหรี่สูง
“คบกันจริงจังด้วยหรือเปล่า”
“แค่สองเดือนก็ต่างคนต่างไป”
黃成風 ยอดบุรุษซ่อนคมพยัคฆ์ : ภาคหวงเฉิงเฟิง บทที่ ๖ แม่กุหลาบน้อย
บทก่อนหน้า
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
เกริ่นนำ : ภาษาที่ใช้เรียกขานชื่อตัวละครและสถานที่ทั้งหมดจะเรียกเป็นภาษาจีนกลางแทนนะคะ ส่วนบทสนทนาซึ่งควรจะเป็นภาษาแต้จิ๋ว จะบรรยายแทนด้วยคำว่าพูดภาษาจีนสำเนียงท้องถิ่น ,นิยายเรื่องนี้เป็นเรื่องที่แต่งขึ้นทั้งหมด
คำเตือน : บุหรี่และสุราเป็นอันตรายต่อชีวิตและสุขภาพ
เฉิงเฟิงยังคงนั่งพักอยู่บนเก้าอี้ยาว สายตาเหม่อมองไปที่แม่น้ำหาน หวนนึกถึงเรื่องราวที่ผ่านมาแล้วก็ได้แต่ถอนหายใจ ขณะที่จะลุกขึ้นจากเก้าอี้ เด็กชายจางหมิงก็กลับมาหาเขาพร้อมกับถุงผลไม้ มาหยุดยืนตรงหน้าแล้วแหงนหน้าขึ้นมองเฉิงเฟิง
“คุณอาครับ นึกว่าคุณอาจะไม่อยู่ตรงนี้แล้ว” จางหมิงพูดน้ำเสียงเหนื่อยราวกับวิ่งทางไกล
“คุณแม่ให้เอาผลไม้มาให้คุณอาครับ” จางหมิงยิ้มจนตาหยี่แล้วยื่นถุงผลไม้มาให้
ยิ่งมองจางหมิงก็ยิ่งดูคล้ายกับหูเจี้ยนน้องชายร่วมสาบานของเขาในสมัยยังเด็ก
“ขอบใจมาก” เฉิงเฟิงยิ้ม เอื้อมมือไปรับถุงผลไม้แล้วอีกมือก็เขย่าศีรษะของจางหมิงด้วยความเอ็นดู เด็กชายจางหมิงโค้งตัวให้แล้วก็รีบวิ่งกลับไป
เฉิงเฟิงมองถุงผลไม้ในมือ สำหรับเขาแล้วมันเป็นน้ำใจตอบแทนที่มีคุณค่าต่อใจ…
เมื่อกลับมาถึงบ้านเช่าซึ่งเขาเคยอยู่พักอาศัยกับน้าซูหลิน ปัจจุบันได้ถูกปรับแต่งสถานที่จัดให้เป็นร้านยาและนวดจุด โดยให้หลิวอานผู้เป็นเพื่อนรักร่วมคณะสิงโตที่เขาไว้วางใจช่วยดูแล
เฉิงเฟิงเดินเข้ามาด้านในแล้วยื่นถุงผลไม้ให้กับหลิวอานเอาไปแบ่งให้ทุกคนทาน
“พี่เฟิงกลับมาพอดี อยู่ทานข้าวเย็นที่นี่แล้วกัน” หลิวอานเพื่อนสมัยวัยหนุ่มเอ่ยทัก สักครู่ก็มีเด็กผู้ชายวัยสองขวบวิ่งออกมาเรียกหลิวอานว่าพ่อ เด็กชายตัวเล็กแก้มยุ้ย พวงแก้มแดงทั้งสองข้าง หันมามองเฉิงเฟิงด้วยดวงตาแป๋ว แล้วรีบหลบกลับไปอยู่ด้านหลังของหลิวอานผู้เป็นพ่อ
“เห็นไหม..แม้แต่เด็กยังกลัวฉันเลย” เฉิงเฟิงพูดทีเล่นทีจริงแล้วนึกขำตนเอง บ่อยครั้งที่เด็กเล็กมักมองเขาแล้วรู้สึกกลัว ชายหนุ่มย่อตัวลงไปหาลูกชายหลิวอานพร้อมกับรอยยิ้มกว้าง หลิวอานจึงบอกกับลูกชายให้เรียกเฉิงเฟิงว่าลุง เด็กชายตัวน้อยก็ว่าง่ายเรียกตามที่พ่อสอน “คุณลุง”
น้ำเสียงเล็กที่เรียกเขาทำให้เฉิงเฟิงยิ้มกว้างกว่าเดิม หยิบขนมออกจากกระเป๋าแล้วยื่นให้ เด็กตัวน้อยมองเห็นขนมก็น้ำลายสอ จึงรีบคว้าขนมไปไว้ในมือตามประสาเด็ก แล้วก็วิ่งกลับเข้าไปในบ้านทันที เฉิงเฟิงกับหลิวอานพากันหัวเราะชอบใจ
“ทำไมพี่เฟิงไม่มาพักที่บ้านฉันล่ะ เดี๋ยวนี้ก็ไม่ได้คับแคบแล้วนี่นา”
เฉิงเฟิงลุกขึ้นยืน ส่ายหน้าไปมา “ฉันมีที่พักกับหูเจี้ยนแล้ว ไม่อยากรบกวนนาย”
“พี่ห่วงความปลอดภัยหรือ” หลิวอานยังคงง่วนอยู่กับการคัดแยกพืชที่ใช้ทำยา
“ฉันไม่ได้ห่วงตัวเอง แต่ห่วงคนรอบข้างจะพลอยเดือดร้อน”เฉิงเฟิงยืนพิงกำแพงแล้วหยิบบุหรี่ขึ้นมาจุดสูบ
“กิจการที่โรงเรียนกับร้านยาเป็นยังไง” เฉิงเฟิงเอ่ยถามกับหลิวอาน เพื่อนสนิทบอกกับเขาว่าทั้งสองกิจการดำเนินไปด้วยดี ร้านยาก็ทำกำไรได้พอสมควร คนฟังก็พยักหน้าแล้วนึกถึงเรื่องหนึ่งขึ้นได้
“นายรู้จักเด็กที่ชื่อจางหมิง อายุสิบสองปี อยู่ตรอกหนานซีหรือเปล่า”
“จางหมิง” หลิวอานนึกทบทวนแล้วรู้สึกคุ้น ๆ “ทำไมเหรอพี่เฟิง”
“ฉันจะให้ทุนเขาเรียนที่โรงเรียน นายก็ช่วยจัดการให้ฉันหน่อยแล้วกัน”
“พี่เฟิง!” หลิวอานถอนหายใจมองเพื่อนสนิท “ทำไมพี่ไม่ออกหน้าบอกให้ทุกคนรู้ว่าโรงเรียนแห่งนั้น..เป็นของพี่ บอกพวกเขาว่าหวงเฉิงเฟิงเป็นคนให้การอุปถัมภ์พวกเขา “
“อาอาน ทุกวันนี้หน้าฉันยังใหญ่ไม่พออีกหรือไง” เฉิงเฟิงพูดไปก็ยกนิ้วชี้หน้าตัวเองไป
“ดูแลแก๊งอินทรีก็ใหญ่พอแล้ว ” ชายหนุ่มพูดแล้วก็อัดบุหรี่เข้าปอดอีกครั้ง
“ไม่รู้ว่าเป็นของฉันจะปลอดภัยกว่า”
คำพูดของเฉิงเฟิง ทำให้หลิวอานยิ่งรู้สึกเป็นห่วงเพื่อนรักที่ต้องเข้าไปสู่เส้นทางอิทธิพล
สักครู่หูเจี้ยนก็เดินออกมาจากด้านใน แล้วมายืนอยู่ข้างพี่ชาย ตอนนี้หูเจี้ยนสามารถเดินได้เป็นปกติโดยไม่ต้องใช้ไม้เท้าช่วยพยุงตัวอีกต่อไป
หลิวอานเช็ดมือกับผ้าให้สะอาดแล้วเดินมาหาเพื่อนทั้งสองคน
“ลูกฉันก็สองขวบแล้ว เมื่อไรพี่เฟิงกับหูเจี้ยนจะมีคู่ซะที ไม่เห็นพามาแนะนำเลย อยากเห็นว่าที่พี่สะใภ้จริง ๆ หน้าตาจะเป็นยังไง” หลิวอานพูดแล้วเดินเข้าไปกระแซะไหล่เฉิงเฟิง
เมื่อได้เจอคำถามนี้เฉิงเฟิงถึงกับเงียบไป หูเจี้ยนนั้นรู้เรื่องราวความรักที่เจ็บปวดในอดีตของพี่ชายร่วมสาบานดี ผ่านมาหลายปีจนถึงปัจจุบัน แม้เฉิงเฟิงจะออกงานสังคมหรือเข้าออกไนต์คลับหรู ใช้ชีวิตเที่ยวสำราญตามประสาผู้ชายบ้าง แต่หูเจี้ยนก็ยังไม่เคยเห็นพี่ชายให้ความสนใจผู้หญิงคนไหนเป็นพิเศษ จึงได้แต่มองหน้าอีกฝ่าย
เฉิงเฟิงมีสีหน้าเคร่งขรึมแล้วก็ลอบถอนหายใจ…
ที่ซ่างไห่ ฤดูใบไม้ผลิ
หญิงสาวร่างสูงโปร่งหยิบผ้าเช็ดหน้าขึ้นปิดจมูก ฮัดเช่ย! เธอจามไปสองสามครั้งติดกันราวกับมีใครกำลังกล่าวถึงเธออยู่
ใบหน้าจิ้มลิ้ม คิ้วเรียว ดวงตากลมโตสีดำประกายสดใด จมูกเรียว ริมฝีปากเล็กนั้นดูอวบอิ่มด้วยลิปสติกสีสด ผมดำเงาถูกดัดเป็นลอนสั้นตามแบบนิยม ผิวขาวอมชมพูของเธอถูกขับให้ดูโดดเด่นด้วยชุดเสื้อเชิ้ตเข้ารูปสีครีมแขนสามส่วน สวมทับด้วยกระโปรงบานสีน้ำตาลอ่อนยาวเลยเข่า บุคลิกดูมั่นใจราวกับสาวสมัยใหม่ มือกระชับกระเป๋าเดินทางใบใหญ่ไว้แน่น หญิงสาวกำลังชะเง้อมองหาคนที่ได้นัดเอาไว้
จู่ ๆ ก็มีกลุ่มชายชาวจีนแต่งตัวด้วยชุดเสื้อกางเกงสีเข้มสามคน เดินเข้ามายืนขนาบข้าง รูปร่างของเธอช่างดึงดูดสายตาพวกมันนัก พวกนั้นใช้สายตาแทะโลมเธอตั้งแต่ศีรษะจรดเท้า แสดงท่าทางกระลิ้มกระเหลี่ย แต่หญิงสาวที่ยืนอยู่กลับมีท่าทางเฉยเมย
“น้องสาวเพิ่งมาซ่างไห่เหรอ มีงานทำหรือยังล่ะ” ชายคนหนึ่งยืนเบียดตัวเข้ามาใกล้
เธอมองคนกลุ่มนี้ด้วยหางตาแล้วทำเป็นไม่สนใจ ไม่ได้ยินที่คนพวกนี้พูด เมื่อเธอเห็นการ์ดชาวอินเดียกำลังเดินมาทางนี้ เธอเห็นเป็นโอกาสดีรีบกล่าวทักทายพร้อมกับหยิบนามบัตรในกระเป๋ายื่นส่งให้ชายชาวอินเดียดูแล้วพูดสื่อสารด้วยภาษาอังกฤษทันที
“สวัสดีค่ะ คุณรู้จักที่นี่ไหมคะ”
ชายกลุ่มนั้นเห็นว่าแม่สาวน้อยคนนี้ท่าทางพูดภาษาอังกฤษคล่องนัก ก็รู้ว่าเป้าหมายรายนี้ไม่ใช่ของเคี้ยวง่ายเสียแล้ว พวกมันจึงพากันเดินแยกย้ายหายกันไปทันที
เมื่อสอบถามกับการ์ดชาวอินเดียพอเป็นพิธี เธอจึงกล่าวขอบคุณแล้วชำเลืองสายตามองคนพวกนั้นซึ่งบัดนี้ได้เดินหายไปแล้ว หญิงสาวแอบเป่าลมออกจากปากรู้สึกโล่งใจ ดวงตาคู่สวยยังคอยมองหาคนที่นัดไว้
ในขณะเดียวกันชายหนุ่มอายุราว ๒๐ ปี ใบหน้าเกลี้ยงเกลา หน้าตาดี ดวงตาเรียว ผิวขาว แต่งกายด้วยเสื้อเชิ้ตกางเกงขายาวพร้อมกับสายเอี้ยมคาดกางเกงตามแบบนิยมตะวันตก กำลังเดินตรงมาทางด้านนี้ เมื่อเธอเห็นแล้วก็จำได้จึงยกมือขึ้นโบกให้กับเขา
“จินฮ่าน..พี่อยู่นี่”
ชายหนุ่มคนนั้นมีรอยยิ้มดีใจเมื่อเห็นพี่สาว “พี่ม่านอี้”
หญิงสาวที่ชื่อม่านอี้ เดินตรงเข้าไปสวมกอดน้องชายตามธรรมเนียมตะวันตกด้วยความคิดถึง หลี่ม่านอี้เดินทางมาถึงซ่างไห่วันนี้ โดยมีหลี่จินฮ่านผู้เป็นน้องชายมารับ เขาเดินนำพี่สาวไปที่รถยนต์ที่จอดอยู่ จินฮ่านทำหน้าที่เป็นคนขับ
ขณะที่นั่งอยู่ในรถ สองพี่น้องก็สนทนาด้วยภาษาไทย
“ฮ..ฮัดเช่ย! ม่านอี้ใช้ผ้าเช็ดหน้าปิดจมูกอีกครั้ง “จะว่าแพ้อากาศก็ไม่น่าจะใช่”
“ผมว่ามีใครกำลังคิดถึงพี่ม่านอี้อยู่หรือเปล่า” จินฮ่านพูดไปยิ้มไป แต่ม่านอี้กลับมองค้อนน้องชาย แล้วเธอก็มองออกไปทางนอกหน้าต่างรถด้วยความสนใจผู้คนบนท้องถนน โดยเฉพาะชาวจีนที่ใช้ชีวิตอยู่ตลอดเส้นทางของแม่น้ำหวงผู่
“วา..” ม่านอี้ต้องอุทานออกมาเมื่อเห็น วิวรอบเดอะบันด์ ทำให้เธอรู้สึกว่าเมืองท่าแห่งนี้มีเสน่ห์และมากไปด้วยศิลปะแห่งความงดงาม
เมื่อผ่านมาที่ถนนอีกเส้นหนึ่ง เธอก็แผ่นป้ายขนาดใหญ่ทั้งโฆษณาสินค้าและภาพยนตร์
ซึ่งอาจจะไม่ใช่ของแปลกสำหรับเธอที่ใช้ชีวิตอยู่ที่อังกฤษสองปี แต่สิ่งที่สะกดสายตาของเธอคือผู้คนที่อยู่ตามท้องถนน ทำให้เธอนึกถึงบ้านเกิดที่จากมา ในขณะเดียวกันก็รู้สึกดีใจราวกับอยู่ไม่ไกลจากบ้าน
“ที่นี่มีกลิ่นไอแฟชั่นแนวตะวันออกที่ฉันกำลังหาอยู่พอดีเลย”
จินฮ่านส่ายหน้าไม่รู้ว่าพี่สาวของเขากำลังเพ้ออะไร แต่ก็พอจะรู้ว่าพี่สาวได้ร่ำเรียนวิชาด้านแฟชั่นจากเมืองนอกมา
“โส้ยตี๋” ม่านอี้เรียกน้องชายด้วยคำคุ้นเคย
“อย่าเรียกแบบนั้นได้ไหม”
“ทำไมล่ะ” ม่านอี้หันมามองน้องชาย
“ผมโตแล้ว ถ้าผมเรียกพี่ม่านอี้ว่าตั่วเจ๊หรือเรียกพี่ฤหัย พวกเขาจะเรียกตามถูกไหมล่ะ”
“ก็ได้น้องจินฮ่าน น้องชายสุดที่รัก”ม่านอี้แสร้งพูดเสียงประชด เธอชอบพูดแหย่น้องชาย
จินฮ่านฟังพี่สาวพูดกระแนะกระแหนแล้วก็นึกขำในใจ สายตายังคงมองไปที่ถนน
“เวลาไปเรียนที่เมืองนอกล่ะ พี่มีชื่ออังกฤษด้วยไหม”
ม่านอี้เชิดหน้าตอบด้วยภาษาอังกฤษสำเนียงที่ค่อนจะกระเดียดตามน้ำเสียงเจ้าของภาษา “มิส..เรเชล”
จินฮ่านฟังแล้วปล่อยหัวเราะเสียงดังลั่น จนม่านอี้ต้องยกมือตีแขนน้องชาย “ขำอะไร”
ม่านอี้พูดแล้วก็เปิดกระเป๋าหนีบ หยิบบุหรี่ออกมาจากกล่องแล้วจุดสูบ ทำให้จินฮ่านต้องแปลกใจ นึกไม่ถึงว่าพี่สาวของตนจะกล้าแสดงออกด้วยมั่นอกมั่นใจถึงเพียงนี้
“พี่ม่านอี้สูบบุหรี่เป็นด้วยหรือ ถ้าอาปาเห็นต้องว่าเป็นผู้หญิงไม่ดีแน่ ๆ “
ม่านอี้ใช้นิ้วเรียวหนีบบุหรี่ แล้วหันหน้ามามองน้องชาย
“ทำไมล่ะ ผู้ชายสูบบุหรี่เป็นคนดีหมดหรือไง แล้วทำไมต้องบอกผู้หญิงสูบบุหรี่เป็นคนไม่ดี”
ม่านอี้ทำปากเชิดรั้ง ไม่เห็นด้วยกับคำพูดของน้องชายและพยายามหาเหตุผลมาแก้ต่าง
“ทีอาปายังสูบบุหรี่เลย นี่มันศตวรรษที่เท่าไรแล้ว พี่ก็แค่สูบบุหรี่เป็น แต่ไม่ได้ติดสักหน่อย”
จินฮ่านฟังแล้วได้แต่ส่ายหน้า เพราะรู้นิสัยที่แต่ไหนแต่ไรดื้อรั้นไม่ค่อยกลัวใครของพี่สาว
“พี่ม่านอี้มีหนุ่มรู้ใจเป็นชาวอังกฤษกับเขาด้วยหรือเปล่าล่ะ ”
“.. ต้องมีอยู่แล้ว” ม่านอี้ตอบราวกับเป็นเรื่องปกติ เธอพ่นควันบุหรี่สูง
“คบกันจริงจังด้วยหรือเปล่า”
“แค่สองเดือนก็ต่างคนต่างไป”