黃成風 ยอดบุรุษซ่อนคมพยัคฆ์ : ภาคหวงเฉิงเฟิง บทที่ ๑๗. ความในใจ

บทนำ https://ppantip.com/topic/38091648
บททั้งหมดก่อนหน้า
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้

เกริ่นนำ : นิยายเรื่องนี้ดำเนินเรื่องหลักที่ซ่างไห่ (เซี่ยงไฮ้) ภาษาที่ใช้เรียกขานชื่อตัวละครและสถานที่ทั้งหมดจะเรียกเป็นภาษาจีนกลางนะคะ ,นิยายเรื่องนี้และบางสถานที่เป็นเรื่องที่แต่งขึ้นทั้งหมด  
คำเตือน : บุหรี่และสุราเป็นอันตรายต่อชีวิตและสุขภาพ





"บทที่ ๑๗.ความในใจ "


                     ใกล้เข้าฤดูหนาวแล้ว ในเวลาสองทุ่ม ชายร่างเล็กแต่งกายด้วยชุดเสื้อกางเกงสีเข้มสวมทับด้วยเสื้อกั๊กแขนกุดกำลังเร่งฝีเท้ามุ่งหน้าไปที่โรงอาบจินอัน และสวนทางกับพนักงานซึ่งกำลังเดินออกมาเพื่อช่วยกันนำฟืนที่อยู่ข้างตรอกเข้าไป

                     ชายร่างเล็กคนนั้นเดินเข้ามาก็พบกับลูกน้องรูปร่างใหญ่สองคนเฝ้าอยู่หน้าอาบน้ำห้อง ชายร่างใหญ่คนหนึ่งก้าวเท้าออกมายืนขวางไว้
                     ส่งสายตาที่ทำให้ชายร่างเล็กรู้ว่าต้องปฏิบัติตนเช่นไร เขาจึงยกแขนทั้งสองขึ้นสูงปล่อยให้ชายร่างใหญ่ทำการตรวจค้นตัว เมื่อมันไม่พบอาวุธใด ๆ จึงพยักหน้าอนุญาต พร้อมกับเปิดผ้าม่านให้เข้าไปได้ ชายร่างเล็กรีบกล่าวขอบคุณแล้วเดินเข้าไปโดยเร็ว
                 
                    ภายในห้องอาบน้ำ ไอควันสีขาวลอยอยู่รอบ  ๆ ห้อง อากาศในนี้ทำให้ชายร่างเล็กรู้สึกร้อนจนน่าอึดอัดกว่าด้านนอกมากนัก
                    เขาพยายามเพ่งมองไปเบื้องหน้าก็เจอกับคนที่ต้องการพบ  ชายผู้นั้นนั่งแช่ตัวอยู่ในบ่อน้ำร้อน  ผมตัดสั้นสีขาวแซมเทา ไหล่หนาดูแข็งแรงได้สัดส่วน ชายคนนี้คือคนที่นั่งจับตาดูเฉิงเฟิงที่พาราเม้าท์นั่นเอง
                    สายตาดุดันจ้องมองคนที่ก้าวเข้ามาแล้วพูดขึ้น “ได้ข่าวพวกมันยังไง”
                    ชายร่างเล็กย่อตัวลงนั่งถึงกับตัวสะท้านต้องรีบตอบ
                    “พี่เว่ย..พวกเรากำลังหาทางอยู่”
                     “หาทาง?”  คนแซ่เว่ยพูดด้วยน้ำเสียงช้า ๆ แต่เต็มไปด้วยความไม่พอใจ  เขาพุ่งตัวมาพร้อมกับเสียงแหวกน้ำดังขึ้น
                    “ฉันจ่ายเงินไปไม่ใช่น้อย พวกแกทำได้แค่นี้เองหรือ” เขาพูดตวาดเสียงดัง ทำให้คนร่างเล็กถึงกับสะดุ้งพร้อมกับกลืนน้ำลาย
                   ได้แต่ตะกุกตะกัก   “หัวหน้าเปียวเป็นคนมีฝีมือ แต่ว่าพวกเราก็ไม่นึกว่าจะกลับเป็นเช่นนี้”  
            
                  คำตอบของคนร่างเล็กไม่ได้ทำให้คนแซ่เปียวรู้สึกพอใจ  สายตาที่มองมาอย่างตำหนิ ทำให้คนร่างเล็กต้องก้มหน้า  
                ใบหน้าของคนแซ่เว่ยยังคงบึ้งตึงแล้วพูดด้วยน้ำเสียงที่เยือกเย็น “ผู้หญิงที่อยู่กับเฉิงเฟิงเป็นใคร ท่าทางทั้งคู่จะดูสนิทกัน”
                 คนร่างเล็กรีบพูดกู้หน้าให้ตน “พวกเราสืบได้มาว่าเธอชื่อหลี่ม่านอี้เป็นพนักงานของร้านเมอร์รี่หลิน ”
                 “พนักงาน?” คนแซ่เว่ยขมวดคิ้ว ไม่นึกว่าแค่พนักงานหญิงคนหนึ่งทำให้คนอย่างอินทรีหน้าบากให้ความสนิมชิดเชื้อได้ถึงเพียงนี้  
                   แต่แล้วกลับปรากฏรอยยิ้มขึ้นมา หากคิดจะเล่นงานอินทรีหน้าบากในยามนี้ก็คงต้องมุ่งไปที่ผู้หญิงคนนั้น
                   “พวกแกก็หาทางจับตัวนางคนสวยมาให้ได้”
          
                    คนร่างเล็กเข้าใจความหมายทันที “พี่เว่ยโปรดวางใจ พวกเราจะทำให้สำเร็จ รับรองจะไม่ให้พลาดอีก”
                   “ช้าก่อน!” คนแซ่เว่ยยกมือขึ้นโบกมือ  “ฉันไม่สนว่าพวกแกจะใช้วิธีไหน แต่อย่าให้พวกมันสาวเรื่องมาถึงฉัน”
                เขาชี้หน้าของชายร่างเล็ก “จำเอาไว้! ต้องจับไอ้อินทรีหน้าบากที่ยังมีลมหายใจกลับมาให้ได้ เพราะคุณหลิวต้องการจัดการมันด้วยตนเอง!”
                   ชายร่างเล็กรีบรับคำพร้อมกับค้อมศีรษะแล้วประสานมือกล่าวลาทันที

                    เฉิงเฟิงกลับมาถึงคฤหาสน์ในเวลาสองทุ่มครึ่ง  บรรยากาศภายในบ้านเงียบเชียบเพราะบิดาบุญธรรมกับน้าซูหลินมีกำหนดจะกลับมาถึงซ่างไห่ในวันพรุ่งนี้  ส่วนหูเจี้ยนกับเหมยหลิงก็เดินทางไปท่องเที่ยวเมืองซูโจว
                        ชายหนุ่มถอดเสื้อสูทถือพาดไว้ที่มือ เดินขึ้นบันไดมาถึงชั้นบน แล้วเหลือบสายตาไปมองห้องนอนของม่านอี้
                     เห็นแสงไฟจากห้องนั้นยังสว่างอยู่ เขาจึงตัดสินใจเดินตรงไปที่ห้องของเธอ
                 
                     เสียงเคาะประตูห้องดังขึ้น เจ้าของห้องเอ่ยอนุญาต เป็นน้ำเสียงหวานที่ทำให้คนยืนฟังอยู่หน้าประตูมีรอยยิ้ม  
                   ม่านอี้กำลังง่วนอยู่กับการเก็บเสื้อที่นำงานกลับมาทำงาน  เธอได้ยินเสียงเปิดประตูเข้ามาพร้อมกับปิดประตูลง
                   จึงเอ่ยถามทั้งที่ยังไม่ได้หันไปมอง   “มีอะไรเหรออาฮ่าน”  
                    เธอได้ยินเพียงเสียงฝีเท้าที่เดินเข้ามาใกล้ โดยไม่คำตอบ หญิงสาวขมวดคิ้วแล้วหันหน้าไปมอง
                     “คุณหวง!”  ม่านอี้ได้แต่ยืนตะลึงเพราะไม่นึกว่าคนที่เข้ามาจะเป็นเขา
      
                    เฉิงเฟิงเลิกคิ้วสูงเมื่อเห็นหญิงสาวในชุดนอนผ้าไหมเนื้อดีสีส้มอ่อน  โดยเฉพาะคอเสื้อที่ลึกจนเห็นร่องอกอิ่ม
                   ทำให้หญิงสาวที่กำลังถูกจ้องมอง รู้สึกว่าใบหน้าของตนเองร้อนผ่าวจึงรีบเอื้อมมือกระชับเสื้อคลุมทันที  
                   เฉิงเฟิงลอบยิ้มที่มุมปากเมื่อเห็นใบหน้าแดงระเรื่อของเธอ
                   “คุณจะไม่เชิญให้ผมนั่งสักหน่อยหรือครับ”
                    “ค่ะ”  หญิงสาวเจ้าของห้องยังทำตัวไม่ถูก “เชิญนั่งค่ะ”
          
                    ฝ่ายแขกผู้มาเยือนก็เดินไปนั่งลงที่โซฟาแล้ววางเสื้อคลุมไว้ข้าง ๆ  เฉิงเฟิงนั่งเอนตัวพิงพนักโซฟามือข้างหนึ่งพาดไปตามที่วางมือ
                    ชายหนุ่มนั่งผ่อนคลายอย่างสบายอารมณ์ราวกับที่นี่เป็นห้องของเขา
                   “คราวก่อน ผมให้คุณมานอนที่ห้องของผม” เฉิงเฟิงพูดแล้วยกมือปลดกระดุมเสื้อกั๊กไปด้วย  ม่านอี้ถึงกับมองหน้าเฉิงเฟิงแล้ว
                    ยืนอึ้งอยู่หลายนาทีจนต้องเตือนสติตัวเอง
                    “คุณหวง! คุณอย่าบอกว่าจะมานอนค้างที่ห้องฉันนะคะ”
                      เฉิงเฟิงปรายตามองหญิงสาวที่ดูมีท่าทีตื่นตระหนก แล้วลอบยิ้มพร้อมกับขยับมือปลดเนกไทไปด้วย โดยยังไม่มีคำตอบใดหลุดจากปาก จนทำให้อีกฝ่ายร้อนใจขึ้นมาทันที
                     “คุณทำแบบนี้ไม่ได้นะคะ คุณควรต้องให้เกียรติฉันหน่อยสิคะ”
                     เฉิงเฟิงเลิกคิ้วแล้วแสร้งถามกลับไป   “ผมไม่ให้เกียรติคุณหนูหลี่ยังไง”
                     ชายหนุ่มยักไหล่  “คุณหนูหลี่มานอนที่ห้องของผม ผมก็ให้เกียรติคุณแล้ว”
                     ม่านอี้เดินเข้าไปพูดกับเขา “มันไม่เหมือนกันนะคะ” แต่เมื่อเห็นสายตาคมจ้องมองมา เธอจึงรีบหันหลังให้เขาแล้วบีบมือตัวเองแน่น
                     “คุณเป็นผู้ชายไม่มีอะไรเสียหาย”

                       เฉิงเฟิงลุกขึ้นมาแล้วเดินไปยืนอยู่ด้านหลังของม่านอี้ เขายื่นสองมือไปจับหัวไหล่กลมมนพร้อมกับหมุนตัวของเธอให้
หันมาเผชิญหน้ากับเขา
                       “ผมกับคุณยังมีเรื่องที่พวกเรายังคุยกันไม่จบเลย”
              
                        ม่านอี้ได้แต่กะพริบตาถี่ ยิ่งได้มองสบตากับเขาก็ยิ่งรู้สึกว่าหัวใจของตนเองเต้นเร็วจนไม่เป็นจังหวะจนต้องรีบก้มหน้าลง
                    แม้ปากจะปฏิเสธแต่ยามได้อยู่ใกล้ชิดกับเขา เนื้อตัวก็กลับโอนอ่อนตามเขาโดยไม่รู้ตัว เธอสัมผัสกับกลิ่นหอมโคโลญจ์ของเขาอยู่ใกล้
                    ม่านอี้สูดลมหายใจลึกช้อนสายตาขึ้นมองสบตากับเขา  รอยยิ้มบนใบหน้าคมคายยิ่งทำให้เธอหวั่นไหวมากขึ้น
            
                  แต่แล้วเสียงเคาะประตูห้องแทรกดังขึ้น ทำให้ม่านอี้สะดุ้งตัวอีกครั้ง คราวนี้คนที่เปิดประตูพรวดเข้ามาก็คือจินฮ่าน
                  เขาถึงกับหยุดชะงักทันที เมื่อเห็นว่าคนที่กำลังอยู่ในห้องกับพี่สาวของตนเป็นใคร
              
                  ม่านอี้ได้จังหวะคิดจะขยับตัวถอยห่างจากเฉิงเฟิง แต่เขายังไม่ยอมปล่อยมือที่กุมหัวไหล่ของเธอเอาไว้  
                  เฉิงเฟิงหันไปถามกับจินฮ่าน “วันนี้ไปช่วยงานพี่สาวของนายแล้วเป็นยังไงบ้าง ทุกอย่างเรียบร้อยดีไหม”
                 เมื่อเจอกับสายตาและน้ำเสียงทรงอำนาจของเฉิงเฟิง แม้จินฮ่านจะยังไม่หายงุนงงแต่ก็ต้องรีบตอบ
                “พวกผมช่วยกันขนย้ายเสร็จเรียบร้อยแล้วครับ”  
                “นายมีธุระเรื่องอะไรอีกไหม” เฉิงเฟิงถามต่อด้วยน้ำเสียงที่ทำให้คนฟังรู้ทันทีว่าต้องตอบอย่างไร จินฮ่านจึงรีบตอบกลับไปทันที
                “ไม่มีอะไรครับพี่เฟิง”  
                คำตอบของจินฮ่านทำให้เฉิงเฟิงมีรอยยิ้มที่พอใจ แล้วโบกมือให้เป็นสัญญาณ จินฮ่านเห็นแล้วก็เข้าใจความหมายว่าเฉิงเฟิงต้องการที่จะอยู่กับพี่สาวของตน จินฮ่านรีบค้อมศีรษะให้พร้อมกับกล่าวขอตัว  “ผมกลับก่อนครับ” ขณะที่กำลังจะหมุนตัวเดินออกไป
                “เดี๋ยวก่อนจินฮ่าน” เฉิงเฟิงเรียกรั้งไว้พร้อมกับรอยยิ้ม “ช่วยล็อกประตูให้ฉันด้วย”
               จินฮ่านหันหน้ากลับมาฉีกยิ้มกว้าง เมื่อเดินออกไปแล้วก็รีบปิดประตูให้ตามคำสั่งทันที

               ระหว่างทางเดินกลับห้องพัก จินฮ่านถึงกับเกาศีรษะตนเอง เขาแน่ใจว่าไม่ได้เข้าห้องผิด
                   เมื่อคิดจนมั่นใจก็อมยิ้มแล้วพูดพึมพำกับตนเอง “คราวนี้พี่สาวเราขายออกแล้ว”  
                    จินฮ่านเดินผิวปากกลับห้องไปอย่างคนอารมณ์ดี...
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่