บทนำ https://ppantip.com/topic/38091648
บททั้งหมดก่อนหน้า
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้อารัมภบท "รำลึกถึงเฉาโจว" https://ppantip.com/topic/38091648
บทที่๑ "ซ่อนกายที่เฉาโจว"https://ppantip.com/topic/38163232
บทที่๒ "ชะตาชีวิต"https://ppantip.com/topic/38199618
บทที่๓ "พระจันทร์ขึ้นที่ซ่างไห่" https://ppantip.com/topic/38203543
บทที่๔ "ความรักที่เจ็บปวด" https://ppantip.com/topic/38213699
บทที่๕ "อินทรีหน้าบาก" https://ppantip.com/topic/38233678
บทที่ ๖ "แม่กุหลาบน้อย" https://ppantip.com/topic/38244845
บทที่ ๗. "ดวงใจอินทรี" https://ppantip.com/topic/38258177
บทที่ ๘. "ผู้หญิงของนายน้อยหวง" https://ppantip.com/topic/38267801
บทที่ ๙. "คำสัญญา" https://ppantip.com/topic/38282233
เกริ่นนำ : ภาษาที่ใช้เรียกขานชื่อตัวละครและสถานที่ทั้งหมดจะเรียกเป็นภาษาจีนกลางนะคะ ,นิยายเรื่องนี้เป็นเรื่องที่แต่งขึ้นทั้งหมด
คำเตือน : บุหรี่และสุราเป็นอันตรายต่อชีวิตและสุขภาพ
"บทที่ ๑๐.บททดสอบ "
เช้าวันต่อมา เสียงเคาะประตูห้องทำงานที่เปิดอยู่ดังขึ้น ทำให้หวงเฟยต้องเงยหน้าขึ้นมอง แล้วเห็นซูหลินส่งยิ้มมาให้ เธอเดินเข้ามาพร้อมกับเด็กรับใช้ถือถาดถ้วยยาบำรุงตามมาด้วย
ยาบำรุงที่ยังร้อนจนควันกรุ่นพร้อมกลิ่นหอมสมุนไพรได้ถูกวางลงบนโต๊ะเรียบร้อยแล้ว เด็กรับใช้ก็ค้อมศีรษะเดินออกไปพร้อมกับปิดประตูห้องให้
ซูหลินจึงเดินอ้อมไปที่ด้านหลังของหวงเฟยแล้วทำการบีบนวดต้นคอและหัวไหล่ให้เขา เจ้าของห้องละมือจากการทำงานแล้วนั่งตัวตรง รู้สึกผ่อนคลายไปกับมือที่ออกแรงบีบได้ถูกจุด
“เมื่อวานที่งานเลี้ยงวันเกิดของคุณซุน ฉันรู้สึกว่าจือเหมยจะเชียร์คนชื่อเจียเทามาก”
ซูหลินหวนนึกถึงการสนทนาที่เกิดขึ้น “คุณชายหม่าก็สุภาพเสียจนไม่แสดงออกอะไรเลย”
เธอพูดแล้วก็อดนึกถึงเฉิงเฟิงไม่ได้ จนป่านนี้ก็ยังไม่ยอมรับที่จะคบหากับผู้หญิงคนไหน
“ส่วนอาเฟิงนี่สิคะ ที่ฉันเดาไม่ออกว่าเขารู้สึกกับหนูหลานซวงยังไง”
หวงเฟยได้ฟังที่ซูหลินพูดแล้วได้ยินเสียงถอนหายใจของเธอ แต่เขากลับยิ้มน้อยยิ้มใหญ่พร้อมกับเอื้อมไปลูบมือนุ่มของซูหลิน หวงเฟยผู้มากประสบการณ์จึงพูดขึ้น
“แต่ฉันคิดว่าอาเฟิงน่าจะมีคนที่เขาสนใจแล้วล่ะ เพียงแต่เขาคงต้องให้แน่ใจกับตัวเอง”
ซูหลินขมวดคิ้วทันทีแล้วเดินอ้อมมาด้านหน้า “ใครเหรอคะ”
เธอถามแล้วก็กลับนึกขึ้นได้เอง คราวนี้ซูหลินยิ้มให้กับหวงเฟยราวกับรู้คำตอบ
“ฉันเองก็นึกถูกชะตาหนูม่านอี้ อีกอย่างเด็กคนนั้นก็เรียนด้านแฟชั่นมา ถ้าให้มาช่วยงานที่ร้านของฉัน พี่เฟยคิดว่ายังไงล่ะคะ”
หวงเฟยพยักหน้าเห็นด้วย แล้วใช้ความคิดอยู่สักครู่ก็กระซิบบอกกับซูหลิน
“คราวนี้ดูสิว่าเจ้าเฟิงจะปากกับใจไม่ตรงกันได้อีกหรือเปล่า”
ซึ่งซูหลินฟังแล้วก็มีรอยยิ้มหวาน “ดีค่ะ ฉันจะทำตามนี้” เมื่อพูดแล้วเธอก็เดินไปหยิบถ้วยยาบำรุงมาให้พร้อมกับหย่อนตัวนั่งลงบนตักของหวงเฟยอย่างสนิทสนม…
ซูหลินได้ชักชวนให้ม่านอี้มาทำงานในร้านเสื้อของตนเอง ซึ่งสร้างความดีใจให้กับม่านอี้เป็นอย่างมาก
วันที่เริ่มทำงานวันแรกม่านอี้รู้สึกตื่นเต้น ร้านเสื้อ “เมอรรี่หลิน” ของน้าซูหลินถูกตกแต่งด้วยสไตล์ทันสมัยแนวตะวันตกผสมผสานกับความงดงามอ่อนช้อยของศิลปะตะวันออก ที่นี่มีพนักงานอยู่ราวแปดคน โดยมีลุงสามหัวหน้าผู้ชำนาญเป็นชายวัย ๕๗ ปี ร่างเล็ก ผมสีขาวโพลนทั้งศีรษะ แต่มีสายตาที่เฉียบคม และบุคลิกการ ทำงานรวดเร็ว ว่องไว เป็นผู้ดูแลและช่วยแนะนำม่านอี้
ช่วงแรก ๆ เธอมักจะถูกลุงสามตำหนิอย่างแรงและคำพูดตรง ๆ อย่างไม่รักษาน้ำใจ เพราะเธอเป็นคนใหม่ทำอะไรก็ไม่ถูกใจ เป็นครั้งแรกที่ม่านอี้รู้สึกอึดอัด ทั้ง ๆ ที่เคยนึกฝันว่าจะมาทำงานที่เธอรักอย่างมีความสุข ม่านอี้ทนทำงานมาถึงหนึ่งเดือน ถึงขั้นเกือบจะถอดใจ จนกระทั่งมีอยู่วันหนึ่งม่านอี้เผอิญได้ยินคำพูดนี้ของลุงสาม
“เด็กสมัยใหม่ ความเชื่อมั่นตัวเองสูง ความอดทนมีน้อย ฉันพูดตรง ๆ แค่นี้ก็รับไม่ได้ ไม่อยากจะนึกภาพว่าอนาคตของร้านเสื้อ “เมอรรี่หลิน” จะไปในทิศทางไหน” ตามด้วยเสียงถอนหายใจเฮือกใหญ่ของลุงสาม
ทำให้ม่านอี้รู้ว่าที่แท้ลุงสามมีความห่วงใยในธุรกิจของคุณลุงหวงเฟยกับคุณน้าซูหลินมาตลอด เมื่อรู้เจตนาที่แท้จริงแล้ว ม่านอี้ก็ยอมอดทน ไม่ว่าคุณลุงสามจะบ่นว่าจุกจิกอะไรก็ตามเธอยอมทำตามคำแนะนำทุกอย่าง อีกทั้งปรับตัวได้เร็วจนพนักงานที่อยู่ในร้านหกเจ็ดคนนึกแปลกใจ เพราะก่อนหน้านี้พวกเขาเคยแอบพนันกันไว้ว่าม่านอี้คงจะอยู่ทำงานที่ร้านได้ไม่เกินหนึ่งสัปดาห์เพราะทนความจุกจิก ละเอียดลออ และคำพูดแนะนำของลุงสามไม่ได้
หลังจากนั้นเวลาที่คุณลุงสามเดินมาตรวจดูผลงานของม่านอี้ เขาก็จะมองชิ้นงานด้วยความพิจารณา แม้ไม่มีคำชมจากปากแต่ก็ไม่มีคำพูดตำหนิให้ม่านอี้ได้ยินอีกเลย
“มีความตั้งใจ ก็ต้องมีความใส่ใจ เสื้อผ้าเป็นสิ่งเชิดหน้าชูตา”
ม่านอี้ยิ้มให้กับลุงสาม เธอเพิ่งจะรู้ว่าสิ่งที่ได้ร่ำเรียนเป็นเพียงพื้นฐานความรู้ในตำราและทฤษฎี ส่วนการปฏิบัติจริงนั้นมีขั้นตอนที่ละเอียดและต้องอาศัยประสบการณ์มาก ซึ่งคำแนะนำสั่งสอนของลุงสามช่วยให้เธอได้เรียนรู้จากการปฏิบัติโดยตรง หลังจากนั้นเป็นต้นมาม่านอี้ก็ทำงานเข้ากับลุงสามได้เป็นอย่างดี
ผ่านมาได้อีกหนึ่งสัปดาห์ก็เกิดเรื่องกับจินฮ่าน ที่คฤหาสน์ตระกูลซุน เรื่องการจัดการภายในบ้านตระกูลซุนล้วนอยู่ที่การตัดสินใจของจือเหมยตั้งแต่บุตรสาวของสามีและบรรดาคนรับใช้ ประกอบกับที่จือเหมยไม่ได้นึกชมชอบหรือเต็มใจให้สองพี่น้องตระกูลหลี่มาพักเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว
จือเหมยจึงหาทางพูดยุยงกับสามีเรื่องที่จินฮ่านไปคบกับพวกนักเลง เพราะเกรงจะพาความยุ่งยากลำบากมาสู่ตระกูลซุน จึงแนะนำว่าให้เงินก้อนกับสองคนพี่น้องไปอาศัยอยู่ที่อื่น ทำให้คนเป็นสามีลำบากใจ แม้หลานซวงจะช่วยพูดอีกคนก็ไม่เป็นผล เรื่องนี้คหบดีซุนรับไม่ได้ เพราะคนมีหน้ามีตาอย่างเขา จะให้ใครมาครหาว่าไม่สามารถช่วยดูแลบุตรสาวกับบุตรชายของพี่น้องร่วมสาบานได้
ยิ่งทำให้จือเหมยไม่พอใจถึงขั้นมีปากเสียงและบอกว่าตนจะเป็นคนย้ายออกไปเอง ทั้งม่านอี้กับจินฮ่านต่างก็มองหน้ากัน ม่านอี้ไม่ได้นึกตะขิดตะขวงใจแต่อย่างไร การเปลี่ยนที่อยู่จึงไม่ใช่ปัญหาใหญ่ของเธอ ยิ่งเมื่อรู้ว่าภรรยารองของคุณลุงซุนมีทีท่าไม่ค่อยชอบเธอกับน้องชาย
ม่านอี้ไม่อยากให้ลุงซุนลำบากใจจึงตัดสินใจบอกว่าเธอกับน้องชายจะเป็นฝ่ายย้ายไปเช่าอยู่ที่อื่น โดยให้เหตุผลว่าอีกไม่นานก็จะเดินทางกลับบ้านแล้ว
“ที่ผ่านมาคุณลุงก็ให้ความเมตตาพวกเราสองพี่น้องมามากแล้ว” ม่านอี้พูดให้คหบดีซุนสบายใจ แล้วเธอกับน้องชายก็ไปเก็บเสื้อผ้า โดยมีหลานซวงตามมาช่วย
“น้องม่านอี้ หากมีอะไรไม่สะดวกก็ติดต่อพี่มาได้ตลอดนะจ้ะ”
ม่านอี้กล่าวขอบคุณพร้อมกับเข้าไปสวมกอดหลานซวง เธออดนึกเป็นห่วงลูกพี่ลูกน้องคนนี้ไม่ได้ เพียงแต่เธอกำลังนึกห่วงหลานซวง เพราะหลายวันมานี้หลานซวงมักมีสีหน้าไม่สบายใจ
ม่านอี้จึงคิดว่าจะต้องหาทางช่วยลูกพี่ลูกน้องของเธอ หลังจากที่ได้ย้ายไปอยู่ที่อื่นแล้ว
เมื่อสองคนพี่น้องออกไปแล้ว คุณนายรองตระกูลซุนถึงกับลอบยิ้มในใจ...
ย่างเข้าฤดูร้อน วันนี้เฉิงเฟิงพาหูเจี้ยนมาที่โรงเลี้ยงม้าซึ่งส่วนหนึ่งของม้าที่นี่ต้องนำไปใช้เข้าฉากในภาพยนตร์ของบริษัทภาพยนตร์เต๋อเฟิงซึ่งร่วมทุนระหว่างเถ้าแก่หม่ากับหวงเฉิงเฟิง
สองคนพี่น้องพากันเดินมาที่คอกม้าเบอร์ห้า ที่คอกนี้จะมีม้าตัวโปรดของพวกเขา
ม้าตัวสีเทาเข้มเคยเป็นม้าแข่งฝีเท้าหนึ่งซึ่งทำรายได้ให้กับนักพนันมามากโข รวมไปถึงเถ้าแก่หม่าที่ได้โชคจากม้าตัวนี้มาด้วยเช่นกัน
ต่อมาภายหลังมันเกิดบาดเจ็บ ขาหักจนใช้งานไม่ได้ เถ้าแก่หม่าเห็นแล้วสงสารไม่อยากให้มันถูกขายไปที่โรงฆ่าสัตว์
เขาจึงปรึกษากับเฉิงเฟิงแล้วได้ข้อสรุปว่าจะรับไว้เลี้ยงดู หูเจี้ยนมาเห็นม้าตัวนี้ก็ชอบใจ อาจจะเป็นเพราะมันขาหักไปหนึ่งข้าง นึกแล้วก็คล้ายกับเขา หูเจี้ยนจึงตั้งชื่อให้มันว่า “เสี่ยวเจี้ยน” และเป็นม้าตัวโปรดของเขา มีเวลาหูเจี้ยนก็จะพามันเดินเล่นรอบสนามในโรงเลี้ยงม้า
ส่วนม้าอีกตัวหนึ่งก็เป็นลูกม้าที่เฉิงเฟิงซื้อมาแล้วเลี้ยงมาจนโตเป็นม้าหนุ่ม เขาตั้งชื่อให้มันว่า “เสี่ยวเฟิง” ม้าตัวนี้มีลักษณะปราดเปรียว อกกว้างกล้ามเนื้อนูนสวย ขนบางสั้นสีดำเป็นมัน แต่มันมักไม่ชอบคนแปลกหน้า ดังนั้นนอกจากเฉิงเฟิงที่คุ้นตั้งแต่มันยังเล็ก คนเลี้ยงม้าและคนคุ้นเคยที่เข้าออกในโรงม้าแห่งนี้แล้ว ไม่มีใครกล้าขึ้นไปขี่มันเด็ดขาด
เจ้าเสี่ยวเจี้ยนส่งเสียงและออกอาการเหมือนดีใจเมื่อเห็นหูเจี้ยนเดินมาหา
“พี่ใหญ่ดูสิ เสี่ยวเจี้ยนคงคิดถึงฉันมาก” หูเจี้ยนเดินตรงเข้ามาลูบที่แก้มของมัน
“แน่นอนอยู่แล้ว ก็นายเป็นคนโปรดของมันนี่น่า” เฉิงเฟิงพูดแล้วก็เดินเข้าไปลูบหลังของมัน พร้อมกับพิจารณาที่เท้าข้างซ้ายซึ่งเข้าเผือกไว้อย่างดี แล้วหันไปถามกับคนเลี้ยงม้า
“อาการของเสี่ยวเจี้ยนเป็นยังไงบ้าง”
“เมื่อวันก่อนมันไม่ค่อยสบาย ข้าน้อยซื้อยามาต้มให้มันกิน เพียงแปดในสิบส่วนมันก็ดีขึ้น สักพักข้าน้อยก็พามันเดินออกกำลังเบา ๆ มันฟื้นตัวเร็ว ไม่เหงาหงอย ครับนายน้อยหวง”
“ดีแล้ว ถ้าขาดอะไรก็บอกกับฉันได้เลย” เฉิงเฟิงยิ้มพร้อมบอกกับคนเลี้ยงม้า
“เสี่ยวเจี้ยน ฉันมาเยี่ยมแกแล้วนะ” หูเจี้ยนเอื้อมสองมือไปกอดกับม้าตัวโปรด เขาถ่ายทอดความรู้สึกเป็นห่วงม้าตัวนี้ ราวกับเป็นเพื่อนรัก
“พี่ใหญ่ ผมจะพาเสี่ยวเจี้ยนไปเดินเล่นสักพัก” หูเจี้ยนบอกกับพี่ชาย
เฉิงเฟิงพยักหน้า พร้อมกับบอกให้คนเลี้ยงม้าตามไปช่วยดูแล แล้วเฉิงเฟิงก็เดินไปหาม้าของเขาที่อยู่ถัดไป เจ้าเสี่ยวเฟิงมองเห็นเจ้านายเดินมาแต่ไกล มันส่งเสียงร้องดีใจ ท่าทางคึกคัก จนครูฝึกชาวมองโกลต้องรีบรายงาน “เสี่ยวเฟิงพร้อมแล้ว ถ้านายน้อยหวงจะขี่มัน”
เฉิงเฟิงได้ฟังแล้วก็ยิ้มกว้าง ชายหนุ่มร่างสูงสวมชุดทะมัดทะแมงใส่รองเท้าบูท เขาจูงเจ้าเสี่ยวเฟิงออกจากคอกม้าด้วยตัวเอง แล้วพามันไปที่โรงฝึก อันที่จริงเฉิงเฟิงแทบจะขึ้นขี่มันได้อย่างถนัดโดยไม่ต้องสวมอานด้วยช้ำ เพราะเขาได้เรียนทักษะการขี่ม้าแบบพิเศษนี้จากครูฝึกชาวมองโกลซึ่งเป็นทั้งคนดูแลม้าและครูฝึกด้วย
黃成風 ยอดบุรุษซ่อนคมพยัคฆ์ : ภาคหวงเฉิงเฟิง บทที่ ๑๐. บททดสอบ
บททั้งหมดก่อนหน้า
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
เกริ่นนำ : ภาษาที่ใช้เรียกขานชื่อตัวละครและสถานที่ทั้งหมดจะเรียกเป็นภาษาจีนกลางนะคะ ,นิยายเรื่องนี้เป็นเรื่องที่แต่งขึ้นทั้งหมด
คำเตือน : บุหรี่และสุราเป็นอันตรายต่อชีวิตและสุขภาพ
เช้าวันต่อมา เสียงเคาะประตูห้องทำงานที่เปิดอยู่ดังขึ้น ทำให้หวงเฟยต้องเงยหน้าขึ้นมอง แล้วเห็นซูหลินส่งยิ้มมาให้ เธอเดินเข้ามาพร้อมกับเด็กรับใช้ถือถาดถ้วยยาบำรุงตามมาด้วย
ยาบำรุงที่ยังร้อนจนควันกรุ่นพร้อมกลิ่นหอมสมุนไพรได้ถูกวางลงบนโต๊ะเรียบร้อยแล้ว เด็กรับใช้ก็ค้อมศีรษะเดินออกไปพร้อมกับปิดประตูห้องให้
ซูหลินจึงเดินอ้อมไปที่ด้านหลังของหวงเฟยแล้วทำการบีบนวดต้นคอและหัวไหล่ให้เขา เจ้าของห้องละมือจากการทำงานแล้วนั่งตัวตรง รู้สึกผ่อนคลายไปกับมือที่ออกแรงบีบได้ถูกจุด
“เมื่อวานที่งานเลี้ยงวันเกิดของคุณซุน ฉันรู้สึกว่าจือเหมยจะเชียร์คนชื่อเจียเทามาก”
ซูหลินหวนนึกถึงการสนทนาที่เกิดขึ้น “คุณชายหม่าก็สุภาพเสียจนไม่แสดงออกอะไรเลย”
เธอพูดแล้วก็อดนึกถึงเฉิงเฟิงไม่ได้ จนป่านนี้ก็ยังไม่ยอมรับที่จะคบหากับผู้หญิงคนไหน
“ส่วนอาเฟิงนี่สิคะ ที่ฉันเดาไม่ออกว่าเขารู้สึกกับหนูหลานซวงยังไง”
หวงเฟยได้ฟังที่ซูหลินพูดแล้วได้ยินเสียงถอนหายใจของเธอ แต่เขากลับยิ้มน้อยยิ้มใหญ่พร้อมกับเอื้อมไปลูบมือนุ่มของซูหลิน หวงเฟยผู้มากประสบการณ์จึงพูดขึ้น
“แต่ฉันคิดว่าอาเฟิงน่าจะมีคนที่เขาสนใจแล้วล่ะ เพียงแต่เขาคงต้องให้แน่ใจกับตัวเอง”
ซูหลินขมวดคิ้วทันทีแล้วเดินอ้อมมาด้านหน้า “ใครเหรอคะ”
เธอถามแล้วก็กลับนึกขึ้นได้เอง คราวนี้ซูหลินยิ้มให้กับหวงเฟยราวกับรู้คำตอบ
“ฉันเองก็นึกถูกชะตาหนูม่านอี้ อีกอย่างเด็กคนนั้นก็เรียนด้านแฟชั่นมา ถ้าให้มาช่วยงานที่ร้านของฉัน พี่เฟยคิดว่ายังไงล่ะคะ”
หวงเฟยพยักหน้าเห็นด้วย แล้วใช้ความคิดอยู่สักครู่ก็กระซิบบอกกับซูหลิน
“คราวนี้ดูสิว่าเจ้าเฟิงจะปากกับใจไม่ตรงกันได้อีกหรือเปล่า”
ซึ่งซูหลินฟังแล้วก็มีรอยยิ้มหวาน “ดีค่ะ ฉันจะทำตามนี้” เมื่อพูดแล้วเธอก็เดินไปหยิบถ้วยยาบำรุงมาให้พร้อมกับหย่อนตัวนั่งลงบนตักของหวงเฟยอย่างสนิทสนม…
ซูหลินได้ชักชวนให้ม่านอี้มาทำงานในร้านเสื้อของตนเอง ซึ่งสร้างความดีใจให้กับม่านอี้เป็นอย่างมาก
วันที่เริ่มทำงานวันแรกม่านอี้รู้สึกตื่นเต้น ร้านเสื้อ “เมอรรี่หลิน” ของน้าซูหลินถูกตกแต่งด้วยสไตล์ทันสมัยแนวตะวันตกผสมผสานกับความงดงามอ่อนช้อยของศิลปะตะวันออก ที่นี่มีพนักงานอยู่ราวแปดคน โดยมีลุงสามหัวหน้าผู้ชำนาญเป็นชายวัย ๕๗ ปี ร่างเล็ก ผมสีขาวโพลนทั้งศีรษะ แต่มีสายตาที่เฉียบคม และบุคลิกการ ทำงานรวดเร็ว ว่องไว เป็นผู้ดูแลและช่วยแนะนำม่านอี้
ช่วงแรก ๆ เธอมักจะถูกลุงสามตำหนิอย่างแรงและคำพูดตรง ๆ อย่างไม่รักษาน้ำใจ เพราะเธอเป็นคนใหม่ทำอะไรก็ไม่ถูกใจ เป็นครั้งแรกที่ม่านอี้รู้สึกอึดอัด ทั้ง ๆ ที่เคยนึกฝันว่าจะมาทำงานที่เธอรักอย่างมีความสุข ม่านอี้ทนทำงานมาถึงหนึ่งเดือน ถึงขั้นเกือบจะถอดใจ จนกระทั่งมีอยู่วันหนึ่งม่านอี้เผอิญได้ยินคำพูดนี้ของลุงสาม
“เด็กสมัยใหม่ ความเชื่อมั่นตัวเองสูง ความอดทนมีน้อย ฉันพูดตรง ๆ แค่นี้ก็รับไม่ได้ ไม่อยากจะนึกภาพว่าอนาคตของร้านเสื้อ “เมอรรี่หลิน” จะไปในทิศทางไหน” ตามด้วยเสียงถอนหายใจเฮือกใหญ่ของลุงสาม
ทำให้ม่านอี้รู้ว่าที่แท้ลุงสามมีความห่วงใยในธุรกิจของคุณลุงหวงเฟยกับคุณน้าซูหลินมาตลอด เมื่อรู้เจตนาที่แท้จริงแล้ว ม่านอี้ก็ยอมอดทน ไม่ว่าคุณลุงสามจะบ่นว่าจุกจิกอะไรก็ตามเธอยอมทำตามคำแนะนำทุกอย่าง อีกทั้งปรับตัวได้เร็วจนพนักงานที่อยู่ในร้านหกเจ็ดคนนึกแปลกใจ เพราะก่อนหน้านี้พวกเขาเคยแอบพนันกันไว้ว่าม่านอี้คงจะอยู่ทำงานที่ร้านได้ไม่เกินหนึ่งสัปดาห์เพราะทนความจุกจิก ละเอียดลออ และคำพูดแนะนำของลุงสามไม่ได้
หลังจากนั้นเวลาที่คุณลุงสามเดินมาตรวจดูผลงานของม่านอี้ เขาก็จะมองชิ้นงานด้วยความพิจารณา แม้ไม่มีคำชมจากปากแต่ก็ไม่มีคำพูดตำหนิให้ม่านอี้ได้ยินอีกเลย
“มีความตั้งใจ ก็ต้องมีความใส่ใจ เสื้อผ้าเป็นสิ่งเชิดหน้าชูตา”
ม่านอี้ยิ้มให้กับลุงสาม เธอเพิ่งจะรู้ว่าสิ่งที่ได้ร่ำเรียนเป็นเพียงพื้นฐานความรู้ในตำราและทฤษฎี ส่วนการปฏิบัติจริงนั้นมีขั้นตอนที่ละเอียดและต้องอาศัยประสบการณ์มาก ซึ่งคำแนะนำสั่งสอนของลุงสามช่วยให้เธอได้เรียนรู้จากการปฏิบัติโดยตรง หลังจากนั้นเป็นต้นมาม่านอี้ก็ทำงานเข้ากับลุงสามได้เป็นอย่างดี
ผ่านมาได้อีกหนึ่งสัปดาห์ก็เกิดเรื่องกับจินฮ่าน ที่คฤหาสน์ตระกูลซุน เรื่องการจัดการภายในบ้านตระกูลซุนล้วนอยู่ที่การตัดสินใจของจือเหมยตั้งแต่บุตรสาวของสามีและบรรดาคนรับใช้ ประกอบกับที่จือเหมยไม่ได้นึกชมชอบหรือเต็มใจให้สองพี่น้องตระกูลหลี่มาพักเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว
จือเหมยจึงหาทางพูดยุยงกับสามีเรื่องที่จินฮ่านไปคบกับพวกนักเลง เพราะเกรงจะพาความยุ่งยากลำบากมาสู่ตระกูลซุน จึงแนะนำว่าให้เงินก้อนกับสองคนพี่น้องไปอาศัยอยู่ที่อื่น ทำให้คนเป็นสามีลำบากใจ แม้หลานซวงจะช่วยพูดอีกคนก็ไม่เป็นผล เรื่องนี้คหบดีซุนรับไม่ได้ เพราะคนมีหน้ามีตาอย่างเขา จะให้ใครมาครหาว่าไม่สามารถช่วยดูแลบุตรสาวกับบุตรชายของพี่น้องร่วมสาบานได้
ยิ่งทำให้จือเหมยไม่พอใจถึงขั้นมีปากเสียงและบอกว่าตนจะเป็นคนย้ายออกไปเอง ทั้งม่านอี้กับจินฮ่านต่างก็มองหน้ากัน ม่านอี้ไม่ได้นึกตะขิดตะขวงใจแต่อย่างไร การเปลี่ยนที่อยู่จึงไม่ใช่ปัญหาใหญ่ของเธอ ยิ่งเมื่อรู้ว่าภรรยารองของคุณลุงซุนมีทีท่าไม่ค่อยชอบเธอกับน้องชาย
ม่านอี้ไม่อยากให้ลุงซุนลำบากใจจึงตัดสินใจบอกว่าเธอกับน้องชายจะเป็นฝ่ายย้ายไปเช่าอยู่ที่อื่น โดยให้เหตุผลว่าอีกไม่นานก็จะเดินทางกลับบ้านแล้ว
“ที่ผ่านมาคุณลุงก็ให้ความเมตตาพวกเราสองพี่น้องมามากแล้ว” ม่านอี้พูดให้คหบดีซุนสบายใจ แล้วเธอกับน้องชายก็ไปเก็บเสื้อผ้า โดยมีหลานซวงตามมาช่วย
“น้องม่านอี้ หากมีอะไรไม่สะดวกก็ติดต่อพี่มาได้ตลอดนะจ้ะ”
ม่านอี้กล่าวขอบคุณพร้อมกับเข้าไปสวมกอดหลานซวง เธออดนึกเป็นห่วงลูกพี่ลูกน้องคนนี้ไม่ได้ เพียงแต่เธอกำลังนึกห่วงหลานซวง เพราะหลายวันมานี้หลานซวงมักมีสีหน้าไม่สบายใจ
ม่านอี้จึงคิดว่าจะต้องหาทางช่วยลูกพี่ลูกน้องของเธอ หลังจากที่ได้ย้ายไปอยู่ที่อื่นแล้ว
เมื่อสองคนพี่น้องออกไปแล้ว คุณนายรองตระกูลซุนถึงกับลอบยิ้มในใจ...
ย่างเข้าฤดูร้อน วันนี้เฉิงเฟิงพาหูเจี้ยนมาที่โรงเลี้ยงม้าซึ่งส่วนหนึ่งของม้าที่นี่ต้องนำไปใช้เข้าฉากในภาพยนตร์ของบริษัทภาพยนตร์เต๋อเฟิงซึ่งร่วมทุนระหว่างเถ้าแก่หม่ากับหวงเฉิงเฟิง
สองคนพี่น้องพากันเดินมาที่คอกม้าเบอร์ห้า ที่คอกนี้จะมีม้าตัวโปรดของพวกเขา
ม้าตัวสีเทาเข้มเคยเป็นม้าแข่งฝีเท้าหนึ่งซึ่งทำรายได้ให้กับนักพนันมามากโข รวมไปถึงเถ้าแก่หม่าที่ได้โชคจากม้าตัวนี้มาด้วยเช่นกัน
ต่อมาภายหลังมันเกิดบาดเจ็บ ขาหักจนใช้งานไม่ได้ เถ้าแก่หม่าเห็นแล้วสงสารไม่อยากให้มันถูกขายไปที่โรงฆ่าสัตว์
เขาจึงปรึกษากับเฉิงเฟิงแล้วได้ข้อสรุปว่าจะรับไว้เลี้ยงดู หูเจี้ยนมาเห็นม้าตัวนี้ก็ชอบใจ อาจจะเป็นเพราะมันขาหักไปหนึ่งข้าง นึกแล้วก็คล้ายกับเขา หูเจี้ยนจึงตั้งชื่อให้มันว่า “เสี่ยวเจี้ยน” และเป็นม้าตัวโปรดของเขา มีเวลาหูเจี้ยนก็จะพามันเดินเล่นรอบสนามในโรงเลี้ยงม้า
ส่วนม้าอีกตัวหนึ่งก็เป็นลูกม้าที่เฉิงเฟิงซื้อมาแล้วเลี้ยงมาจนโตเป็นม้าหนุ่ม เขาตั้งชื่อให้มันว่า “เสี่ยวเฟิง” ม้าตัวนี้มีลักษณะปราดเปรียว อกกว้างกล้ามเนื้อนูนสวย ขนบางสั้นสีดำเป็นมัน แต่มันมักไม่ชอบคนแปลกหน้า ดังนั้นนอกจากเฉิงเฟิงที่คุ้นตั้งแต่มันยังเล็ก คนเลี้ยงม้าและคนคุ้นเคยที่เข้าออกในโรงม้าแห่งนี้แล้ว ไม่มีใครกล้าขึ้นไปขี่มันเด็ดขาด
เจ้าเสี่ยวเจี้ยนส่งเสียงและออกอาการเหมือนดีใจเมื่อเห็นหูเจี้ยนเดินมาหา
“พี่ใหญ่ดูสิ เสี่ยวเจี้ยนคงคิดถึงฉันมาก” หูเจี้ยนเดินตรงเข้ามาลูบที่แก้มของมัน
“แน่นอนอยู่แล้ว ก็นายเป็นคนโปรดของมันนี่น่า” เฉิงเฟิงพูดแล้วก็เดินเข้าไปลูบหลังของมัน พร้อมกับพิจารณาที่เท้าข้างซ้ายซึ่งเข้าเผือกไว้อย่างดี แล้วหันไปถามกับคนเลี้ยงม้า
“อาการของเสี่ยวเจี้ยนเป็นยังไงบ้าง”
“เมื่อวันก่อนมันไม่ค่อยสบาย ข้าน้อยซื้อยามาต้มให้มันกิน เพียงแปดในสิบส่วนมันก็ดีขึ้น สักพักข้าน้อยก็พามันเดินออกกำลังเบา ๆ มันฟื้นตัวเร็ว ไม่เหงาหงอย ครับนายน้อยหวง”
“ดีแล้ว ถ้าขาดอะไรก็บอกกับฉันได้เลย” เฉิงเฟิงยิ้มพร้อมบอกกับคนเลี้ยงม้า
“เสี่ยวเจี้ยน ฉันมาเยี่ยมแกแล้วนะ” หูเจี้ยนเอื้อมสองมือไปกอดกับม้าตัวโปรด เขาถ่ายทอดความรู้สึกเป็นห่วงม้าตัวนี้ ราวกับเป็นเพื่อนรัก
“พี่ใหญ่ ผมจะพาเสี่ยวเจี้ยนไปเดินเล่นสักพัก” หูเจี้ยนบอกกับพี่ชาย
เฉิงเฟิงพยักหน้า พร้อมกับบอกให้คนเลี้ยงม้าตามไปช่วยดูแล แล้วเฉิงเฟิงก็เดินไปหาม้าของเขาที่อยู่ถัดไป เจ้าเสี่ยวเฟิงมองเห็นเจ้านายเดินมาแต่ไกล มันส่งเสียงร้องดีใจ ท่าทางคึกคัก จนครูฝึกชาวมองโกลต้องรีบรายงาน “เสี่ยวเฟิงพร้อมแล้ว ถ้านายน้อยหวงจะขี่มัน”
เฉิงเฟิงได้ฟังแล้วก็ยิ้มกว้าง ชายหนุ่มร่างสูงสวมชุดทะมัดทะแมงใส่รองเท้าบูท เขาจูงเจ้าเสี่ยวเฟิงออกจากคอกม้าด้วยตัวเอง แล้วพามันไปที่โรงฝึก อันที่จริงเฉิงเฟิงแทบจะขึ้นขี่มันได้อย่างถนัดโดยไม่ต้องสวมอานด้วยช้ำ เพราะเขาได้เรียนทักษะการขี่ม้าแบบพิเศษนี้จากครูฝึกชาวมองโกลซึ่งเป็นทั้งคนดูแลม้าและครูฝึกด้วย