黃成風 ยอดบุรุษซ่อนคมพยัคฆ์ : ภาคหวงเฉิงเฟิง บทที่ ๘. ผู้หญิงของนายน้อยหวง

บทนำ https://ppantip.com/topic/38091648
บททั้งหมดก่อนหน้า
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้

เกริ่นนำ : ภาษาที่ใช้เรียกขานชื่อตัวละครและสถานที่ทั้งหมดจะเรียกเป็นภาษาจีนกลางแทนนะคะ ส่วนบทสนทนาซึ่งควรจะเป็นภาษาแต้จิ๋ว จะบรรยายแทนด้วยคำว่าพูดภาษาจีนสำเนียงท้องถิ่น ,นิยายเรื่องนี้เป็นเรื่องที่แต่งขึ้นทั้งหมด
คำเตือน : บุหรี่และสุราเป็นอันตรายต่อชีวิตและสุขภาพ





"บทที่ ๘.ผู้หญิงของนายน้อยหวง "


                      ม่านอี้ให้น้องชายนัดพบกับคนของบ่อนพนัน เย็นวันนี้หญิงสาวอยู่ในชุดเสื้อกางเกงแบบผู้ชายที่ดูทะมัดทะแมงพร้อมกับสวมหมวกแบนเพื่อความสะดวก ใบหน้าปราศจากเครื่องสำอางนั้นทำให้แลดูคล้ายกับเด็กหนุ่มหน้าหวานคนหนึ่ง
                         จินฮ่านไม่นึกว่าพี่สาวจะแต่งตัวเช่นนี้ ดูแล้วเธอมีความมั่นใจมากกว่าเขาเสียอีก ม่านอี้ได้บอกกำชับกับน้องชายว่าเธอจะเป็นคนพูดเอง ทั้งสองคนพี่น้องได้เดินทางมาถึงร้านอาหารขนาดเล็กแห่งหนึ่งซึ่งอยู่ไม่ไกลจากบ่อนแห่งนั้น     
                       
                         เธอกับน้องชายมาถึงตรงตามเวลานัดหมายก็เห็นพวกเขานั่งรอกันอยู่บนชั้นสอง เมื่อสองคนพี่น้องเดินขึ้นมาถึงด้านบน ม่านอี้สังเกตเห็นว่ามีผู้ชายใส่ชุดสีเข้มประมาณเจ็ดแปดคนแยกกันนั่งอยู่อีกสองโต๊ะ นอกนั้นก็ล้วนเป็นโต๊ะว่างที่ปราศจากลูกค้า เธอเห็นชายร่างกำยำคนหนี่ง ใบหน้าดูเหี้ยมดุนั่งอยู่ที่โต๊ะใหญ่   จินฮ่านกระซิบบอกกับพี่สาวว่าคนที่นั่งอยู่ก็คือหัวหน้าลู่เป็นคุมบ่อน
                       คนแซ่ลู่นั่งกระดิกเท้าวางท่าราวกับนักเลงใหญ่ มองหน้าจินฮ่านแล้วเพ่งมองคนที่ตามมาตั้งศีรษะจรดเท้า แล้วเอ่ยถามกับจินฮ่าน  “คนนี้หรือพี่สาว!”
                       “ใช่!ฉันเอง” ม่านอี้แสร้งพูดน้ำเสียงห้าวราวกับตนเองไม่ได้เป็นหญิง  
                       คนแซ่ลู่ก็ยังนึกภาพของผู้หญิงใบหน้าจิ้มลิ้ม สวมชุดฉีผาว รูปร่างดี ไม่ออก เพราะภาพที่เห็นตรงหน้าไม่เหมือนอย่างที่พวกลูกน้องพากันเล่าให้ฟังเลยสักนิด
                      ม่านอี้เดินนำน้องชายเดินไปนั่งลงที่เก้าอี้โดยไม่ต้องรอให้ใครเชิญ แล้วบอกขอดูเอกสารที่บันทึกการกู้ยืม ฝ่ายหัวหน้าคนคุมบ่อนเมื่อมองพิจารณาหญิงสาวในคราบของเด็กหนุ่มก็พอจะได้เห็นกิริยาของความเป็นหญิงที่ซ่อนอยู่บ้าง เขาจึงหันไปเรียกให้ลูกน้องส่งเอกสารยื่นไปให้
                     ทันทีที่ม่านอี้ได้เห็นสัญญา คิ้วเรียวขมวดเข้าหากันทันที เมื่อตัวเลขในสัญญาที่พุ่งขึ้นสูงกว่าเงินที่กู้ยืมจริงถึงสี่เท่า เธอจึงหันไปบอกว่าจะจ่ายเฉพาะที่เป็นหนี้จริงและปฏิเสธที่จะจ่ายเงินส่วนเกินที่เหลือ ทำให้คนแซ่ลู่ถึงกับหน้ากระตุก
                      “คุณหลี่ น้องชายของคุณไม่ได้ง่ายเงินตามที่สัญญา เพราะฉะนั้นดอกเบี้ยก็ต้องขึ้น”
                     ม่านอี้จ้องมองคนตรงหน้าแล้วยังคงยืนกรานคำพูดเดิมด้วยน้ำเสียงห้าว
                    “พวกนายจงใจจะขูดรีดน้องชายฉัน ฉันจะจ่ายแค่หนึ่งพันหยวน”
                 
                    “ถ้าไม่มีเงินจ่ายตามนี้ ก็ยังกลับไม่ได้ทั้งสองคน.” คนเป็นหัวหน้ายกมีดใหญ่ขึ้นมาปักลงบนโต๊ะ ทั้งสีหน้าโกรธขึง มันไม่คิดยินยอมให้ใครมาต่อรอง เมื่อบรรดาลูกน้องเห็นท่าทางของคนเป็นหัวหน้า ลูกน้องพวกนั้นก็เริ่มขยับตัวลุกขึ้นเตรียมพร้อม คนแซ่ลู่กำลังยิ้มเยาะราวกับได้เปรียบ จินฮ่านรู้สึกใจคอไม่ดีหันไปมองพี่สาว แล้วต้องนึกแปลกใจเขาไม่เคยเห็นท่าทางแบบนี้ สายตาที่พี่สาวของเขามองคนพวกนั้นอย่างไม่นึกเกรง
                      ฝ่ายม่านอี้นั้นไม่ปฏิเสธว่าตนเองนั้นใจเต้นระทึก หากว่าเธอแสดงความอ่อนแอให้พวกมันเห็น เธอก็ไม่มีเงินคืนให้คนพวกนี้มากไปกว่าจำนวนเงินที่มีติดตัว หญิงสาวพยายามประมวลความคิดพร้อมกับสูดลมหายใจลึก เธอคิดออกแล้วคงมีเพียงวิธีนี้
                    “ฉันมาคุยดี ๆ ไม่ได้บอกว่าจะไม่จ่าย แต่พวกนายยังจะเอาเปรียบกันอีก”            
                     “พวกเราต้องได้เงินทุกหยวนที่ระบุ ไม่มีการลดเด็ดขาด ว่ายังไง”คนแซ่ลู่เริ่มใช้สายตาแทะโลมจ้องมองม่านอี้ราวกับเป็นสินค้าชิ้นงามที่น่าจะทำกำไรให้มันได้ คนร่างกำยำหัวเราะลั่นแล้วลุกขึ้นเดินอ้อมโต๊ะมานั่งลงข้าง ๆ คิดจะเลื่อนมือขึ้นมาโอบไหล่ของเธอ
                     แต่แล้วมันก็ต้องสะดุ้งเมื่อรู้สึกว่ามีวัตถุบางอย่างมาจ่อเข้าที่เอวของตนเอาไว้ มันจึงก้มตาลงมองเห็นเป็นปืนพกนั่นเอง
                    “อย่าแตะตัวฉัน” ม่านอี้พูดน้ำเสียงขู่ แล้วเลื่อนอาวุธขึ้นไปที่หน้าท้องของมัน เธอมองประจันหน้ากับอีกฝ่าย  คนเป็นน้องชายกลับตกตะลึงนึกไม่ถึงว่าพี่สาวจะมีอาวุธมาด้วย
                    “จะบอกอะไรให้ ฉันจะจ่ายให้เฉพาะที่น้องฉันเป็นหนี้จริงแค่หนึ่งพันหยวนเท่านั้น”
                    หญิงสาวถลึงตาใส่คนแซ่ลู่ มือของเธอพร้อมจะเหนี่ยวไก ถ้าเพียงอีกฝ่ายขยับตัว
                    “หากยังอยากจะได้เงินส่วนที่เหลืออีกล่ะก็” ม่านอี้พูดพร้อมเชิดหน้าขึ้น
                     “ ไปถามหากับพี่หวงเฉิงเฟิง.. กล้าไหมล่ะ” เธออ้างชื่อของหัวหน้าแก๊งอินทรี มือยิ่งเพิ่มแรงกดปากกระบอกปืนลึกเข้าไปที่เอวของคนแซ่ลู่ ซึ่งก็ดูจะใช้ได้ผลเมื่อเขาชะงักไปทันที ฝ่ายจินฮ่านถึงกับทำอะไรไม่ถูก เวลานี้เขาเพียงแค่ทำตามที่พี่สาวบอก
                  
                    “อินทรีหน้าบาก! เหรอ” คนพูดน้ำเสียงเบาราวกับกลืนน้ำลายลงคอได้ยาก เพียงแค่ผู้หญิงตัวเล็กแค่คนเดียวไม่ใช่ว่าตนจะไม่มีปัญญาจัดการ หากมองดูท่าทางใจกล้าถึงกับนัดพวกเขามาพบที่นี่ ก็ต้องนึกทบทวนให้คิดระวังตัว ผู้หญิงคนนี้อาจจะได้คนที่มีอิทธิพลหนุนหลังอยู่ คิดดังนั้นมันก็รีบปรับเปลี่ยนสีหน้าเป็นยิ้มแย้มพร้อมกับแสดงทีท่าที่โอนอ่อนลง รีบตอบรับข้อเสนอทันที “ตกลงหนึ่งพันหยวน ก็หนึ่งพันหยวน”
                   “ถ้าเป็นผู้หญิงของนายน้อยหวง พวกเราไหนเลยจะกล้า”
                   ม่านอี้ได้ยินที่อีกฝ่ายพูดคำว่า “ผู้หญิงของนายน้อยหวง” ตนเองรู้สึกหายใจติดขัด เพราะมันเป็นเรื่องที่เธอแกล้งกุขึ้นทั้งสิ้น เพียงเพื่อเอาตัวรอดในสถานการณ์แบบนี้ แล้วนึกไม่ออกว่าจะอ้างชื่อใครนอกจากเขา พลันนึกว่าตนเองคงจะสิ้นคิด แต่มีเพียงวิธีนี้ที่เธอต้องลองเสี่ยงแล้วสวรรค์ก็ยังมีความเห็นใจเธออยู่ คนพวกนี้ถึงยอมฟังเธออย่างง่ายดาย
                   ม่านอี้เก็บอาวุธแล้วหยิบเงินออกมาจากกระเป๋าสะพาย แต่ก่อนที่จะยื่นให้ไป เธอรีบชิงพูดขึ้นก่อน   “ช่วยเขียนว่าพวกเราจ่ายให้หมดแล้วและขอสัญญาให้ฉัน”
                  คนแซ่ลู่รีบจัดแจงหยิบปากกาเขียนลงในสัญญาทันที ท่าทีราวกับเป็นคนละคน จนม่านอี้ต้องนึกขำในใจที่เห็นคนตรงหน้ากลัวหัวหน้าแก๊งอินทรีถึงเพียงนี้
                   เมื่อได้เอกสารสัญญามาแล้วเธอจึงส่งมอบเงินให้ไป จากนั้นม่านอี้ก็ลุกขึ้นเดินออกไปกับน้องชาย โดยคนกลุ่มนั้นต่างก็อำนวยความสะดวกยอมเปิดทางให้แต่โดยดี
             
                    เมื่อจินฮ่านนั่งอยู่ในรถกับพี่สาว เขาอดนึกสงสัยอยู่หลายเรื่องไม่ได้ คนเป็นน้องชายหยิบผ้าเช็ดหน้าซับเหงื่อแล้วหันไปหาพี่สาวที่นั่งนิ่งยังไม่ได้พูดอะไรกันสักคำ โดยไม่รู้ว่าคนเป็นพี่สาวนั้นมือไม้เย็นเฉียบ
                   “พี่ม่านอี้ไปเอาปืนมาจากไหน” จิ้นฮ่านถามแล้วยังรู้สึกว่าหัวใจตนเองเต้นแรง
                    “พี่ชายของเพื่อนพี่เป็นตำรวจ เขาเคยบอกพี่ว่าจะมาซ่างไห่ต้องระมัดระวัง”
                   “แล้วพี่เคยยิงปืนด้วยเหรอ ผมยังไม่เคยเลย”
                   “แค่ยิงกับเป้าซ้อม ยังไม่เคยยิงใคร”ม่านอี้ตอบโดยพยายามรักษาน้ำเสียงให้คงที่
                    จินฮ่านนึกไม่ถึงเมื่อเห็นความกล้าเกินหญิงของพี่สาว มาถึงตอนนี้ถึงได้รู้ว่าตนเองต้องคอยให้พี่สาวช่วยเหลือ ทั้งยังพลอยทำให้เธอเดือดร้อนไปด้วย

                   “พี่ม่านอี้” จินฮ่านพูดน้ำเสียงแผ่วเบา “ผม..ขอโทษ”
                   ม่านอี้หันไปมองหน้าน้องชาย เธอคอยดูแลเลี้ยงน้องชายมาตั้งแต่เล็ก ทั้งรู้นิสัยดีว่าน้องชายของเธอเป็นคนดี ไม่เคยเกเร และยังเป็นความหวังของคุณพ่อของเธอด้วย
                   “นายเป็นน้องชายฉัน ไม่มีใครช่วยเรา พวกเราก็ต้องช่วยกันเอง”
                  คนเป็นน้องชายรู้สึกเสียใจ แต่เมื่อนึกขึ้นได้ว่าพี่สาวได้อ้างชื่อของสำนักอินทรี
                  “พี่ม่านอี้ คิดว่าพวกนั้นจะยอมเชื่อพวกเราจริงหรือว่าพี่เฉิงเฟิง..”
                 คำถามของน้องชายทำให้ม่านอี้อดนึกถึงใบหน้าของคนที่ไล่เธอออกจากสำนักอินทรีไม่ได้ ในเมื่อการเจราจาครั้งนี้มีเพียงคนพวกนั้นกับเธอ เรื่องที่แอบอ้างชื่อหัวหน้าแก๊งอินทรีคงไม่มีใครรู้อีก เธอจึงพูดตัดบทให้น้องชายสบายใจ
                  “ไม่ต้องคิดมากหรอก เราจ่ายเงินไปแล้วแถมสัญญาก็อยู่กับเรา มันจบแล้ว”
                  “ต่อไปนายก็ไม่ต้องไปที่บ่อนนั่นอีกล่ะ”
                   จินฮ่านพยักหน้ารับคำกับพี่สาว แต่ในใจยังอดนึกเป็นห่วงเธอไม่ได้อยู่ดี
     
             เช้าวันต่อมาเฉิงเฟิงได้รับโทรศัพท์จากอาเล่อแจ้งข่าวคราวคืบหน้าให้ทราบ รอยยิ้มระบายบนใบหน้าของคนฟัง เมื่อวางสายแล้ว ชายหนุ่มก็เดินไปหาน้องชายร่วมสาบานที่ห้อง
              “เป็นยังไงบ้าง”
              “พี่ใหญ่” หูเจี้ยนรู้สึกดีใจเมื่อได้รับข่าว “เหมยหลิงจะกลับมาอาทิตย์หน้า”
               เฉิงเฟิงมองหน้าน้องชายที่ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ ราวกับว่าโลกทั้งใบมีแต่ความสดใส
              “เมื่อไรนายจะสารภาพเรื่องหัวใจกับเหมยหลิงล่ะ”
               คำพูดของพี่ใหญ่ทำให้หูเจี้ยนยิ้มเก้อเขิน พี่ชายย่อมรู้ใจเขาดี ในใจของเขามีแต่เหมยหลิง ความผูกพันในวัยเยาว์ยังคงฝังความรู้สึกดี ๆ ไม่เสื่อมคลาย
                “จะบอกรักเธอก็รีบซะ” เฉิงเฟิงหันไปโอบไหล่น้องชาย
                “อาเจี้ยนรู้ไหมว่าทำไมฉันถึงไม่ชวนนายไปออกงานสังคม”
                “ดีแล้วครับพี่ใหญ่ ผมไม่ค่อยชอบสถานที่พลุกพล่าน”
              เฉิงเฟิงหันมายิ้มให้น้องชาย “นั่นยังไม่สำคัญเท่ากับการที่นายปั้นสีหน้าไม่เป็น”
               หูเจี้ยนขมวดคิ้ว นึกสงสังคำพูดของพี่ใหญ่
              “นายเป็นคนพูดตรงไปตรงมา เป็นคนจริงใจ ฉันชอบที่นายเป็นแบบนี้ และยังอยากให้เป็นเช่นนี้ตลอดไป”  เฉิงเฟิงตบไหล่คนเป็นน้องชายเบา ๆ แล้วก็เดินไปที่มองภาพของเขากับหูเจี้ยน ซึ่งเจ้าของห้องใส่กรอบแขวนไว้ในห้องนี้
              “คืนพรุ่งนี้เราไปเที่ยวกันไหม ไปหาคู่เต้นรำกันสักหน่อย เราสองคนพี่น้องไม่ได้ไปเที่ยวกันนานแล้ว”  
                หูเจี้ยนพยักหน้า ดีใจที่ยินเช่นนั้น สำหรับเฉิงเฟิงแล้วเหตุผลที่จะพาน้องชายไปเที่ยวพักผ่อนใจก็เรื่องหนึ่ง เหตุผลที่จะไปพบกับใครอีกคนก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง…
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่