黃成風 ยอดบุรุษซ่อนคมพยัคฆ์ : ภาคหวงเฉิงเฟิง บทที่ ๑๔. ใจตรงกัน

บทนำ https://ppantip.com/topic/38091648
บททั้งหมดก่อนหน้า
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้

เกริ่นนำ : นิยายเรื่องนี้ดำเนินเรื่องหลักที่ซ่างไห่ (เซี่ยงไฮ้) ภาษาที่ใช้เรียกขานชื่อตัวละครและสถานที่ทั้งหมดจะเรียกเป็นภาษาจีนกลางนะคะ ,นิยายเรื่องนี้และบางสถานที่เป็นเรื่องที่แต่งขึ้นทั้งหมด  
คำเตือน : บุหรี่และสุราเป็นอันตรายต่อชีวิตและสุขภาพ





"บทที่ ๑๔.ใจตรงกัน "


             บ่ายสี่โมงของวันนี้ พนักงานสองคนในร้านเมอร์รี่หลินต่างก็ง่วนอยู่กับการต้อนรับลูกค้าสามีภรรยาคู่หนึ่ง ลูกค้าทั้งสองคนนี้เลือกดูชุดแล้วชุดเล่าก็ยังหาแบบที่ถูกใจไม่ได้  
              คุณนายสาวสวยแต่งกายด้วยชุดเดรสแบบตะวันตกพร้อมด้วยเครื่องประดับราคาแพงหยิบเดรสชุดหนึ่งขึ้นมาดู แล้วทำเบ้ปาก หันไปมองหน้าสามีวัยประมาณเกือบห้าสิบปี ที่ดูเหมือนจะคอยเอาใจภรรยาสาวเป็นพิเศษ ชนิดที่คนเป็นภรรยาพูดอะไรก็เห็นด้วยทุกคำพูด
              “ทำไมแบบเสื้อและเนื้อผ้าของที่นี่ถึงได้ดูล้าสมัยนัก”ลูกค้าสาวหันมาถาม ทำให้พนักงานที่ดูแลถึงกับตอบไม่ถูกต้องหันไปมองเพื่อนอีกคน
              “ไม่จริงนะคะ ร้านของเรามีแต่แบบใหม่ ผ้าก็เนื้อดี คุณผู้หญิงลองดูชุดนี้สิคะ” พนักงานอีกคนหนึ่งรีบกล่าวค้าน พร้อมกับหยิบชุดที่คิดว่านำสมัยที่สุดส่งไปให้ลูกค้าดู
              “เธอหาว่าฉันไม่มีรสนิยมหรือยังไง!” คนเป็นลูกค้าเริ่มพูดเสียงดังพร้อมกับปรายตามองอย่างตำหนิ ทำให้พนักงานทั้งสองต้องรีบกล่าวขอโทษ  คุณนายคนสวยยังคงปั้นสีหน้าบึ้งตึงแล้ววางชุดลงทันที หันไปบอกกับสามี
              “คุณพี่.. เราเปลี่ยนไปดูชุดที่ร้านของเฮนรี่เทลเลอร์กันดีกว่า”
               คนเป็นภรรยาพูดจบก็หมุนตัวเดินนวยนาดนำหน้าสามีออกจากร้านไป  
               ทิ้งให้พนักงานทั้งสองหันมามองหน้ากัน อดที่จะซุบซิบเรื่องลูกค้าที่เอาแต่ใจแบบนั้นไม่ได้  แล้วพากันก้มหน้าก้มตาเก็บชุดให้เรียบร้อย เสร็จแล้วก็เดินกลับไปยืนประจำที่เคาน์เตอร์

               ผ่านไปสักครู่ม่านอี้เดินออกมาจากด้านใน เห็นพนักงานหญิงทั้งสองหน้ามุ่ยราวกับมีเรื่องไม่สบอารมณ์ เมื่อสอบถามก็ได้รู้เรื่องราว ม่านอี้จึงพูดปลอบใจพนักงานทั้งสองคน
              “คนซื้อสินค้าก็ต้องการของที่ถูกใจ พวกเขาไม่ซื้อวันนี้ วันหน้าอาจจะกลับมาที่ร้านของเราอีก เพราะฉะนั้นพวกเราก็อดทนกันสักหน่อยนะ” ม่านอี้ลอบถอนหายใจ แม้ว่าจะรู้เหตุผลที่แท้จริงดี แต่เธอก็พูดให้กำลังใจพนักงานทั้งคู่เพื่อความสบายใจ
               พนักงานทั้งสองคนก็กล่าวรับคำพร้อมกัน ม่านอี้ยิ้มให้แล้วเดินกลับเข้าไปด้านใน..
          
              “หมู่นี้มีลูกค้ามาที่ร้าน แต่มาซื้อสินค้าของเราน้อยลงใช่ไหม” ลุงสามนั่งอยู่ที่โต๊ะทำงานถามขึ้นพร้อมกับมองลอดแว่นตาเมื่อเห็นม่านอี้เดินกลับเข้ามาในห้อง
                ม่านอี้ยิ้มแล้วเล่าเรื่องทั้งหมดที่พนักงานบอกกับเธอเมื่อสักครู่ให้ลุงสามฟัง
              “หนูขอพูดตรง ๆ นะคะ”ม่านอี้ตัดสินใจที่จะพูด ลุงสามพยักหน้าเป็นการอนุญาต
               “ที่ลูกค้าสองคนนั้นบอกมาก็มีส่วนถูกค่ะ เราไม่ได้ซื้อผ้าแบบใหม่เข้าร้านมาระยะหนึ่งแล้ว เพราะสต็อกผ้าของร้านเรายังมีอยู่อีกหลายพับเลย”
               ลุงสามได้ฟังแล้วก็ถอนหายใจ “คงเป็นความผิดของฉันเองที่คำนวณพลาดไป ไม่นึกว่าแนวความนิยมจะเปลี่ยนเร็วขนาดนี้”  
              ม่านอี้เห็นสีหน้าของลุงสามที่ดูเหม่อราวกับไม่สบายใจ เธอจึงเดินไปพูดกับเขา
             “อย่าพูดแบบนั้นสิคะ ผ้าที่ลุงสามสั่งมาล้วนแต่ผ้าเป็นเนื้อดี เป็นการอุดหนุนโรงทอในซ่างไห่ ไม่ต้องไปนำผ้าเข้าจากต่างประเทศ เพียงแต่เราคงต้องปรับแบบสักหน่อยนะคะ”
               ลุงสามเงยหน้าขึ้นมองม่านอี้  “แล้วเธอมีความเห็นอย่างไงบ้างล่ะ”  
               ม่านอี้ยิ้มแล้วเดินไปหยุดอยู่ที่เบื้องหน้าหุ่นโชว์เสื้อพร้อมกับใช้ความคิด ก่อนหันมาบอกกับลุงสามที่กำลังรอฟังความเห็นของผู้ร่วมงานซึ่งอ่อนวัยกว่า
              “หนูเคยไปเดินดูร้านตัดเสื้อที่ตั้งอยู่ใกล้หัวมุมถนนกับร้านเฮนรี่เทลเลอร์ที่เพิ่งเปิดใหม่ อยู่ถัดจากเราไปไม่ไกล” ม่านอี้พูดแล้วก็เดินกลับมานั่งลงที่เก้าอี้
              “เรื่องรูปแบบการตัดเย็บของพวกเขาไม่ต่างจากเรามากนัก ในส่วนนี้หนูคิดว่าด้วยฝีมือของลุงสามต้องสู้เขาได้แน่นอน”
               ลุงสามได้ยินคำพูดนี้ถึงกับยิ้มกว้างจนเห็นริ้วรอยบนใบหน้าทีเดียว
              “เพียงแต่พวกเขามีผ้าแบบนำสมัย แต่หากว่าเราต้องไปซื้อผ้าเพิ่มในตอนนี้ก็เท่ากับเราต้องทิ้งผ้าเก่าไปอีก” ม่านอี้พูดแล้วก็นึกทบทวนไปด้วย
              “หนูคิดว่าน่าจะคัดแยกผ้าที่เรามีอยู่ นำมาออกแบบให้เหมาะ แล้วก็โฆษณาในรูปแบบของร้านเรา” ม่านอี้พูดสิ่งที่เธอได้คิดเอาไว้ “ลุงสามว่าเราทำแบบนี้ดีไหมคะ”    
              คนนั่งฟังถึงกับถอดแว่นตา รอยยิ้มบนใบหน้าของเขาทำให้ม่านอี้รู้ว่าลุงสามเห็นด้วย
              “ถ้าเช่นนั้น หนูจะไปจัดการคัดผ้าเดี๋ยวนี้เลยค่ะ”  ม่านอี้ยิ้มให้ลุงสาม หยิบสมุดแล้วรีบเดินออกไป
               ลุงสามมองจนม่านอี้เดินไปแล้วก็พยักหน้ายิ้มอย่างชื่นชมและพูดรำพันกับตนเอง
              “ซูหลินดูคนไม่ผิดจริง ๆ รู้ว่าเด็กคนนี้ตั้งใจทำงาน”

               ม่านอี้เดินเข้ามาที่ห้องเก็บผ้าซึ่งเป็นห้องขนาดกลาง เธอเอื้อมมือเปิดสวิทช์ไฟ มองไปรอบ ๆ เห็นมีผ้าอยู่บนชั้นซึ่งถูกวางปะปนกันไปหมด ไม่เป็นระเบียบนัก พนักงานได้ลาออกไปสองคน ส่วนพนักงานชายก็ได้รับบาดเจ็บที่มือจนต้องเข้าเฝือกจึงทำงานได้ไม่ถนัดนักต้องลาพักไปอีกคน ระหว่างนี้เธอจึงตัดสินใจที่จะทำหน้าที่เร่งด่วนนี้แทนก่อน

               อีกด้านหนึ่งประตูร้านเมอร์รี่หลินถูกผลักเข้ามา พร้อมกับชายร่างสูงในชุดฉางซานที่ก้าวเข้ามาในร้าน พนักงานทั้งสองคนต่างก็รู้จักเป็นอย่างดี พวกเธอยิ้มแล้วกล่าวทักทายพร้อมกัน “สวัสดีค่ะนายน้อยหวง”

               เฉิงเฟิงยิ้มให้พวกเธอ พร้อมกับถอดหมวกถือไว้ในมือแล้วเดินตรงเข้าไปหาลุงสาม..
          
               ม่านอี้ยังคงเดินสำรวจดูผ้าแต่ละชนิด พร้อมกับจดบันทึกไว้ในสมุดไปด้วย เมื่อเห็นชั้นที่ว่างอยู่ เธอจึงวางสมุดบันทึกลงแล้วจัดการนำม้วนผ้าออกมา เพื่อคัดแยกวางไว้บนชั้น

               ผ่านไปสักพัก ม่านอี้รู้สึกร้อนอ้าวจนต้องโบกมือเข้าหาตัว แล้วหยิบผ้าเช็ดหน้าออกจากกระเป๋าขึ้นมาซับเหงื่อ แต่แล้วก็ชะงักมือพร้อมกับมองผ้าเช็ดหน้าผืนนี้ ม่านอี้มีรอยยิ้มกับตนเองเมื่อได้กลิ่นหอมจาง ๆ ของโคโลญจน์สุภาพบุรุษชั้นดี เธอพยายามซักผ้าเช็ดหน้าผืนนี้อย่างทะนุถนอมเพื่อให้กลิ่นน้ำหอมติดทนอยู่ให้นานที่สุด  
               เสียงนาฬิกาตีบอกเวลาทำให้เธอสะดุ้งตัว รีบเก็บผ้าเช็ดหน้าเข้ากระเป๋าแล้วลงมือทำงานต่อไป
              ในขณะที่กำลังยกม้วนผ้าที่มีอยู่เกือบเต็มพับขึ้นมา แต่พบว่าน้ำหนักเบาจนเธอรู้สึกตัวว่าไม่ได้เป็นคนถือผ้าพับนั้นเอาไว้
              เมื่อหันหน้ากลับไปมองจึงเห็นเขา    “คุณหวง!”
               ม่านอี้กะพริบตาถี่ไม่นึกว่าเขาจะเข้ามาอย่างเงียบเชียบจนถึงที่ห้องเก็บผ้าแห่งนี้ เฉิงเฟิงยืนอยู่ด้านหลังของเธอ และช่วยถือผ้าพับนี้เอาไว้
               “แรงเยอะนักหรือไง ถ้าเกิดหกล้มนอกจากคุณจะเจ็บตัว ผ้าของน้าซูหลินก็เปื้อนหมดสิ”
               เฉิงเฟิงแสร้งพูดน้ำเสียงตำหนิ แต่เขาก็ช่วยแบกน้ำหนักผ้าพับนั้นแทน ม่านอี้รู้ว่าคนพูดจงใจที่จะพูดแหย่เธอ คิดแล้วก็เม้มปากแน่น ใบหน้าจิ้มลิ้มนั้นเชิดขึ้นแล้วบอกกับเขา
               “ไม่ต้องห่วงหรอกค่ะ ผ้าแค่นี้เองฉันแบกมาเยอะแล้ว”
                ม่านอี้ยกมือจะแย่งผ้าจากมือของเขา แต่เฉิงเฟิงก็รั้งม้วนผ้าเอาไว้ไม่ยอมปล่อยมือออก เช่นกัน ชายหนุ่มถึงกับส่ายหน้า เพราะยิ่งออกแรงดึงน้ำหนักของผ้าที่แบกรับไว้ก็ยิ่งหนักขึ้น
                “คุณหนูหลี่จะให้เอาผ้าม้วนนี้วางไว้ตรงไหนล่ะ” เฉิงเฟิงส่ายหน้าอย่างอ่อนใจ
                ม่านอี้ยิ้มเมื่อได้ยินน้ำเสียงของเขาอ่อนลง เธอชี้มือให้ไปวางในตำแหน่งที่เตรียมไว้ เฉิงเฟิงจึงนำผ้าไปวางบนชั้นให้เรียบร้อย เสร็จแล้วปัดฝุ่นบนมือทั้งสองข้าง เดินกลับมา
               “แต่คุณหวงคะ ฉันไม่ได้ย้ายแค่พับสองพับนะคะ”  คำพูดของม่านอี้ทำให้เฉิงเฟิงถึงกับเลิกคิ้วแล้วมองไปที่กองผ้าซึ่งอยู่ในห้องนี้
               “คุณคิดจะทำอะไร” เฉิงเฟิงพูดแล้วกางแขนทั้งสอง “ย้ายผ้าทั้งหมดนี้เลยหรือไง”
            
                 ม่านอี้ได้โอกาสจึงฉีกยิ้มกว้างที่สุดและพยักหน้าเป็นคำตอบให้กับเขา
                “ถ้าคุณหวงอยากจะช่วยฉัน ก็ต้องช่วยยกให้หมดทั้งกองนี้เลยนะคะ”
                  คราวนี้เฉิงเฟิงกลับยืนนิ่ง นัยน์ตาคู่คมจ้องมองหญิงสาวจนอีกฝ่ายแก้มแดงเรื่อไม่รู้ตัว
                "ไม่มีปัญหา”เฉิงเฟิงยิ้มที่มุมปาก “แต่ผมจะหักเงินค่าจ้างคุณเป็นค่าแรงให้ผมแทน”
                เฉิงเฟิงพูดจบก็เดินไปที่ชั้น ทำท่าทีจะช่วยยกม้วนผ้าให้อีกตามที่พูดไว้
                “คุณหวง..ไม่ต้องเลย!” ม่านอี้ยกสองมือขึ้นยื่นไปข้างหน้าเพื่อห้ามเขา“ฉันทำเองได้”
                 ม่านอี้บ่นพึมพำแล้วลงมือจัดการแบกผ้าด้วยตนเองเพื่อเอาไปวางไว้อีกด้านหนึ่ง โดยไม่สนใจชายหนุ่มที่กำลังยืนเอามือกอดอกแล้วเฝ้ามองดูเธออยู่
              
                 เฉิงเฟิงยืนมองร่างอรชรในชุดเสื้อเชิ้ตแขนสี่ส่วนกับกระโปรงบานคร่อมเข่า ม่านอี้กำลังกุลีกุจอทำงาน ในสายตาของเขา เธอดูท่าทางทะมัดทะแมง และมีเรี่ยวแรงดีไม่เบาเลยทีเดียว
               “คุณหนูหลี่ไม่ต้องทำแล้ว มาคุยกับผมก่อน”
                ม่านอี้ทำเป็นไม่ได้ยินคำพูดของเขา เธอยังคงตั้งหน้าตั้งตาทำหน้าที่ต่อไป
              “ที่นี่เป็นร้านของน้าซูหลินและฉันก็กำลังทำงานอยู่ค่ะ”ม่านอี้พูดโดยไม่มองหน้าเขา
               “แต่ผมเป็นคนจ่ายเงินค่าจ้าง” เฉิงเฟิงพูดน้ำเสียงเข้มทรงอำนาจ ทำให้ม่านอี้ถึงกับหันกลับมามองหน้าของเขา
               “คุณคิดว่ามีเงินแล้วจะสั่งได้ทุกอย่างเหรอคะ” ม่านอี้เม้มริมฝีปากแน่น
              “ถูกต้อง! และผมก็ใช้เงินของผมช่วยน้องชายคุณ ยังจำได้ใช่ไหม”
                คำพูดของเฉิงเฟิงทำให้ม่านอี้ถึงกับชะงักมือหยุดทันที ในขณะที่ยืนคิดจนเหม่อก็กลับได้ยินเสียงร้องโอ๊ย! ของเขา ม่านอี้รีบหันกลับไปดูก็เห็นเฉิงเฟิงกำลังกุมมือของเขาอยู่ สีหน้าของเขาดูเจ็บปวดไม่น้อยเลย  เธอรีบเดินไปหาเขาทันที
               “มือของคุณโดนอะไรเข้าเหรอคะ”
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่