黃成風 ยอดบุรุษซ่อนคมพยัคฆ์ : ภาคหวงเฉิงเฟิง บทที่ ๑๖. ศัตรูที่อยู่ใกล้ตัว

บทนำ https://ppantip.com/topic/38091648
บททั้งหมดก่อนหน้า
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้

เกริ่นนำ : นิยายเรื่องนี้ดำเนินเรื่องหลักที่ซ่างไห่ (เซี่ยงไฮ้) ภาษาที่ใช้เรียกขานชื่อตัวละครและสถานที่ทั้งหมดจะเรียกเป็นภาษาจีนกลางนะคะ ,นิยายเรื่องนี้และบางสถานที่เป็นเรื่องที่แต่งขึ้นทั้งหมด  
คำเตือน : บุหรี่และสุราเป็นอันตรายต่อชีวิตและสุขภาพ





"บทที่ ๑๖.ศัตรูที่อยู่ใกล้ตัว "


                      หลังจากที่เฉิงเฟิงไปส่งม่านอี้ที่ร้านเมอร์รี่หลินแล้ว เขาก็ขับรถมุ่งหน้ามายังสำนักอินทรี เพื่อสะสางเรื่องที่ค้างคา  
                      อาเล่อกับที่ปรึกษาฟู่รีบออกมาหาหัวหน้าอินทรี พวกเขายืนพูดคุยกันอยู่สักครู่ ที่ปรึกษาฟู่ก็ขอตัวไปทำธุระ
                      ส่วนเฉิงเฟิงกับอาเล่อก็พากันเดินเข้าไปด้านในทันที
                    เฉิงเฟิงเดินลงมาถึงห้องลับซึ่งเป็นสถานที่ไว้หลบซ่อนตัว  ทันทีที่หงซินได้เห็นหน้าของหัวหน้าอินทรี รอยยิ้มก็ปรากฏบนหน้าแล้วรีบยันกายลุกขึ้นจากเตียง แต่แล้วก็กลับทรุดตัวลงนั่งด้วยความรู้สึกเจ็บระบมไปทั่วร่าง เฉิงเฟิงเห็นแล้วจึงต้องรีบโบกมือพร้อมกับบอกห้าม
                     “พี่หงซินนั่งเถอะ”
                     อาเล่อรีบนำเก้าอี้มาวางไว้ให้ใกล้เตียงโดยไม่ต้องรอคำสั่ง คนเป็นเจ้านายสะบัดปลายเสื้อฉางซานแล้วนั่งลงบนเก้าอี้
                    โน้มตัวมาถามคนที่ยังเจ็บด้วยความเป็นห่วง
                    “เห็นพี่หงซินมีสีหน้าดีขึ้น ผมก็ดีใจ”  
                   หงซินกล่าวขอบคุณแล้วรีบถามกับเฉิงเฟิง “เห็นอาเล่อบอกว่ามีคนตามไปทำร้ายคุณแถวสถานที่เต้นรำ ทำไมพวกมันถึงกล้านัก แล้วคนพวกนั้นเป็นใครกัน”
                  เฉิงเฟิงปรายตาไปมองหน้าอาเล่อ แล้วหันมาบอกกับหงซิน “พวกนั้นเป็นคนที่หานเจิ้นตงเจ้านายของพี่หงจ้างวานมา”  
                   หงซินได้ฟังแล้วถึงกับใบหน้าถอดสี  เฉิงเฟิงเอื้อมมือไปแตะที่ต้นแขนของอีกฝ่าย
                  “ที่จริงแล้วเมื่อคืนที่ผ่านมาผมไม่ได้อยากให้ลูกน้องติดตามไป แต่เมื่อคิดดูอีกทีไม่วางใจก็เลยส่งลูกน้องไปเคลียร์สถานที่ให้ก่อน  ที่พาราเม้าท์จึงมีลูกน้องของผมอยู่ แต่ผมก็ไม่ให้พวกเขาเปิดเผยตัว” เฉิงเฟิงพูดแล้วหันไปมองลูกน้องคนสนิท
                   อาเล่อช่วยเล่าเสริมให้กับเจ้านาย “ใช่ครับพี่หง  พี่เฉิงเฟิงไม่ได้ส่งสัญญาณให้พวกเรา แม้แต่ตอนที่มีคนเมาเข้ามาก่อกวน”  
                   “พวกนั้นอาจจะมั่นใจว่าผมไปที่พาราเม้าท์โดยไม่มีลูกน้องตามไป ทำให้พวกเราจับคนกลุ่มนั้นได้”
                    เฉิงเฟิงหันไปยิ้มให้กับหงซิน คนฟังถึงกับถอนหายใจเฮือกใหญ่
                     “จับตัวพวกนั้นได้แล้ว คุณเฉิงเฟิงคิดจะทำยังไงกับพวกเขาล่ะ”
                   “เรื่องนี้ผมก็กำลังคิดอยู่ และอยากจะปรึกษากับพี่หงซะหน่อยว่าได้ยินชื่อของหัวหน้าเปียวบ้างไหม”
                
                     หงซินได้ยินชื่อของบุคคลคนนี้ ก็ลองนึกทบทวนอยู่สักครู่ก็พอจะจำคนผู้นี้ได้  
                   “หัวหน้าเปียวเป็นชาวหูเป่ย ตอนนี้อายุก็คงจะราว ๔๐ ปี เขามีฝีมือไม่เบาทีเดียว”
                  เฉิงเฟิงพยักหน้าเห็นด้วยกับคำพูดของหงซิน “ผมได้ปะฝีมือกับเขาแล้ว ยอมรับว่าเขามีฝีมือเยี่ยมยุทธทีเดียว”
                  “แต่คนอย่างหัวหน้าเปียว ทำไมถึงมารับงานนี้ได้” หงซินใช้ความคิดแล้วก็เล่าให้เฉิงเฟิงฟังว่าหัวหน้าเปียวมีธุรกิจร้านอาหารที่ฝั่งผู่ตง
เป็นคนมีน้ำใจ แต่ไม่เคยยุ่งเกี่ยวกับพวกแก๊งใหญ่ฝั่งผู่ซี  จึงคาดเดาว่าน่าจะมีสาเหตุจำเป็นที่ทำให้หัวหน้าเปียวถึงกับต้องเดินทางมาฝั่งนี้
                   “คนผู้นี้ซื่อสัตย์ รักศักดิ์ศรี ถ้าหากว่าคุณเฉิงเฟิงได้คนอย่างหัวหน้าเปียวมาช่วยงานอีกสักคน ต้องเป็นเรื่องดีแน่นอน” หงซินยิ้ม พอจะรู้ใจของเฉิงเฟิงได้  
                     หัวหน้าอินทรีมีรอยยิ้มกว้างเมื่อได้ฟังที่หงซินเล่าพร้อมกับให้คำแนะนำ
                  
                     แต่เพียงครู่เดียวใบหน้าที่มีรอยยิ้มของหงซินก็ต้องคลายลง เมื่อนึกถึงสภาพร่างกายและสถานะของตนเองในเวลานี้
                     “ฉันคงจะอยู่ที่นี่นานไม่ได้ คุณเฉิงเฟิงจะเดือดร้อนไปด้วย”
                      หัวหน้าอินทรีได้ฟังแล้วถึงกับส่ายหน้าไปมา
                      “เอ๋! พี่หงอย่าได้กล่าวเช่นนั้นเลย ที่นี่สำนักอินทรี คนในกรมตำรวจเขตเช่า ผมก็รู้จักกันดี” เฉิงเฟิงโบกมือให้หงซิน
                       “พี่หงอย่าได้เป็นกังวล”
              
                      หงซินยกมือขึ้นปิดปากแล้วไอไปด้วย ยิ่งส่งเสียงไอมากก็ยิ่งกระเทือนไปถึงบาดแผล
                     “ฉันได้ข่าวว่ามีสารวัตรคนใหม่มาประจำการ คนนี้ตงฉินไม่เห็นแก่หน้าใคร”
                     เมื่อได้ยินคำพูดของหงซิน เฉิงเฟิงจึงหันหน้าไปมองกับอาเล่อ
                      “เรื่องนี้ผมก็พอจะรู้อยู่บ้าง วันก่อนเถ้าแก่เฝิ่งก็โทรมาคุย เห็นว่าคนผู้นี้ไม่ยอมรับของขวัญหรือน้ำใจจากใครเลยแม้แต่น้อย”
                      เฉิงเฟิงพูดไปก็พยายามนึกภาพไปด้วย
            
                     “ท่าทางสารวัตรคนใหม่ที่ชื่อเกาเทียนฉีคนนี้จะไม่ธรรมดาจริง ๆ “ อาเล่อพูดขึ้น
                     “แต่ถึงแม้เขาจะกล้ามาถึงสำนักอินทรี ก็ไม่มีทางพบกับพี่หงแน่” หัวหน้าอินทรีพูดราวกับมั่นใจ ทำให้หงซินอดที่จะนึกแปลกใจไม่ได้  
                      เฉิงเฟิงเห็นสีหน้าของอีกฝ่ายก็รู้ว่ายังไม่สู้สบายใจนัก เขาจึงต้องพูดให้คลายกังวล “เรื่องนี้ปล่อยให้ผมจัดการเถอะ”
                  
                      เฉิงเฟิงยิ้มให้กับหงซิน “พี่หงยังไม่ฟื้นตัวดี พักผ่อนออกกำลังกายเบา ๆ ไปก่อน สัปดาห์หน้าผมจะให้อาเล่อพาพี่หงซินไปพักอยู่ที่ใหม่”
                      หงซินได้ฟังดังนั้นถึงกับมองหน้าคนที่ให้การช่วยเหลือมาหลายครั้ง
                       “ทำไมคุณเฉิงเฟิงถึงต้องดีกับฉันนัก ทั้ง ๆ ที่ฉันเป็นคนของฝ่ายตรงข้าม”
                      หัวหน้าอินทรีมีรอยยิ้มกว้างแล้วเอื้อมมือไปแตะที่ไหล่ของอีกฝ่าย
                     “พี่หงอย่าได้พูดเช่นนั้น การจะสร้างศัตรูนั้นง่ายดาย แต่จะหามิตรแท้สักคนนี่สิยากกว่า ผมนับถือน้ำใจของพี่หง ความเป็นมิตรสหายของเราไม่มีคำว่าฝ่ายตรงข้ามหรอก”
                    ทั้งรอยยิ้มที่เปี่ยมไปด้วยมิตรไมตรีและคำพูดที่จริงใจของหัวหน้าอินทรี ทำให้หงซินถึงกับต้องคิดหนัก เฉิงเฟิงตบไหล่ของอีกฝ่ายเบา ๆ แล้วบอกให้พักผ่อน ส่วนเขาต้องไปทำธุระต่อ  หงซินจึงประสานมือกล่าวขอบคุณ พร้อมกับตัดสินใจบอกเตือนกับเฉิงเฟิง
                    “คุณเฉิงเฟิง ขอให้ระมัดระวังคนใกล้ตัวด้วย!”
          
                   คำพูดของหงซินทำให้หัวหน้าอินทรีกับอาเล่อหันมามองหน้ากัน
                   เฉิงเฟิงลุกขึ้นประสานมือตอบพร้อมทั้งกล่าวขอบคุณ อาเล่อก็ค้อมศีรษะให้หงซิน
                
                  เมื่อเดินออกจากห้องแล้วเฉิงเฟิงกับอาเล่อก็ไปที่ห้องลับอีกแห่งหนึ่งซึ่งอยู่ทางฝั่งตะวันตกของตึกนี้
                    หัวหน้าอินทรีก้าวเข้ามาในห้องโถงขนาดเล็ก สะบัดชายเสื้อฉางซานแล้วนั่งลงบนเก้าอี้ไม้ตัวใหญ่ ไม่นานนักคนเป็นหัวหน้าที่มาก่อเรื่องเมื่อคืนที่ผ่านมาก็ถูกนำตัวออกมา  
                   มือของอีกฝ่ายยังคงถูกมัดไว้ไพล่หลัง โดยมีลูกน้องของสำนักอินทรีควบคุมตัวไว้ แล้วผลักตัวของอีกฝ่ายให้เดินเข้ามา
                  เมื่อมาถึงเบื้องหน้าของหัวหน้าอินทรี ลูกน้องก็เตะเข้าที่ข้อพับของอีกฝ่ายให้คุกเข่าลงต่อหน้าของเจ้านาย แม้ว่าจะถูกทำให้เข่าข้างหนึ่งต้องย่อลง แต่คนที่ควบคุมตัวก็ยังไม่ยินยอมคุกเข่า ทั้งยังเบือนหน้าไปอีกทาง
                  เฉิงเฟิงจึงยกมือขึ้นโบกห้ามกับลูกน้อง “ไม่ต้องไปฝืนใจเขา” แล้วหันไปกระซิบบอกลูกน้องคนสนิท อาเล่อพยักหน้าแล้วจึงรีบจัดการยกเก้าอี้ไปให้
                  เมื่อเก้าอี้ถูกวางไว้ให้ตรงหน้า ชายผู้นั้นถึงกับหันหน้ามามองคนที่นั่งเป็นประธาน นัยน์ตาประกายกล้าจ้องมองหัวหน้าอินทรีผู้มีท่าทางองอาจ  
                เฉิงเฟิงยกมือเชิญให้อีกฝ่ายนั่งลง
               “ได้ยินว่าลูกน้องเรียกคุณว่าหัวหน้าเปียว” หัวหน้าอินทรีเอ่ยถามพร้อมกับรอยยิ้ม
                คนแซ่เปียวแม้ยังเดาไม่ถูกว่าอินทรีหน้าบากจะมาไม้ไหน แต่ก็ยอมนั่งลงบนเก้าอี้
                “มิผิด” หัวหน้าเปียวพูดน้ำเสียงห้วน แล้วมองจ้องหัวหน้าอินทรีอย่างไม่นึกหวั่น
                “จะลงโทษก็เชิญ แต่ขอเพียงแค่ปล่อยพวกลูกน้องของฉันไป”
                 เฉิงเฟิงมองท่าทางหยิ่งผยองแต่ยังแฝงไปด้วยน้ำใจของฝ่ายตรงข้ามแล้วก็มีรอยยิ้ม
                “ผมไม่ทำร้ายคุณหรอก เพราะคุณคงต้องทำไปด้วยเหตุจำเป็น”
                 หัวหน้าเปียวฟังแล้วถึงกับขมวดคิ้ว ไม่นึกว่าหัวหน้าอินทรีจะรู้เรื่องราวของเขา
                 “เรื่องเมื่อคืนนั้น สำนักอินทรีไม่ถือเป็นเรื่องบาดหมาง” เฉิงเฟิงพูดแล้วยิ้มจนหนวดรั้ง
                 “ส่วนพวกลูกน้องของหัวหน้าเปียว ผมตกลงจะปล่อยพวกเขาไป”
                 เฉิงเฟิงเห็นสีหน้าของอีกฝ่ายที่มองมาที่เขาราวกับไม่อยากจะเชื่อ หัวหน้าอินทรีไม่รีรอให้อีกฝ่ายต้องเอ่ยถาม จึงรีบสั่งการกับลูกน้องทันที
               “แก้มัดให้เขาแล้วปล่อยเขาไป”
                 ลูกน้องค้อมศีรษะแล้วทำตามเจ้านายสั่ง เดินตรงเข้าไปแก้มัดให้อีกฝ่าย
                “หัวหน้าเปียว..หากมีโอกาสพวกเราคงได้พบกันอีก” เฉิงเฟิงยกมือขึ้นประสานกันเป็นการให้เกียรติอีกฝ่าย หัวหน้าเปียวยังคงงุนงงที่จู่ ๆ ฝ่ายตรงข้ามก็ปล่อยตัวเขาอย่างง่ายดาย อีกทั้งยังไม่ถามไถ่ถึงคนบงการ ราวกับว่าอินทรีหน้าบากรู้ว่าใครเป็นคนอยู่เบื้องหลัง
                 หัวหน้าเปียวถึงกับพูดไม่ออก ใบหน้าเชิดตรงพร้อมกับยกมือขึ้นประสานคารวะตอบ แต่ไม่ได้กล่าวขอบคุณแต่อย่างไร แล้วรีบหันหลังเดินออกไป โดยมีลูกน้องสำนักอินทรีติดตามไปด้วย
                เฉิงเฟิงมองจนกระทั่งหัวหน้าเปียวเดินลับตาไป แล้วหันไปกระซิบสั่งการกับลูกน้องคนสนิท อาเล่อค้อมศีรษะแล้วรีบออกไปทำธุระทันที...
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่