b]บทนำ https://ppantip.com/topic/38091648
บททั้งหมดก่อนหน้า
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้อารัมภบท "รำลึกถึงเฉาโจว" https://ppantip.com/topic/38091648
บทที่๑ "ซ่อนกายที่เฉาโจว"https://ppantip.com/topic/38163232
บทที่๒ "ชะตาชีวิต"https://ppantip.com/topic/38199618
บทที่๓ "พระจันทร์ขึ้นที่ซ่างไห่" https://ppantip.com/topic/38203543
บทที่๔ "ความรักที่เจ็บปวด" https://ppantip.com/topic/38213699
บทที่๕ "อินทรีหน้าบาก" https://ppantip.com/topic/38233678
บทที่ ๖ "แม่กุหลาบน้อย" https://ppantip.com/topic/38244845
บทที่ ๗. "ดวงใจอินทรี" https://ppantip.com/topic/38258177
บทที่ ๘. "ผู้หญิงของนายน้อยหวง" https://ppantip.com/topic/38267801
บทที่ ๙. "คำสัญญา" https://ppantip.com/topic/38282233
บทที่ ๑๐. "บททดสอบ" https://ppantip.com/topic/38304131
บทที่ ๑๑. "เรื่องของความรัก" https://ppantip.com/topic/38326384
เกริ่นนำ : นิยายเรื่องนี้ดำเนินเรื่องหลักที่ซ่างไห่ (เซี่ยงไฮ้) ภาษาที่ใช้เรียกขานชื่อตัวละครและสถานที่ทั้งหมดจะเรียกเป็นภาษาจีนกลางนะคะ ,นิยายเรื่องนี้และบางสถานที่เป็นเรื่องที่แต่งขึ้นทั้งหมด
คำเตือน : บุหรี่และสุราเป็นอันตรายต่อชีวิตและสุขภาพ
"บทที่ ๑๒. มิตรภาพ "
หลังจากที่หูเจี้ยนได้ออกจากห้องไปแล้ว เฉิงเฟิงก็หวนนึกถึงเรื่องในวันนี้ เมื่อช่วงเย็นเขาต้องให้อาเล่อส่งข่าวให้กับมิสเตอร์เจมส์เพื่อให้ปลอมตัว แถมยังให้พวกลูกน้องแอบไปช่วยดูแลส่งมิสเตอร์เจมส์กับหญิงคนรักให้ออกจากซ่างไห่ไปอย่างปลอดภัย
เหตุผลที่ทำเช่นนี้ก็เพื่อป้องกันพวกที่คิดเล่นงานเถ้าแก่เฝิ่งมาสวมรอยใช้ความบาดหมางมาเป็นประโยชน์ของพวกมัน มิสเตอร์เจมส์เป็นคนในสังกัดของกระทรวงต่างประเทศ หากเป็นอันตรายถึงชีวิตและด้วยข่าวอือฉาวเช่นนี้ย่อมไม่เป็นผลดีต่อเถ้าแก่เฝิ่งอย่างแน่นอน ซึ่งยังนับว่ามิสเตอร์เจมส์โชคดีที่เพื่อนรุ่นอาวุโสของเขายอมปล่อยตัวไป ไม่เหมือนกับเหตุการณ์ของเขาในอดีตที่กลับต้องสูญเสียหญิงสาวคนรักต่อหน้าต่อตา
เฉิงเฟิงเดินไปหยิบแผ่นเสียงที่มักจะฟังเป็นประจำแล้วบรรจงวางแผ่นลงบนถาดเครื่องเล่นแผ่นเสียง เอื้อมมือไปหยิบก้านเข็มหย่อนลงในตำแหน่ง แล้วหันหลังเดินไปนั่งลงบนโซฟาพร้อมกับยกขาคู่ยาวขึ้นวางพาดกับที่พักเท้า
บทเพลง “ฉันมีความรักครั้งหนึ่ง”
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้บทเพลง 我有一段情 เพลงแรกของคลิปนี้ค่ะ
ทำให้เขาต้องหันหน้าไปมองภาพของเซียงเหยา เธอมักจะขับร้องเพลงนี้ให้ฟัง ยามที่พวกเขาได้คลอเคลียอยู่แนบชิดกัน เฉิงเฟิงเอนตัวพิงพนักพร้อมกับหลับตาลง บทเพลงแสนเศร้าที่รำพึงถึงคนรักที่จากไป ในวันที่เขามีทั้งชื่อและฐานะแต่กลับไม่มีเธออยู่เคียงข้างกาย แม้เวลาจะผ่านไปหลายปีแต่เขาก็ยังคงไม่ลืมเลือน
เพียงแต่ตอนนี้เขาไม่ได้จมปลักอยู่กับความเศร้าเหมือนที่เคยผ่านมา ชีวิตในซ่างไห่ทำให้ต้องปรับตัวเพื่อลุกขึ้นสู้ตลอดเวลา มีคนเคยบอกว่าซ่างไห่เหมือนถังสีใบใหญ่เมื่อกระโจนลงไปก็ต้องเปลี่ยนสี แต่เขาจะไม่กระโจนไปทั้งตัวและไม่ยอมสูญเสียตัวตนของเขาไปเป็นอันขาด
เฉิงเฟิงนึกถึงกลิ่นน้ำหอมอ่อน ๆ ยามที่ม่านอี้อยู่ใกล้เขาจนรู้สึกเหมือนความหอมนั้นยังอยู่ที่ปลายจมูก เขามั่นใจว่าเป็นน้ำหอมกลิ่นเดียวกับที่เซียงเหยาใช้ เพียงแค่นึกในใจว่าพวกเธอทั้งสองคนคงมีรสนิยมคล้ายคลึงกันก็ทำให้เขายิ้มกับตัวเอง…
รุ่งเช้าของวันนี้ เฉิงเฟิงแต่งตัวเรียบร้อย เมื่อเดินลงมาที่ห้องโถงด้านล่าง เสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้น
“เถ้าแก่หม่าโทร.มาครับนายน้อย” คนรับใช้รีบวิ่งมารายงานให้เฉิงเฟิงทราบ
ชายหนุ่มเดินไปรับสายโทรศัพท์ เถ้าแก่หม่าผู้เป็นทั้งเพื่อนรุ่นอาวุโสและหุ้นส่วนทางธุรกิจ ได้เล่าระบายให้เขาฟังว่ารู้สึกไม่สบายใจเมื่อฮั่นเชาบุตรชายคนเดียวจะเขียนบทภาพยนตร์ไปในแนวนิยมซ้าย แม้ว่าจะพูดคัดค้านอย่างไรบุตรชายก็ยืนกรานจะทำตามความตั้งใจเดิม
เฉิงเฟิงได้ยินเสียงทอดถอนหายใจของเถ้าแก่หม่าสลับกับการสนทนาตลอดเวลาแล้วก็เข้าใจความห่วงใยของคนเป็นพ่อ เฉิงเฟิงจึงรับปากกับเพื่อนรุ่นอาวุโสว่าจะช่วยพูดให้ซึ่งก็ทำให้คนปลายสายมีน้ำเสียงที่ดีขึ้นราวกับว่าได้คลายความกลัดกลุ้มใจลง พวกเขาสนทนากันสักครู่ทั้งคู่วางสายกันไป เฉิงเฟิงบอกกับคนรับใช้ว่าวันนี้เขาไม่อยู่ร่วมโต๊ะทานข้าว เพราะต้องไปธุระแต่เช้า…
ระหว่างทางไปสำนักอินทรี เฉิงเฟิงเห็นหงซินเดินอยู่บนฟุตบาทริมถนนเป่ยเล่อ เขาจึงบอกกับลุงตัวฝูให้ขับรถจอดเทียบก่อน เฉิงเฟิงลดกระจกแล้วเรียกทักทาย ทำให้หงซินหันไปมองก็พบว่าคนที่เรียกเขาคือหวงเฉิงเฟิงนั่นเอง
“พี่หงซิน หากมีเวลาขอเชิญพี่ขึ้นบนรถ พวกเราไปหาที่คุยกันสักหน่อย” เฉิงเฟิงพูดน้ำเสียงสุภาพ ทำให้หงซินอดนึกถึง
ตอนแรกที่เขาพบกับเฉิงเฟิงไม่ได้ เพียงแต่ในตอนนี้สถานการณ์กลับแปรเปลี่ยนเพราะอีกคนกลายเป็นบุตรบุญธรรมของหวงเฟิงมีฐานะเป็นนายน้อยตระกูลหวงและเป็นหัวหน้าสำนักอินทรี
หงซินยิ้มแล้วตอบรับคำเชิญ เขาเปิดประตูขึ้นไปบนรถ…
ภายในภัตตาคารเทียนโล่ว เฉิงเฟิงเชื้อเชิญให้การต้อนรับหงซินเป็นอย่างดี
“นายน้อยหวงอุตส่าห์ให้เกียรติ ฉันคิดแล้วก็ยังละอายใจ”
“เอ๋! พี่หงซินไม่ต้องเกรงใจ เรียกผมว่าเฉิงเฟิงเถอะ พวกเรานั่งทานอาหารพูดคุยกันฉันมิตร ไม่ต้องคุยเรื่องงาน รับรองว่าไม่ทำให้พี่หงต้องลำบากใจ” เฉิงเฟิงรินน้ำชากับมือของตนเองแล้วยื่นไปวางไว้ตรงหน้าของหงซิน ทำให้อีกฝ่ายก้มมองถ้วยน้ำชาแล้วเงยหน้าขึ้นมองคู่สนทนา
หงซินถอนหายใจเฮือกใหญ่ ยอมเปิดใจคุยเรื่องที่รู้สึกอึดอัดคับข้องใจ
เฉิงเฟิงได้ฟังแล้วก็เข้าใจเพราะเพียงครั้งแรกที่ได้พบกับหานเจิ้นตง เขาก็รู้สึกว่าคนอย่างเจิ้นตงไม่สามารถซื้อใจของเขาได้ แม้แต่หงซินผู้มีฝีมือและความภักดี หานเจิ้นตงก็คงจะรักษาไว้ไม่ได้เช่นกัน
ก่อนจากกันหงซินได้กระซิบบอกกับเฉิงเฟิงให้ระวังเรื่องคนงานที่ท่าเรือ
“ฉันบอกคุณเฟิงได้เท่านี้ ที่เหลือคุณต้องจัดการเอง”
หงซินได้ยินแผนการบางอย่างมา เพียงแต่เขาไม่อาจจะเปิดเผยความลับของเจ้านายและการคบหาของเฉินตงลู่หัวหน้าอินทรีเงิน เรื่องนอกเหนือจากนี้คงต้องให้หัวหน้าอินทรีเป็นคนรู้ด้วยตนเอง
“พี่หงรักษาตัวด้วย หากว่าพี่มีเรื่องลำบากใจอะไรก็บอกผมได้เสมอ”
หงซินยิ้มเพียงเล็กน้อยยกมือขึ้นประสานกันคารวะ เฉิงเฟิงก็ประสานมือคารวะตอบ คนของเถ้าแก่หานหันหลังเดินออกจากห้องอาหารไปแล้ว เฉิงเฟิงถึงกับครุ่นคิดหนัก
หงซินเดินออกจากภัตตาคารไปแล้วโดยไม่รู้ว่ามีใครคนหนึ่งคอยติดตามแอบดูพฤติกรรมของหงซินอยู่ คนผู้นั้นรีบเดินตามหงซินไปทันที..
ฝ่ายเฉิงเฟิงหลังจากเสร็จธุระจากสำนักอินทรีก็บอกให้ลุงตัวฝูขับรถไปที่บริษัทภาพยนตร์เต๋อเฟิง เพียงไม่ถึงครึ่งชั่วโมงรถยนต์ยุโรปคันงามก็แล่นมาถึงจุดหมาย
ทันทีที่คนร่างสูงก้าวเข้ามาในบริษัทภาพยนตร์ พนักงานที่นั่งอยู่ประจำโต๊ะต่างก็ลุกขึ้นกล่าวทักทาย เฉิงเฟิงยิ้มตอบด้วยท่าทางอารมณ์ดีเป็นเช่นนี้ทุกครั้งที่เข้ามาในบริษัท
ฮั่นเชานั่งอยู่ที่โซฟาตัวใหญ่ซึ่งอยู่มุมด้านในสุดของห้อง มีคอกไม้กั้นสูงแค่เข่าเพื่อเป็นพื้นที่ส่วนตัวเอาไว้พูดคุยรับแขก เฉิงเฟิงยกมือโบกให้กับฮั่นเชา คนที่นั่งอยู่ก็ยกมือขึ้นโบกตอบให้เพื่อนเป็นการทักทาย
“คุณพ่อคงจะให้คุณมาพูดกับผมสินะ” ฮั่นเชากล่าวเมื่อเห็นเพื่อนแวะมาแต่เช้า
เฉิงเฟิงหัวเราะส่ายหน้าไปมา “คุณชายหม่าไม่คิดว่าผมจะมาพูดธุระเรื่องอื่นหรือไง”
ฮั่นเชาเองก็หัวเราะ เขากับเฉิงเฟิงคบหาเป็นมิตรสหายกันมาหลายปี เพียงแค่มองหน้าก็สามารถรู้ใจได้ทันที เขาจึงเชิญให้เฉิงเฟิงนั่งลงที่โซฟาอีกตัวหนึ่ง พนักงานคนหนึ่งนำถ้วยน้ำชามาวางไว้ให้ฮั่นเชากับเฉิงเฟิง เรียบร้อยแล้วก็ค้อมศีรษะเดินออกไป
“คุณเฉิงเฟิงเรียกผมว่าฮั่นเชาเถอะ พวกเราเป็นเพื่อนกันไม่ต้องเรียกคุณชายหรอก ผมไม่ถือธรรมเนียมเคร่งเหมือนคุณพ่อของผม” ฮั่นเชาบอกแล้วยกถ้วยน้ำชาขึ้นดื่ม
เฉิงเฟิงได้ฟังดังนั้นก็ยิ้มกว้าง เขารู้ดีว่าเถ้าแก่หม่าบิดาของฮั่นเชาเป็นคนมีมารยาทและเคร่งธรรมเนียมปฏิบัติในสังคม ดังนั้นเฉิงเฟิงจึงให้เกียรติเรียกฮั่นเชาว่าคุณชาย เพื่อตอบแทนน้ำใจที่เถ้าแก่หม่าให้เกียรติกับเขาเสมอมา ฮั่นเชานั้นอายุน้อยกว่าเขา อีกทั้งยังมีความคิดนำสมัยซึ่งถือว่าเป็นสิ่งที่ดีที่จะเป็นความพัฒนาและสร้างมุมมองใหม่ แต่ในขณะเดียวฮั่นเชาก็อาจจะไม่เข้าใจความคิดของผู้เป็นพ่อ
“ตกลง..เฉพาะเวลาพูดคุยกันเป็นการส่วนตัวฉันมิตรสหาย”เฉิงเฟิงบอกกับฮั่นเชา แล้วยกถ้วยน้ำชาขึ้นมาเปิดฝาเพื่อไล่ความร้อนก่อนที่จะดื่ม
“คุณเชา..คุณต้องยอมรับอย่างหนึ่ง ที่พ่อของคุณมีมิตรสหายดี ๆ ไม่น้อยก็เพราะเขาเป็นคนรู้จักคบหาเพื่อน ข้อสำคัญความเคร่งธรรมเนียมของเถ้าแก่หม่าทำให้ผู้อื่นต่างก็เกรงใจเพราะคุณพ่อของคุณให้เกียรติพวกเขา” เฉิงเฟิงพูดแล้ววางถ้วยน้ำชาลงบนโต๊ะ
“ผมไม่ปิดบังคุณหรอก” เฉิงเฟิงพยักหน้าเปิดใจพูด “เถ้าแก่หม่าเป็นห่วงคุณเชามาก”
ฮั่นเชายังคงยืนยันความตั้งใจของตน “เรื่องนี้ยังไงผมก็ไม่ยอมทำตามคนอื่น”
เฉิงเฟิงรู้จักฮั่นเชาดีว่าเป็นอดีตนักศึกษาผู้รักชาติและผู้นิยมฝ่ายซ้าย จากประสบการณ์ในอดีตที่เจ็บปวดยังฝั่งใจทำให้ฮั่นเชาไม่อาจจะศรัทธารัฐบาลขุนศึกที่เต็มไปด้วยการทุจริตทั้งยังร่วมมือกับนายทุนเพื่อประโยชน์ของตนเองจนนำไปสู่ความเสื่อมถอยและเหลื่อมล้ำของสังคม ซึ่งเหตุผลข้อนี้เฉิงเฟิงเข้าใจดี แต่ปฏิเสธไม่ได้ว่าตอนนี้ทั้งเถ้าแก่หม่าและเขาต่างก็อยู่ในฐานะของนายทุนเช่นกัน เพียงแต่พวกเขาอาจจะมีพฤติกรรมแตกต่างจากนายทุนคนอื่นอยู่บ้าง
“คุณเชา..” เฉิงเฟิงนั่งเอนตัวพิงพนักเก้าอี้ “เถ้าแก่หม่ากับคุณล้วนแต่เป็นเพื่อนของผม คุณพ่อของคุณได้เล่าให้ผมฟังแล้ว เพราะฉะนั้นผมอยากทราบความคิดเห็นของคุณเชาบ้าง”
ฮั่นเชานั่งเอนหลังพร้อมกับระบายเสียงถอนหายใจ แล้วเล่าทุกอย่างให้เพื่อนฟัง
เฉิงเฟิงนั่งรับฟังอย่างตั้งใจ สายตามองไปที่ภาพโปสเตอร์ภาพยนตร์ที่แขวนอยู่บนผนัง หนึ่งในนั้นมีภาพของพระเอกดาวรุ่งจูเจียเทา ซึ่งเฉิงเฟิงยอมรับว่าจูเจียเทาผู้นี้มีบุคลิกดี รูปร่างสูงสมาร์ต เมื่อได้มาสวมชุดนายทหารชั้นผู้ใหญ่รับบทเป็นนายพลด้วยแล้ว ยิ่งดูโดดเด่น ฉายแววของผู้ทรงอำนาจออกมาทั้งหน้าตาและท่าทาง จนไม่นึกแปลกใจว่าทำไมจูเจียเทาจึงเรียกคะแนนความนิยมจากผู้ชมได้ในเวลาเพียงไม่นานนัก
黃成風 ยอดบุรุษซ่อนคมพยัคฆ์ : ภาคหวงเฉิงเฟิง บทที่ ๑๒. มิตรภาพ
บททั้งหมดก่อนหน้า
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
เกริ่นนำ : นิยายเรื่องนี้ดำเนินเรื่องหลักที่ซ่างไห่ (เซี่ยงไฮ้) ภาษาที่ใช้เรียกขานชื่อตัวละครและสถานที่ทั้งหมดจะเรียกเป็นภาษาจีนกลางนะคะ ,นิยายเรื่องนี้และบางสถานที่เป็นเรื่องที่แต่งขึ้นทั้งหมด
คำเตือน : บุหรี่และสุราเป็นอันตรายต่อชีวิตและสุขภาพ
หลังจากที่หูเจี้ยนได้ออกจากห้องไปแล้ว เฉิงเฟิงก็หวนนึกถึงเรื่องในวันนี้ เมื่อช่วงเย็นเขาต้องให้อาเล่อส่งข่าวให้กับมิสเตอร์เจมส์เพื่อให้ปลอมตัว แถมยังให้พวกลูกน้องแอบไปช่วยดูแลส่งมิสเตอร์เจมส์กับหญิงคนรักให้ออกจากซ่างไห่ไปอย่างปลอดภัย
เหตุผลที่ทำเช่นนี้ก็เพื่อป้องกันพวกที่คิดเล่นงานเถ้าแก่เฝิ่งมาสวมรอยใช้ความบาดหมางมาเป็นประโยชน์ของพวกมัน มิสเตอร์เจมส์เป็นคนในสังกัดของกระทรวงต่างประเทศ หากเป็นอันตรายถึงชีวิตและด้วยข่าวอือฉาวเช่นนี้ย่อมไม่เป็นผลดีต่อเถ้าแก่เฝิ่งอย่างแน่นอน ซึ่งยังนับว่ามิสเตอร์เจมส์โชคดีที่เพื่อนรุ่นอาวุโสของเขายอมปล่อยตัวไป ไม่เหมือนกับเหตุการณ์ของเขาในอดีตที่กลับต้องสูญเสียหญิงสาวคนรักต่อหน้าต่อตา
เฉิงเฟิงเดินไปหยิบแผ่นเสียงที่มักจะฟังเป็นประจำแล้วบรรจงวางแผ่นลงบนถาดเครื่องเล่นแผ่นเสียง เอื้อมมือไปหยิบก้านเข็มหย่อนลงในตำแหน่ง แล้วหันหลังเดินไปนั่งลงบนโซฟาพร้อมกับยกขาคู่ยาวขึ้นวางพาดกับที่พักเท้า
บทเพลง “ฉันมีความรักครั้งหนึ่ง” [Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
ทำให้เขาต้องหันหน้าไปมองภาพของเซียงเหยา เธอมักจะขับร้องเพลงนี้ให้ฟัง ยามที่พวกเขาได้คลอเคลียอยู่แนบชิดกัน เฉิงเฟิงเอนตัวพิงพนักพร้อมกับหลับตาลง บทเพลงแสนเศร้าที่รำพึงถึงคนรักที่จากไป ในวันที่เขามีทั้งชื่อและฐานะแต่กลับไม่มีเธออยู่เคียงข้างกาย แม้เวลาจะผ่านไปหลายปีแต่เขาก็ยังคงไม่ลืมเลือน
เพียงแต่ตอนนี้เขาไม่ได้จมปลักอยู่กับความเศร้าเหมือนที่เคยผ่านมา ชีวิตในซ่างไห่ทำให้ต้องปรับตัวเพื่อลุกขึ้นสู้ตลอดเวลา มีคนเคยบอกว่าซ่างไห่เหมือนถังสีใบใหญ่เมื่อกระโจนลงไปก็ต้องเปลี่ยนสี แต่เขาจะไม่กระโจนไปทั้งตัวและไม่ยอมสูญเสียตัวตนของเขาไปเป็นอันขาด
เฉิงเฟิงนึกถึงกลิ่นน้ำหอมอ่อน ๆ ยามที่ม่านอี้อยู่ใกล้เขาจนรู้สึกเหมือนความหอมนั้นยังอยู่ที่ปลายจมูก เขามั่นใจว่าเป็นน้ำหอมกลิ่นเดียวกับที่เซียงเหยาใช้ เพียงแค่นึกในใจว่าพวกเธอทั้งสองคนคงมีรสนิยมคล้ายคลึงกันก็ทำให้เขายิ้มกับตัวเอง…
รุ่งเช้าของวันนี้ เฉิงเฟิงแต่งตัวเรียบร้อย เมื่อเดินลงมาที่ห้องโถงด้านล่าง เสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้น
“เถ้าแก่หม่าโทร.มาครับนายน้อย” คนรับใช้รีบวิ่งมารายงานให้เฉิงเฟิงทราบ
ชายหนุ่มเดินไปรับสายโทรศัพท์ เถ้าแก่หม่าผู้เป็นทั้งเพื่อนรุ่นอาวุโสและหุ้นส่วนทางธุรกิจ ได้เล่าระบายให้เขาฟังว่ารู้สึกไม่สบายใจเมื่อฮั่นเชาบุตรชายคนเดียวจะเขียนบทภาพยนตร์ไปในแนวนิยมซ้าย แม้ว่าจะพูดคัดค้านอย่างไรบุตรชายก็ยืนกรานจะทำตามความตั้งใจเดิม
เฉิงเฟิงได้ยินเสียงทอดถอนหายใจของเถ้าแก่หม่าสลับกับการสนทนาตลอดเวลาแล้วก็เข้าใจความห่วงใยของคนเป็นพ่อ เฉิงเฟิงจึงรับปากกับเพื่อนรุ่นอาวุโสว่าจะช่วยพูดให้ซึ่งก็ทำให้คนปลายสายมีน้ำเสียงที่ดีขึ้นราวกับว่าได้คลายความกลัดกลุ้มใจลง พวกเขาสนทนากันสักครู่ทั้งคู่วางสายกันไป เฉิงเฟิงบอกกับคนรับใช้ว่าวันนี้เขาไม่อยู่ร่วมโต๊ะทานข้าว เพราะต้องไปธุระแต่เช้า…
ระหว่างทางไปสำนักอินทรี เฉิงเฟิงเห็นหงซินเดินอยู่บนฟุตบาทริมถนนเป่ยเล่อ เขาจึงบอกกับลุงตัวฝูให้ขับรถจอดเทียบก่อน เฉิงเฟิงลดกระจกแล้วเรียกทักทาย ทำให้หงซินหันไปมองก็พบว่าคนที่เรียกเขาคือหวงเฉิงเฟิงนั่นเอง
“พี่หงซิน หากมีเวลาขอเชิญพี่ขึ้นบนรถ พวกเราไปหาที่คุยกันสักหน่อย” เฉิงเฟิงพูดน้ำเสียงสุภาพ ทำให้หงซินอดนึกถึงตอนแรกที่เขาพบกับเฉิงเฟิงไม่ได้ เพียงแต่ในตอนนี้สถานการณ์กลับแปรเปลี่ยนเพราะอีกคนกลายเป็นบุตรบุญธรรมของหวงเฟิงมีฐานะเป็นนายน้อยตระกูลหวงและเป็นหัวหน้าสำนักอินทรี
หงซินยิ้มแล้วตอบรับคำเชิญ เขาเปิดประตูขึ้นไปบนรถ…
ภายในภัตตาคารเทียนโล่ว เฉิงเฟิงเชื้อเชิญให้การต้อนรับหงซินเป็นอย่างดี
“นายน้อยหวงอุตส่าห์ให้เกียรติ ฉันคิดแล้วก็ยังละอายใจ”
“เอ๋! พี่หงซินไม่ต้องเกรงใจ เรียกผมว่าเฉิงเฟิงเถอะ พวกเรานั่งทานอาหารพูดคุยกันฉันมิตร ไม่ต้องคุยเรื่องงาน รับรองว่าไม่ทำให้พี่หงต้องลำบากใจ” เฉิงเฟิงรินน้ำชากับมือของตนเองแล้วยื่นไปวางไว้ตรงหน้าของหงซิน ทำให้อีกฝ่ายก้มมองถ้วยน้ำชาแล้วเงยหน้าขึ้นมองคู่สนทนา
หงซินถอนหายใจเฮือกใหญ่ ยอมเปิดใจคุยเรื่องที่รู้สึกอึดอัดคับข้องใจ
เฉิงเฟิงได้ฟังแล้วก็เข้าใจเพราะเพียงครั้งแรกที่ได้พบกับหานเจิ้นตง เขาก็รู้สึกว่าคนอย่างเจิ้นตงไม่สามารถซื้อใจของเขาได้ แม้แต่หงซินผู้มีฝีมือและความภักดี หานเจิ้นตงก็คงจะรักษาไว้ไม่ได้เช่นกัน
ก่อนจากกันหงซินได้กระซิบบอกกับเฉิงเฟิงให้ระวังเรื่องคนงานที่ท่าเรือ
“ฉันบอกคุณเฟิงได้เท่านี้ ที่เหลือคุณต้องจัดการเอง”
หงซินได้ยินแผนการบางอย่างมา เพียงแต่เขาไม่อาจจะเปิดเผยความลับของเจ้านายและการคบหาของเฉินตงลู่หัวหน้าอินทรีเงิน เรื่องนอกเหนือจากนี้คงต้องให้หัวหน้าอินทรีเป็นคนรู้ด้วยตนเอง
“พี่หงรักษาตัวด้วย หากว่าพี่มีเรื่องลำบากใจอะไรก็บอกผมได้เสมอ”
หงซินยิ้มเพียงเล็กน้อยยกมือขึ้นประสานกันคารวะ เฉิงเฟิงก็ประสานมือคารวะตอบ คนของเถ้าแก่หานหันหลังเดินออกจากห้องอาหารไปแล้ว เฉิงเฟิงถึงกับครุ่นคิดหนัก
หงซินเดินออกจากภัตตาคารไปแล้วโดยไม่รู้ว่ามีใครคนหนึ่งคอยติดตามแอบดูพฤติกรรมของหงซินอยู่ คนผู้นั้นรีบเดินตามหงซินไปทันที..
ฝ่ายเฉิงเฟิงหลังจากเสร็จธุระจากสำนักอินทรีก็บอกให้ลุงตัวฝูขับรถไปที่บริษัทภาพยนตร์เต๋อเฟิง เพียงไม่ถึงครึ่งชั่วโมงรถยนต์ยุโรปคันงามก็แล่นมาถึงจุดหมาย
ทันทีที่คนร่างสูงก้าวเข้ามาในบริษัทภาพยนตร์ พนักงานที่นั่งอยู่ประจำโต๊ะต่างก็ลุกขึ้นกล่าวทักทาย เฉิงเฟิงยิ้มตอบด้วยท่าทางอารมณ์ดีเป็นเช่นนี้ทุกครั้งที่เข้ามาในบริษัท
ฮั่นเชานั่งอยู่ที่โซฟาตัวใหญ่ซึ่งอยู่มุมด้านในสุดของห้อง มีคอกไม้กั้นสูงแค่เข่าเพื่อเป็นพื้นที่ส่วนตัวเอาไว้พูดคุยรับแขก เฉิงเฟิงยกมือโบกให้กับฮั่นเชา คนที่นั่งอยู่ก็ยกมือขึ้นโบกตอบให้เพื่อนเป็นการทักทาย
“คุณพ่อคงจะให้คุณมาพูดกับผมสินะ” ฮั่นเชากล่าวเมื่อเห็นเพื่อนแวะมาแต่เช้า
เฉิงเฟิงหัวเราะส่ายหน้าไปมา “คุณชายหม่าไม่คิดว่าผมจะมาพูดธุระเรื่องอื่นหรือไง”
ฮั่นเชาเองก็หัวเราะ เขากับเฉิงเฟิงคบหาเป็นมิตรสหายกันมาหลายปี เพียงแค่มองหน้าก็สามารถรู้ใจได้ทันที เขาจึงเชิญให้เฉิงเฟิงนั่งลงที่โซฟาอีกตัวหนึ่ง พนักงานคนหนึ่งนำถ้วยน้ำชามาวางไว้ให้ฮั่นเชากับเฉิงเฟิง เรียบร้อยแล้วก็ค้อมศีรษะเดินออกไป
“คุณเฉิงเฟิงเรียกผมว่าฮั่นเชาเถอะ พวกเราเป็นเพื่อนกันไม่ต้องเรียกคุณชายหรอก ผมไม่ถือธรรมเนียมเคร่งเหมือนคุณพ่อของผม” ฮั่นเชาบอกแล้วยกถ้วยน้ำชาขึ้นดื่ม
เฉิงเฟิงได้ฟังดังนั้นก็ยิ้มกว้าง เขารู้ดีว่าเถ้าแก่หม่าบิดาของฮั่นเชาเป็นคนมีมารยาทและเคร่งธรรมเนียมปฏิบัติในสังคม ดังนั้นเฉิงเฟิงจึงให้เกียรติเรียกฮั่นเชาว่าคุณชาย เพื่อตอบแทนน้ำใจที่เถ้าแก่หม่าให้เกียรติกับเขาเสมอมา ฮั่นเชานั้นอายุน้อยกว่าเขา อีกทั้งยังมีความคิดนำสมัยซึ่งถือว่าเป็นสิ่งที่ดีที่จะเป็นความพัฒนาและสร้างมุมมองใหม่ แต่ในขณะเดียวฮั่นเชาก็อาจจะไม่เข้าใจความคิดของผู้เป็นพ่อ
“ตกลง..เฉพาะเวลาพูดคุยกันเป็นการส่วนตัวฉันมิตรสหาย”เฉิงเฟิงบอกกับฮั่นเชา แล้วยกถ้วยน้ำชาขึ้นมาเปิดฝาเพื่อไล่ความร้อนก่อนที่จะดื่ม
“คุณเชา..คุณต้องยอมรับอย่างหนึ่ง ที่พ่อของคุณมีมิตรสหายดี ๆ ไม่น้อยก็เพราะเขาเป็นคนรู้จักคบหาเพื่อน ข้อสำคัญความเคร่งธรรมเนียมของเถ้าแก่หม่าทำให้ผู้อื่นต่างก็เกรงใจเพราะคุณพ่อของคุณให้เกียรติพวกเขา” เฉิงเฟิงพูดแล้ววางถ้วยน้ำชาลงบนโต๊ะ
“ผมไม่ปิดบังคุณหรอก” เฉิงเฟิงพยักหน้าเปิดใจพูด “เถ้าแก่หม่าเป็นห่วงคุณเชามาก”
ฮั่นเชายังคงยืนยันความตั้งใจของตน “เรื่องนี้ยังไงผมก็ไม่ยอมทำตามคนอื่น”
เฉิงเฟิงรู้จักฮั่นเชาดีว่าเป็นอดีตนักศึกษาผู้รักชาติและผู้นิยมฝ่ายซ้าย จากประสบการณ์ในอดีตที่เจ็บปวดยังฝั่งใจทำให้ฮั่นเชาไม่อาจจะศรัทธารัฐบาลขุนศึกที่เต็มไปด้วยการทุจริตทั้งยังร่วมมือกับนายทุนเพื่อประโยชน์ของตนเองจนนำไปสู่ความเสื่อมถอยและเหลื่อมล้ำของสังคม ซึ่งเหตุผลข้อนี้เฉิงเฟิงเข้าใจดี แต่ปฏิเสธไม่ได้ว่าตอนนี้ทั้งเถ้าแก่หม่าและเขาต่างก็อยู่ในฐานะของนายทุนเช่นกัน เพียงแต่พวกเขาอาจจะมีพฤติกรรมแตกต่างจากนายทุนคนอื่นอยู่บ้าง
“คุณเชา..” เฉิงเฟิงนั่งเอนตัวพิงพนักเก้าอี้ “เถ้าแก่หม่ากับคุณล้วนแต่เป็นเพื่อนของผม คุณพ่อของคุณได้เล่าให้ผมฟังแล้ว เพราะฉะนั้นผมอยากทราบความคิดเห็นของคุณเชาบ้าง”
ฮั่นเชานั่งเอนหลังพร้อมกับระบายเสียงถอนหายใจ แล้วเล่าทุกอย่างให้เพื่อนฟัง
เฉิงเฟิงนั่งรับฟังอย่างตั้งใจ สายตามองไปที่ภาพโปสเตอร์ภาพยนตร์ที่แขวนอยู่บนผนัง หนึ่งในนั้นมีภาพของพระเอกดาวรุ่งจูเจียเทา ซึ่งเฉิงเฟิงยอมรับว่าจูเจียเทาผู้นี้มีบุคลิกดี รูปร่างสูงสมาร์ต เมื่อได้มาสวมชุดนายทหารชั้นผู้ใหญ่รับบทเป็นนายพลด้วยแล้ว ยิ่งดูโดดเด่น ฉายแววของผู้ทรงอำนาจออกมาทั้งหน้าตาและท่าทาง จนไม่นึกแปลกใจว่าทำไมจูเจียเทาจึงเรียกคะแนนความนิยมจากผู้ชมได้ในเวลาเพียงไม่นานนัก