๏ ล่าสะท้านเมือง ๏ บทที่ 25

กระทู้สนทนา
เรื่องราวจากตอนที่ผ่านมา
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้

ขออนุญาตแอ๊บแบ้วนิดขอรับ
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้

25

** เปิดหน้า **


ชายรูปร่างสันทัดที่กําลังเดินตรงเข้ามาหานั้น ไม่ใช่ไอ้มดซิ่ง

ปรางค์ทิพย์ลำดับความทรงจำ เธอจำได้ว่าเคยเห็นผู้ชายใบหน้าเรียวยาวคนนี้ที่ไหน วันนั้น เธอเกือบขับรถเฉี่ยวกับชายคนนี้ผู้มาในชุดหมีคล้ายช่างตามอู่ซ่อมรถ และรถคันที่เขาขับ เธอยังจำได้ติดตาว่ามันคือรถออดี้สีดำของไอ้หนุ่มโจ้นั่นเอง

             ความคิดอ่านประหนึ่งโปรแกรมรีสโตร์เริ่มทำงานทันที  ภาพปัจจุบันซ้อนทับภาพย้อนหลัง ชายร่างสันทัดผู้นี้คือคนของเจ้าหนุ่มโจ้  เพราะวันที่เธอเกือบขับรถชนกับรถเขา คือวันที่เขากำลังจะนำรถไปเปลี่ยนให้เจ้านายตามคำบอกเล่าของเจ้ายักษ์ สามคนนี้เป็นพวกเดียวกัน แต่จะเป็นพวกเดียวกับไอ้มดซิ่งหรือเปล่า ตรงนี้ยังไม่มีความชัดเจน

             จริงอยู่ ที่ไอ้มดซิ่งเป็นเพื่อนกับลูกชายบริษัทจิวเวลรี่ แต่สถานะลูกเศรษฐีอย่างโจ้ ยังมองไม่เห็นเหตุผลที่เขาจะต้องเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับเรื่องผิดกฎหมายแต่อย่างใด บุคลิกลักษณะของโจ้ก็ไม่ได้ส่อแววลูกชายจอมเกเรของเจ้าสัวอีกด้วย

             เจ้ายักษ์เอง เท่าที่สัมผัสได้ ก็ดูเหมือนมีสถานะแค่คนติดตามเจ้านายน้อยเท่านั้น แม้ในใจปรางค์ทิพย์จะตั้งเป้าเอาไว้ว่า เขามีแววเป็นผู้ต้องสงสัยคนหนึ่ง แต่ก็ยังมองไม่เห็นแววลึกลับซับซ้อน เถื่อน ดิบ ใด ๆ ให้เห็น เท่าที่สัมผัสได้ ก็เห็นแค่แววเถื่อนของมนุษย์ปากเสียเท่านั้นเอง

             ชายผู้กำลังเดินมายังโต๊ะกาแฟ รูปพรรณก็ไม่ตรงกับคนคอยคุ้มครองไอ้มดซิ่งเข่นกัน

             ปรางค์ทิพย์สรุปด้วยความมั่นใจว่า ท่าทีเนือย ๆ เหมือนคนเกลียดการออกกำลังกายนั้น เขาไม่ใช่คนช่วยเหลือไอ้มดซิ่งที่ถนนวอล์คกิ้งสตรีทแน่นอน ฝีมือสังหารคนแบบมืออาชีพไม่ใช่คนเดินระโหยโรยแรงเช่นนี้แน่ อีกอาการสำคัญที่มองเห็น ลักษณะก้าวย่างของเขา ไม่มีร่องรอยอาการบาดเจ็บให้เห็นแต่อย่างใด

             แต่ !

             เจ้าหนุ่มโจ้  เจ้ายักษ์ และชายผู้มาใหม่อีกคนนี้  ก็ยังอยู่ในข่าย‘ผู้น่าจะมีส่วนรู้เห็น’อยู่ดี

             “เจ้าของรถมาสด้าครับ เขาชื่อจรัล” เจ้ายักษ์แนะนำ คนชื่อจรัลค้อมหัวให้เมื่อหยุดยืนข้างโต๊ะ

             ปรางค์ทิพย์ต้องสวมรอยไม่รู้ไม่ชี้ตาม ทั้ง ๆ ที่รู้ว่าพวกนี้เป็นคนก๊วนเดียวกัน “ฉันปรางค์ค่ะ ยินดีที่ได้รู้จัก” ผู้กองสาวค้อมศีรษะรับการแนะนำ สายตาคมกริบอดไม่ได้ที่จะกวาดเลยไปโดยรอบ เพื่อมองหาใครคนหนึ่งอย่างคาดหวัง

             “ผมจอดรถไว้ทางฝั่งซ้ายเซ็นทรัลครับ คุณปรางค์อยากไปดูเลยมั้ย?” คำบอกเล่าประโยคหน้าเข้าที่เข้าทางโดยบังเอิญ ถือว่าเป็นความโชคดีนัก เพราะหากเขาจอดทางฝั่งขวา ลูกน้องสามคนของเธอคงกำลังเดินงุ่นง่านอยู่แน่นอน ปรางทิพย์ยังไม่อยากให้ลูกน้องเผลอออกอาการพิรุธใด ๆ ให้ฝ่ายตรงข้ามเห็นทั้งสิ้น

             ผู้มาพร้อมกับสถานะเจ้าของรถยังยืนนิ่งอยู่กับที่ สองมือไขว้กันหน้าหัวเข็มขัด เจ้ายักษ์เอ่ยถามขึ้น

             “ไม่กินกาแฟสักแก้วก่อนหรือจรัล เออแฮะ... ใจร้อนกันทั้งคู่เลย ผมกะจะสั่งอะไรมากินกับกาแฟอยู่เชียว”

             “แล้วทำไมนายต้องโอ้เอ้ให้เสียเวลา” ปรางค์ทิพย์จ้องตาคนพูด

             “ไม่เห็นต้องรีบร้อนอะไรนี่ครับ”

             “ฉันไม่มีเวลามากมาย”

             “ก็นั่นมันคุณนี่คร้าบ ไม่ใช่ผมนี่” วาจาชวนหาเรื่อง เริ่มกวนน้ำอีกแล้ว

             ปรางค์ทิพย์กุมสองมือใต้โต๊ะแน่น โทรศัพท์ในอุ้งมือซ้ายกระดิกเร่าราวกับมันกำลังเตือนอารมณ์ของเธอ

             “ฉันอยากไปดูรถ ส่วนนาย!... ” หญิงสาวเว้นระยะ “จะเอ้อละเหยหรือทำอะไรก็ทำไป ขอบคุณสำหรับการนัดหมายเป็นธุระให้ นายทำได้เรียบร้อยดีแล้ว” ปรางค์ทิพย์เน้นประโยคท้าย เรื่องขอบเขตหน้าที่ซึ่งเสร็จสิ้นแล้ว

             แต่ดูเหมือนเจ้ายักษ์จะเล่นบทไม่รู้ไม่ชี้ ใบหน้าคมเข้มนั้นจึงยังลอยหน้าลอยตา

             “คุณจรัลเขาต้องรอให้ผมเป็นคนนำหน้า คุณอย่าทำเป็นออกคำสั่งกับเขาเลย”

             “ฉันไม่ได้ออกคำสั่ง”

             “ก็เห็น ๆ อยู่”

             “เห็นอะไร?”

             คนร่างใหญ่ตีสีหน้าเหลอหลา

             “เห็นคุณเอาแต่สั่ง ๆ อยู่นี่ไง แหม ยังกับตำรวจมาตรวจของกลางซะงั้น รถคันนี้ต้องสงสัยอะไรหว่าเนี่ย?” ตอนท้ายคล้ายกับบ่นอยู่คนเดียว

             คำพูดจี้ใจดำ จะโดยจงใจหรือไม่ ปรางค์ทิพย์ไม่อยากเก็บมาใส่ใจ เธอรับรู้และเตือนตัวเองว่า ต้องนิ่ง! เธอต้องนิ่งอย่างเดียว การนิ่งเท่านั้นที่จะสยบท่าทีและวาจายั่วโมโหนั้นได้  รู้สึกกระแสเลือดทั่วร่างเริ่มไหลเวียนแล้ว ไม่เป็นไร ยังควบคุมได้  เจ้ายักษ์นี่ต้องการยั่วโทสะเธอแค่นั้นเอง ทำไมหนอ... สิ่งค้างคาใจต่อกันก็ไม่เห็นมีตรงไหนนี่นา หรือเป็นเพราะวันนั้น? วันที่เธอลงไม้ลงมือสั่งสอนในลานจอดรถ ถ้าหากใช่ แบบนี้คงต้องเรียกว่าแค้นฝังยักษ์สินะ

             ฟันขาวเรียงสวย เสนอหน้ามาให้เห็นอีกครั้ง เอาเถอะ ...  แยกเขี้ยวยักษ์มาเสียให้พอ

             คนชื่อจรัลอึกอักและขยับตัว “เอาไงครับ?” เขาถามด้วยอาการเหนียม เหมือนกับไม่รู้ว่าคนทั้งคู่จะสรุปกันอย่างไร

             “ฉันจะไปดูรถ!” ปรางค์ทิพย์ย้ำชัดเจน

             คนวางกล้ามใหญ่มองสบตานิ่ง

             “ ..... ”

             “นายไม่จำเป็นต้องไปก็ได้” ผู้กองสาวสูดหายใจ “อยากกินอะไรก็สั่งได้เลย เดี๋ยวฉันเสร็จธุระกับคุณจรัลแล้ว จะรีบกลับมาเคลียร์ให้  โอเคมั้ย?”

             “ตามใจ รอตรงนี้ก็ได้”

             ผิดคาดจริง ๆ กับท่าทียอมแพ้อย่างง่าย ๆ

             คนยอมแพ้หันไปหยิบแผ่นเมนูเคลือบพลาสติกราวกับไม่สนใจใยดีต่อสิ่งใด  เด็กร้านกาแฟออกมายืนนอบน้อมรอรับรายการตามสั่ง  ลูกค้าตัวใหญ่ชี้มือกับเมนู

             “ขอคุ้กกี้นี่ที่หนึ่ง กับม็อคค่าร้อนหนึ่งแก้ว แค่นั้นแหละจ้ะ” ท่าทีเรียบเฉย  ...ช่างน่ามันเขี้ยวยิ่งนัก

             ปรางค์ทิพย์ลุกขึ้นผายมือให้คนชื่อจรัลเป็นคนนำทาง  ชายร่างสันทัดมองเจ้ายักษ์แวบหนึ่งก่อนเดินนำหน้าพาเธอตัดผ่านลานโล่งไปยังประตูทางเข้าอีกฟาก  ผู้กองสาวผละจากมนุษย์ขวางโลกมาโดยไม่มีคำสั่งเสียใด ๆ แต่ในใจนั้น...

             ฝากไว้ก่อนเถอะเจ้าคนปากดี  อย่าหวังนะว่าจะหายหัวไปจากพวกฉันได้ ...  ปรางค์ทิพย์ระบายลมหายใจ

             ขณะก้าวขา  ผู้กองคนสวยแอบสวมสมอลทอล์คกับหูอย่างแนบเนียนพร้อมทั้งกดสายด่วนหาลูกน้อง  แผนล้อมกรอบไอ้มดซิ่งพร้อมกับรถปริศนาเริ่มต้นนับหนึ่งแล้ว ถึงแม้จะยังไร้วี่แววคนร่างเล็กให้เห็น

             ปรางค์ทิพย์มองแผ่นหลังชายข้างหน้า  ระยะห่างที่เห็น ชายผู้นำทางไม่ได้ยินเสียงกระซิบของเธอแน่นอน

             “เอกพลตามมาที่ลานจอดรถอีกฟากด่วน  ส่วนเดชชาติกับธงรบ แยกออกไปจับตาเฝ้าเจ้าคนร่างใหญ่ที่ร้านกาแฟฝั่งถนนสายสอง  แยกย้ายกันเดี๋ยวนี้เลย!” วางสายจากจ่าเอกพลเสร็จ ปรางค์ทิพย์กดต่อสายถึงนพดลอีกคน “นพดลเช็กหมายเลขประกันสังคมนายจรัล  พนักงานบริษัทเวิลด์จิวเวลลี่ด่วนเลย”

             เสียงตอบรับจากนพดลดังขึ้นก่อนวางสาย “ครับผม!”

             คนชื่อจรัลพาเธอผ่านชั้นล่างห้างเซ็นทรัลก่อนพาขึ้นบันไดเลื่อนสู่ชั้นบนอีกที  ปรางค์ทิพย์เพิ่งสังเกตได้ว่า ลานจอดรถห้างทั้งสองฝั่งต่างระดับกัน ลานฝั่งซ้ายระดับเดียวกันกับชั้นสอง ในขณะฝั่งขวาตรงกับระดับชั้นกราวด์ซุปเปอร์มาร์เก็ตของห้าง

             จรัลหันมาชวนคุย “ขอโทษที่ต้องพาเดินซะไกลนะครับ”

             “ไม่เป็นไรค่ะ คิดซะว่าได้ออกกำลัง” ไม่ได้เหน็บอากัปกิริยาของเขา แต่เธอพูดเพื่อให้บรรยากาศดูผ่อนคลายเท่านั้นเอง ซึ่งความจริงแล้ว  เธอต้องการให้ตัวเองผ่อนคลายมากกว่า เพราะหัวใจของเธอเริ่มเต้นถี่ขึ้น.. ถี่ขึ้น

             ห้าง‘เซ็นทรัลมารีน่าพัทยาเหนือ’มีถนนโอบรอบทั้งสี่ด้าน

             ณ ตอนนี้  รถตำรวจจอดซุ่มรอรับคำสั่งเธออยู่อย่างเงียบ ๆ ทั้งสี่ทิศ‼


(มีต่อ)
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่