๏ ล่าสะท้านเมือง ๏ บทที่ 12

กระทู้สนทนา
ความเดิมจากตอนที่แล้ว
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้

12

** ผู้ทรงอิทธิพล **



                  น้ำหนักตะกร้อกลมๆที่เสิร์ฟแหวกอากาศมานั้น  แม้จะมีการผ่อนแรงในที แต่‘จามร’สัมผัสได้ถึงการเอาจริง จะเอาจริงแบบมันเขี้ยวหรือต้องการสั่งสอนอะไรก็แล้วแต่  เขาต้องรับลูกเสิร์ฟลักไก่ให้ได้และต้องหยุดเธออย่างเดียวเท่านั้น  แล้วตอนนี้  เขาก็งับข้อมือของเธอไว้ได้เรียบร้อยแล้ว

                  จังหวะการชกขวาถูกต้องตามหลัก เท้าขวาของเธอก้าวมาหนึ่งก้าว ร่างสูงปราดเปรียวจึงอยู่ในลักษณะเบี่ยงขวา ส่งผลให้แขนซ้ายที่ยังอิสระพร้อมทำงานในจังหวะสองทุกเมื่อ  แล้วมันก็ทำงานมาอย่างที่คิด

                  จามรปัดหมัดซ้ายออกไปด้วยการออมแรง  ซ้ายน้ำหนักเบากว่าขวา  แสดงว่ายัยโย่งถนัดอีกข้าง ถ้าอย่างนั้น หากปล่อยข้อมือขวาของเธอ  ย่อมหมายถึงปล่อยอาวุธร้ายออกไปนั่นเอง

                  อาการดึงสะบัดข้อมือบอกให้รู้อีกอย่างว่า  เธอแข็งแรงไม่ใช่เล่น ราวกับม้ากำลังจะดีดกระโหลก.. ไม่ใช่สิ  ม้าพยศเสียมากกว่า

                  “ปล่อย‼”

                  เรื่องอะไรจะปล่อย

                  “เย๊ยย‼” จามรส่งเสียงลั่นพลางปัดลูกเตะผ่าหมากของเธอได้ทันท่วงที  หากไม่ทัน  มันไม่ใช่ผ่าหมากแล้วแน่

                  “ทำไมคุณต้องเอาจริงขนาดนี้” เขาปล่อยมือเธอเป็นอิสระ  ร่างสูงระหงขยับถอยไปตั้งหลักหนึ่งก้าว

                  แม้จะเห็นเธอปล่อยมือลงข้างลำตัว  แต่ตะกร้อมีพิษสงมือขวายังกลมดิก  ข้างซ้ายกุมโทรศัพท์ก็จริง ทว่ามันพร้อมจะเป็นอาวุธกลมๆได้อีกข้างเสมอ  ใบหน้าหมดจดดูเหมือนทาลิปมันเพียงอย่างเดียวจ้องมองมาอย่างระวังตัว

                  หน้าตาก็สวยดี.. แต่ดุเอาเรื่อง ความสูงเท่าที่พอประเมินได้ไม่น่าจะต่ำกว่าร้อยเจ็ดสิบเซ็นติเมตรแน่นอน  รูปทรงองค์เอวน่าจะสมัครเป็นนางแบบได้แค่ส่งภาพถ่ายไปเพียงสองสามภาพ แต่ไม่น่าใช่นางแบบ เพราะนางแบบไม่ชอบเตะต่อยแบบนี้แน่ นอกจากเตะขาตามจังหวะดนตรีบนแคทวอร์ค

                  แล้วหล่อนเป็นใคร?

                  “ฉันไม่ชอบให้ใครดูถูก”

                  “ผมไปดูถูกอะไรคุณ”

                  “ยังจะมาถามอีก” เสียงแหวแบบนี้ฟันธงได้ว่าไม่ใช่นางแบบ “นายคิดอยู่แค่ว่าผู้หญิงมาพบผู้ชาย ต้องมาในฐานะชู้สาวแค่นั้นเหรอ”

                  อ๋อ .... จี้ใจดำคุณเธอตรงนี้เอง  “ไม่รู้สิ  เห็นคุณอยากพบคุณโจ้มากกว่าคุณพ่อคุณแม่ของเขา” จามรเว้นวรรค “แล้วคุณโจ้ก็มีแต่สาวๆตามรุมทึ้งไม่หยุดหย่อน  ทั้งสาวแก่แม่หม้า.. ” คำพูดยังไม่ทันจบประโยคดี เสียงตวาดก็ดังขัดขึ้นเสียก่อน

                  “หยุดปากเสียของนายเดี๋ยวนี้นะ‼”

                  จามรขยับตัววูบ  เมื่ออีกฝ่ายขยับร่างวาบ

                  เธอว่ามาอีก “ปากเสียยังงี้ไง  มันถึงต้องเจอคนเอาจริงซะมั่ง” เธอยังกุมหมัดแน่นตลอดเวลา “ฉันไม่ได้มาอย่างที่นายคิดห่วยแตกแบบนั้น และฉันก็ไม่ชอบให้ใครมาดูถูกผู้หญิงอย่างที่นายกำลังสามหาวอยู่  รู้ไว้ซะด้วย‼”

                  จุ๊ .. จุ๊ .. จุ๊ .. จุ๊ .. จุ๊ .. ดุเอาเรื่องจริงๆ   .... จามรคิดในใจ

                  “งั้นผมขอโทษแล้วกัน  ทั้งๆที่ไม่ได้คิดยังงั้น”

                  “ปากแข็ง‼”

                  “อ้าว? อุตส่าห์ขอโทษ” จามรทำหน้าเหลอหลา

                  “ถึงยังไงฉันก็ไม่มีวันยกโทษให้นาย” ร่างสูงระหงคล้ายกับคลายมือลง “นอกจากนายจะเป็นคนจัดเวลาให้ฉันเจอคุณโจ้”

                  เหลี่ยมร้ายไม่ใช่เล่น.. “ขอร้องเถอะครับ  ปล่อยคุณโจ้ไปเถอะ  เจ้าบ่าวคุณอายุก็คงมากกว่าคุณโจ้แน่ๆ  เขาน่าจะเหมาะสมกับคุณมากกว่าเด็กหนุ่มอย่างคุณโจ้นะ  นอกจากคุณจะชอบเด็ก   เย๊ยย‼”

                  คราวนี้ไม่ใช่กำปั้นกลมอย่างเดียวเสียแล้ว เพราะมีวัตถุเบื้องล่างสลับเหวี่ยงเข้ามาทั้งล่าง..บน..ซ้าย..ขวา..หน้า..หลัง  ชนิดที่คนร่างสูงแทบปัดป้องไม่ทัน  และในจังหวะหนึ่ง ลำแข้งลูกหลงก็ซัดเผี๊ยะเข้ากับต้นแขนบึกบึนจนได้  เจ้าของต้นแขนสูดปากพร้อมกับถอยหลังชะงักไป

                  จามรรู้โดยสัญชาตญาณว่า  สาวสวยเบื้องหน้าเขาคนนี้ได้รับการฝึกฝนเชิงมวยมาเป็นอย่างดี  จังหวะการจู่โจมพลิ้วไหวราวกับนักระบำไร้กระดูก  แต่คงไม่ใช่แล้วล่ะ  เพราะลำแข้งเธอซึ่งฟาดท่อนแขนเข้ามาในลูกสุดท้ายนั้น  มันไม่ได้ไร้กระดูกอย่างที่คิดเสียแล้ว

                  มัวแต่วิเคราะห์อยู่แท้ๆ ปลายเท้าอีกข้างของเธอก็ได้ที

                  พลั๊วะ‼

                  ต้องแสร้งทําเป็นเสียท่าแล้วล่ะ

                  จามรเซออกด้านข้าง  ร่างสูงบึกบึนแกล้งถลาพิงหลังกับรถตู้ใกล้ๆ  เขายกมืออย่างยอมแพ้ “โอเค  โอเค  พอก่อน” แม้จะแสร้งพลาดท่า  แต่ความเจ็บแปลบจากเรียวขานั้นไม่ได้เสแสร้งด้วยแต่อย่างใด  .... ยัยม้าดีดนี่ไม่ธรรมดาเสียแล้วสิ

                  “หายปากดีแล้วสินะ”

                  “อ้าว?  ปากดีก็ไม่ชอบ  ไหนบอกไม่ชอบแต่ปากเสีย  เย๊ยยย‼  พอแล้ว!  พอแล้ว!  ยอมแพ้แล้ว” คนเอาจริงเงื้อง่ากำปั้นขึ้นอีก “เอาเป็นว่าผมจะลองถามคุณโจ้ให้ ว่าพอจะมีเวลาเจอคุณได้หรือเปล่า  แล้วจะให้บอกว่าคุณชื่ออะไรล่ะ?”

                  ใบหน้าคนสวยคล้ายกับชั่งใจ แต่ก็ยอมบอกชื่อในที่สุด “บอกว่าฉันชื่อปรางค์!”

                  แค่นั้นก็ได้ชื่อเธอแล้ว  ยังเหลือที่ติดต่อนี่สิ

                  “แล้วจะให้ผมแจ้งไปบอกคุณยังไง” จามรเลิกกวนโทสะ  มองเห็นคิ้วสวยคู่นั้นกระตุกแวบ

                  “ฉันจะโทรมาถามเอง ที่เบอร์คุณโจ้ของนาย  ถ้าเขายังไม่อยากรับสาย ให้นายเป็นคนรับแทนแล้วกัน”

                  “ผมเป็นคนติดตามคุณพ่อคุณแม่ของเขา  แล้วผมจะไปอยู่รอรับโทรศัพท์ข้างๆคุณโจ้ได้ไง”

                  “นั่นมันปัญหาของนาย  ไม่ใช่ของฉัน”

                  “อ้าว”

                  “ไม่ต้องมาอ้าว” คำสั่งนั้นเด็ดขาดยิ่งนัก “ไม่อย่างนั้น  ฉันจะมากวนทุกวัน  เอาให้นายหัวหมุนไปเลย อย่าคิดลองดีแล้วกัน”

                  เธอเก็บโทรศัพท์ลงกระเป๋ากางเกง  ปัดสองมือคล้ายกับเลอะเทอะอะไรบางอย่าง  ไม่ใช่หรอก  น่าจะปัดมือเย้ยเขาต่างหาก  เพราะรอยยิ้มบางบนริมฝีปากสวย  บ่งบอกถึงความสมใจ.. สะใจเสียเต็มประดา

                  แล้วร่างระหงก็เปิดประตูก้าวขึ้นรถ  แต่ก่อนจะปิดประตู  เธอหันมาพูดว่า “ถ้านายทำได้แค่เก้ๆกังๆแค่นี้  เลิกเป็นบอดี้การ์ดเถอะ  เพราะนายคุ้มครองเจ้านายไม่ได้หรอก”  แล้วประตูรถก็ปิดปัง!  เสียงเครื่องยนต์สตาร์ทขึ้น  ก่อนจะตามมาด้วยเสียงถอยรถพรืด เบนหน้ารถหายไปต่อหน้า

                  จามรยืนเต็มร่างสูง

                  เขาไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกันว่า  ทำไมต้องไปต่อปากต่อคำเล่นกับผู้หญิงปริศนาคนนี้  จริงอยู่  เขาแค่ต้องการก่อกวนให้เธอเผลอเปิดเผยตัวจนตามมาด้วยการอวดฝีมือเชิงมวยในท้ายสุด  แต่เขาไม่เคยหยอกเย้าผู้หญิงเช่นนี้มานานแสนนานแล้ว  จู่ๆทำไมนึกอยากกวนอารมณ์ผู้หญิงคนนี้ขึ้นมาก็ไม่รู้  มันค่อนข้างมากไปเสียด้วยซ้ำ  ผู้หญิงซึ่งแฝงมากับลางสังหรณ์บาง  ผู้หญิงซึ่งเขายังจะต้องค้นหาคำตอบว่าเธอเป็นใคร?

                  ‘....บอกว่าฉันชื่อปรางค์....’

                  ชื่อเพราะเหมือนกันนี่   ยัยโย่ง‼



                  สามทุ่มครึ่ง

                  “ชั้นสองมีชายสองคนและผู้หญิงซึ่งน่าจะเป็นขนิษฐา  ส่วนชั้นล่างรอบบริเวณบ้านมีชายสองคนพร้อมอาวุธเข้าเวรยามอยู่ตลอดเวลาครับผม”

                  ‘นายวิทยา’ผู้นั่งอยู่หลังม่านพูดกับโทรศัพท์ในมือ  เขากำลังอยู่บนเก้าอี้ติดประตูกระจกเลื่อนหน้าระเบียงชั้นสามของโรงแรมตรงข้ามบ้านริมถนนเขาพระตำหนัก  ลูกน้องเขาอีกคนกำลังใช้กล้องอินฟาเรตส่องไปยังบ้านหลังนั้น  ความสลัวในบริเวณบ้านไม่เป็นปัญหาสำหรับการเก็บข้อมูลความเคลื่อนไหว  ปัญหาอยู่ที่การปฏิบัติการขั้นต่อไปจากคำสั่งเจ้านายผู้อยู่ในสายกับเขาตอนนี้ต่างหาก

                  แล้วเสียงเจ้านายก็ดังมา “แสดงว่ามีคนอยู่ห้าคน รวมทั้งขนิษฐาใช่ไหม”

                  “ครับผม” นายวิทยาตอบหนักแน่น

                  แต่แล้ว เสียงลูกน้องซึ่งส่องกล้องอยู่ก็แทรกขึ้น “ไม่ใช่สองครับนาย  สามครับ  มันกำลังเปลี่ยนเวรกัน”

                  “เดี๋ยวนะครับเจ้านาย” วิทยาพูดกับโทรศัพท์ในมือขวา  ส่วนมือซ้ายแย่งกล้องส่องมาจากลูกน้องแล้วแนบกับสองตาตัวเอง  ส่ายหาจุดเปลี่ยนเวรของคนพวกนั้นตามที่ลูกน้องรายงาน

                  “พวกเฝ้ายามข้างล่างมีสามคนครับ  รวมทั้งหมดในบ้านหกคน  ไม่ใช่ห้าครับ” วิทยารายงานกับเจ้านายใหญ่อีกที

                  “เช็กให้ละเอียด  รอบคอบ  ชัดเจนแล้วค่อยรายงาน  ฉันไม่ชอบการตกหล่น” เสียงทรงอำนาจฟังเยือกเย็น “ที่สำคัญ  เฝ้าดูถึงเช้าและจนถึงบ่ายพรุ่งนี้  แล้วฉันจะติดต่อมาเช็กความชัดเจนใหม่  ก่อนลงมือ”

                  สายจากเจ้านายวางหูไปแล้ว  แต่วิทยายังถือโทรศัพท์ค้าง  นั่งเงียบอยู่กับลูกน้องสองคน  .... พรุ่งนี้ลงมือ?



(มีต่อ)
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่