ความเดิมจากตอนที่แล้ว
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้https://ppantip.com/topic/36695065 ** บทนำ ** https://ppantip.com/topic/36974434 16 ** หายใจรดต้นคอ **
https://ppantip.com/topic/36707713 1 ** หน่วยเหยี่ยวพิฆาต ** https://ppantip.com/topic/36992032 17 ** เจ็บปวด **
https://ppantip.com/topic/36722529 2 ** ลางร้าย ** https://ppantip.com/topic/37011852 18 ** เริ่มชัดเจน **
https://ppantip.com/topic/36739946 3 ** ตัวเชื่อมโยง ** https://ppantip.com/topic/37036747 19 ** ระหํ่าเมือง **
https://ppantip.com/topic/36754111 4 ** เรียกตัว ** https://ppantip.com/topic/37057505 20 ** ต้องอยู่รอด **
https://ppantip.com/topic/36768151 5 ** พร้อมหน้า ** https://ppantip.com/topic/37074519 21 ** เดินหน้า **
https://ppantip.com/topic/36781641 6 ** ชายชราผมดอกเลา**
https://ppantip.com/topic/36798608 7 ** เตรียมแผนการ **
https://ppantip.com/topic/36823217 8 ** เป็นไปตามแผน **
https://ppantip.com/topic/36846614 9 ** พร้อมรับมือ **
https://ppantip.com/topic/36856028 10 ** ร่องรอยเรื่องราว **
https://ppantip.com/topic/36873802 11 ** หยั่งเชิง **
https://ppantip.com/topic/36889820 12 ** ผู้ทรงอิทธิพล **
https://ppantip.com/topic/36905595 13 ** ลวงให้ชิงตัว **
https://ppantip.com/topic/36924993 14 ** เป็นไปตามแผน **
https://ppantip.com/topic/36945317 15 ** องค์กรอสรพิษเขี้ยวเงิน **
22
** เป็นต่อ **
9:10 น.
สถานีตำรวจเมืองพัทยา
พอเดินเข้าไปในห้องทำงาน ลูกน้องสองคนต่างลุกขึ้นทำความเคารพตามธรรมเนียมปฏิบัติ ‘ปรางค์ทิพย์’ค้อมศีรษะรับการเคารพ มองเห็น‘จ่าเอกพล’ยืนอยู่กับโต๊ะคอมพิวเตอร์ของ‘นพดล’ ส่วน‘เดชชาติ’กำลังจัดการกับกองกระดาษเอสี่ ซึ่งปริ๊นซ์ภาพชายสองคนออกมาจัดแยกเป็นตั้งๆที่โต๊ะอีกตัว
หัวหน้าหน่วยเหยี่ยวพิฆาตเดินมาหยุดหน้าโต๊ะเดชชาติ เอื้อมมือหยิบภาพแผ่นหนึ่งขึ้นดู เธอชื่นชมนพดลอยู่ในใจ ฝีมือการตกแต่งภาพซึ่งเปลี่ยนจากลายเส้นสเก็ตซ์ดินสอมาเป็นภาพเหมือน ทำให้ใบหน้าชายสองคนชัดเจน มันชัดเจนยิ่งกว่าภาพถ่ายจากกล้องวงจรปิดเสียด้วยซ้ำ ...เยี่ยมมากนพดล
“ผมไปเอากาแฟร้อนให้นะครับ ผู้กอง” เดชชาติวางมือกับปึกกระดาษ
“โอเค ขอบใจมาก” หัวหน้าเดินไปนั่งลงที่เก้าอี้ข้างจ่าลูกน้องอีกคน “แล้วเราล่ะ? เอกพล”
“พอแล้วครับ ผมดื่มไปหลายแก้วแล้ว” แก้วกระดาษไขริมขอบโต๊ะ ยืนยันคำพูดเป็นอย่างดี
เดชชาติหายลับออกไปจากห้อง ปรางค์ทิพย์ให้ความสนใจกับจอมอนิเตอร์ตรงหน้าจ่าเอกพลพร้อมทั้งเอ่ยขึ้น
“ทำไมต้องเช็กไปถึงนครนายกด้วย” ข้อมูลหน้าจอนั้น มองแค่ชั่วครู่ ปรางค์ทิพย์ก็รู้ว่าลูกน้องกำลังเจาะรายละเอียดเข้าไปที่ข้อมูล‘ศูนย์รถยนต์มาสด้านครนายก’อยู่
“นพดลเช็กพื้นที่ใกล้เคียงแล้วไม่ได้เบาะแสครับ ผมเลยลองตามขยายเขตออกไปอีก เอาที่มีเขตเชื่อมต่อจังหวัดกันอย่างฉะเชิงเทรา นครนายก ปราจีน สระแก้ว พวกนี้ครับ”
“แล้วเป็นไง?”
“ไร้ร่องรอยเช่นกันครับ”
ปรางค์ทิพย์รู้ว่าจ่าเอกพลเป็นคนละเอียดรอบคอบและทุ่มเทหัวใจให้กับงานเสมอ หลังจากเสร็จสิ้นการประชุมเมื่อคืน เธอเชื่อว่า ถึงแม้จ่าเอกพลจะปลีกตัวจากเพื่อนๆเพื่องีบหลับก่อน แต่เชื่อได้เลยว่า เขาต้องลุกมารับไม้ต่อจากนพดลจนถึงกระทั่งรุ่งเช้านี้แน่นอน ความเอาจริงเอาจังของเขา เธอคุ้นเคยมาแล้วไม่รู้กี่คดี ส่วนนพดลกับธงรบออกเวรกลับที่พักกี่ทุ่มกี่ยามนั้น เธอไม่อาจรู้ได้ รู้แต่เพียงว่า หน่วยของเธอทำงานกันตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมง
เพราะคำสั่งในที่ประชุมของเธอแท้ๆ ที่ทำให้ลูกน้องพลอยคร่ำเคร่งกับงานจนหามรุ่งหามค่ำ
แต่คิดอีกที มันก็คือหน้าที่
เมื่อช่วงเย็นวาน ก่อนการประชุมหน่วยเหยี่ยวพิฆาต ปรางค์ทิพย์ได้ต้อนรับ‘ร้อยตำรวจตรีสามารถ’เพื่อวางมาตรการตรวจค้นและตีกรอบพื้นที่ของพวกต้องสงสัย ผู้หมวดหนุ่มให้คำแนะนำในฐานะเจ้าของพื้นที่เป็นอย่างดี จุดสกัดในเขตห้วยใหญ่ได้รับคำสัญญาจากผู้หมวดแล้วว่า หากพบตัวคนพวกนั้น ทางตำรวจห้วยใหญ่จะดำเนินการจับกุมโดยทันที ปรางค์ทิพย์จดจำสายตาด้วยวิญญาณของผู้พิทักษ์สันติราษฎร์นั้นได้เป็นอย่างดี ความเด็ดขาดและเอาจริงของเขา มีให้เห็นอย่างเต็มเปี่ยม แถมด้วยแววหวานหยดโปรยมาให้เห็นในบางช่วง
‘...ยินดีด้วยหัวใจเสมอครับ และพร้อมเสมอสำหรับการช่วยเหลือผู้กอง หวังว่าเราคงได้พบกันอีกนะครับ ไม่ว่าจะในเวลางานหรือนอกเวลางานก็ตาม ...’
ผู้กองคนสวยระบายลมหายใจแผ่ว
ทำไมคำพูดลักษณะอย่างนี้ เธอถึงมักจะได้ยินจากนายตำรวจยศใกล้เคียงกันเสมอ ไม่ใช่สิ ไม่ใช่เฉพาะยศใกล้เคียงกันเท่านั้น ยังมียศสูงกว่าเธออีกหลายคน ที่ต่างก็หว่านคำพูดแบบนี้มาให้ได้ยินอยู่บ่อยๆ เธอเผยท่าทีความเป็นผู้หญิง มากไปกว่าบทบาทการทำหน้าที่อย่างนั้นหรือ?
“ผู้กองครับ...” เสียงจากลูกน้องช่วยเรียกสมาธิคืนกลับมา เอกพลชี้ให้ดูอะไรบางอย่างหน้าจอ “มาสด้าอาร์เอ็กซ์เจ็ดสีน้ำเงินเทาที่นพดลจัดสารบบไว้ให้ ขณะนี้รวบรวมจำนวนทั้งหมดทั้งประเทศได้ยี่สิบเจ็ดคันในสภาพดั้งเดิม มีเอกสารตรวจสอบขึ้นทะเบียนที่กรุงเทพมากกว่าเพื่อนคือสิบเก้าคัน นอกนั้นกระจายอยู่ตามต่างจังหวัดทั้งหมด ทุกคันล้วนตรวจสอบตัวตนผู้ครอบครองได้ครับ”
“จ่ากำลังจะบอกอะไร”
“รถของไอ้เด็กเวรนั่นไม่มีการต่อทะเบียน ไม่มีเอกสารยืนยันเจ้าของ หรือถ้ามี มันก็ถูกลบออกจากสารบบกรมขนส่งแล้วครับ”
“อือมม...” ปรางค์ทิพย์เอนหลังกับพนักพิง ข้อศอกข้างหนึ่งปักอยู่กับที่เท้าแขน ปลายนิ้วชี้ลูบไปมาอยู่กับริมฝีปากสวยซึ่งเคลือบเพียงลิปมัน จอมอนิเตอร์กำลังเลื่อนให้ดูรถยนต์สปอร์ตสีน้ำเงินเทาแต่ละคัน
รถยนต์เหล่านั้น หลายต่อหลายคันสังเกตเห็นความแตกต่างจาก‘ไอ้รถผีบินได้’คันนั้น มีบางคันสภาพคล้ายกัน แต่ก็ไม่ใช่อย่างแน่นอน เพราะอย่างน้อย เธอรู้ว่านพดลมีข้อมูลรถพวกนี้อย่างละเอียดยิบ และหากพบสิ่งสะดุดตา เธอต้องได้รับการตั้งข้อสังเกตจากนพดลเป็นคนแรกแล้ว
เรื่องรถคงต้องให้ลูกน้องวางมือไว้ก่อน เพราะเธอต้องเป็นคนจัดการเองเสียแล้ว ปรางค์ทิพย์มองเห็นเป้าอยู่รำไร ไอ้มดซิ่งกลับมายังถิ่นฐานบ้านเก่า คนซึ่งเป็นเจ้าถิ่นอยู่ที่นี่และเป็นคนสนิทของมันด้วย คือตัวต่อจิ๊กซอว์ตัวต่อไปนั่นเอง
ไอ้หนุ่มโจ้
จามรเดินลงจากรถพร้อมกับแต้ม โจ้เป็นคนออกมารับทั้งสองด้วยตัวเอง ลานกว้างอู่ส่วนตัวภายใต้หลังคายกสูง มีรถเก๋งคันหนึ่ง ที่เป็นจุดรุมสกรัมด้วยเครื่องมือสารพัดจากบรรดาเด็กอู่ รถเก๋งคันนั้นคือรถออดี้สีดำของโจ้ เด็กอู่ทุกคนขะงักงานในมือ และเหลือบมองมายังผู้มาเยือนราวกับนัดกันไว้ แต่พอรู้ว่าเป็นใคร ต่างคนก็ต่างหันไปใส่ใจกับงานในมือตัวเองต่อ
โจ้พาแขกเข้าไปในห้องออฟฟิศเล็ก ‘ช่างจรัล’ค้อมหัวให้จามรก่อนจะปลีกตัวหายไปจากห้อง เมื่อเหลือกันเพียงสามคนคือ จามร แต้ม โจ้ เจ้าของอู่จึงเป็นคนเอ่ยขึ้นก่อน
“เธอโทรมาเจ็ดครั้งแล้วครับ แต่ผมยังไม่รับสายตามที่ผู้พันสั่งเอาไว้” โจ้ยื่นโทรศัพท์ให้จามรซึ่งกำลังนั่งลงกับโซฟายาว แต้มนั่งลงอีกปลายด้าน โจ้นั่งที่โซฟาเดี่ยวฝั่งตรงข้าม เสียงโลหะเสียดสีกัน ดังเสียดหูผ่านเข้ามาในห้องกรุผนังกระจก จามรมองเห็นเด็กอู่คนหนึ่งกำลังง่วนอยู่กับเครื่องเจียรและท่อนเหล็กชิ้นหนึ่ง ประกายไฟส่งสะเก็ดพุ่งเป็นเส้นสายราวกับปืนฉีดน้ำกำลังพ่นไฟ
เมื่อตั้งสมาธิได้ จามรกดสายต่อกลับไปที่รายชื่อหน้าจอโทรศัพท์ทันที และเพียงแค่ไม่ถึงอึดใจ ปลายสายก็ทักทายมา
“ขอบคุณที่โทรกลับนะคะคุณโจ้” เสียงใสๆคุ้นหูนั้น ทำให้จามรยิ้มกับมุมปากก่อนจะตอบกลับไป “ไม่ใช่คุณโจ้หรอก ผมเอง”
“นายยักษ์!”
“ผมชื่อจามร ไม่ใช่ชื่อที่คุณเรียก” ปลายสายเงียบไป น่าจะชะงักกับชื่อที่ได้ยิน
“ทำไมวันนี้พูดเป็นการเป็นงานได้ล่ะ คงอยู่ต่อหน้าเจ้านายทั้งครอบครัวเลยสิ”
“เปล่า”
“งั้นก็คงกำลังโดนลงโทษอะไรอยู่แน่ ถึงพูดจาดีๆก็เป็น”
จามรลุกจากเก้าอี้หนังนุ่มตัวยาว แล้วเดินออกไปนอกออฟฟิศของโจ้ เสียงบาดหูจากเครื่องเจียรดังกังวานรบกวน แต่การสนทนานอกห้องก็ยังดีกว่าให้เด็กๆได้ยิน จามรไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกันว่า ทำไมเขาถึงอยากต่อปากต่อคำกับยัยโย่งคนนี้นัก ทั้งๆที่เธออยู่ในสถานะฝ่ายตรงข้ามกับเขาด้วยซ้ำไป
แล้วจามรก็เอ่ยด้วยเสียงราบเรียบ “แสดงว่าผมพูดจาไม่ได้เรื่องเลยงั้นสิ”
ปรางค์ทิพย์ยิ้มกว้างราวกับเสิร์ฟลูกปิงปองแล้วได้แต้ม เธอเพิ่งก้าวหลุดออกมาจากอาคารโรงพัก และเดินหลบเข้าใต้ชายคาบังแดดโรงจอดรถ สำหรับนายตำรวจชั้นสัญญาบัตร
“ใช่” ตอบไป พร้อมกับยกแก้วกาแฟดําจิบตามไปด้วย ที่ต้องเดินออกมาพูดข้างนอก เป็นเพราะเธอกลัวจะหลุดคำพูดต่อล้อต่อเถียงให้ลูกน้องได้ยินนั่นเอง ปรางค์ทิพย์แน่ใจว่าการสนทนาครั้งนี้ มันต้องมีการหลุดคำพูดถึงลูกถึงคน ตอบโต้กับมนุษย์กวนประสาทนายนี้อย่างแน่นอน
“งั้นคุณโทรมาหาผมทำไม?” เผลอพูดออกไปแล้ว จามรถึงได้รู้ตัวว่าพลาด
“ใครว่าฉันโทรหาคุณ ฉันโทรหาคุณโจ้ต่างหาก อย่าบอกนะว่า ตัวเองเสียนิสัยกําลังแอบใช้โทรศัพท์เจ้านาย”
โอ้โห... ปากคอเราะร้ายคงเส้นคงวาจริงๆ ... ยัยโย่ง !
“ขอสายเจ้าของเครื่องด้วย ฉันมีเรื่องสำคัญจะคุยกับเขา”
“คุยกับผมก็ได้ ถ้าเกี่ยวกับเรื่องรถมาสด้าอาร์เอ็กซ์เจ็ด นอกจากคุณจะติดนิสัยหว่านเสน่ห์กับพวกเด็กหนุ่ม”
โอ้โห... ปากคอเราะรานไม่เลิกราจริงๆ .... เจ้ายักษ์ !
“คุณโจ้ทำธุระส่วนตัวอยู่ คุยกับผมได้ ว่ามาเลยครับคุณปรางค์ร่างโย่ง”
(มีต่อ)
๏ ล่าสะท้านเมือง ๏ บทที่ 22
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
** เป็นต่อ **
9:10 น.
สถานีตำรวจเมืองพัทยา
พอเดินเข้าไปในห้องทำงาน ลูกน้องสองคนต่างลุกขึ้นทำความเคารพตามธรรมเนียมปฏิบัติ ‘ปรางค์ทิพย์’ค้อมศีรษะรับการเคารพ มองเห็น‘จ่าเอกพล’ยืนอยู่กับโต๊ะคอมพิวเตอร์ของ‘นพดล’ ส่วน‘เดชชาติ’กำลังจัดการกับกองกระดาษเอสี่ ซึ่งปริ๊นซ์ภาพชายสองคนออกมาจัดแยกเป็นตั้งๆที่โต๊ะอีกตัว
หัวหน้าหน่วยเหยี่ยวพิฆาตเดินมาหยุดหน้าโต๊ะเดชชาติ เอื้อมมือหยิบภาพแผ่นหนึ่งขึ้นดู เธอชื่นชมนพดลอยู่ในใจ ฝีมือการตกแต่งภาพซึ่งเปลี่ยนจากลายเส้นสเก็ตซ์ดินสอมาเป็นภาพเหมือน ทำให้ใบหน้าชายสองคนชัดเจน มันชัดเจนยิ่งกว่าภาพถ่ายจากกล้องวงจรปิดเสียด้วยซ้ำ ...เยี่ยมมากนพดล
“ผมไปเอากาแฟร้อนให้นะครับ ผู้กอง” เดชชาติวางมือกับปึกกระดาษ
“โอเค ขอบใจมาก” หัวหน้าเดินไปนั่งลงที่เก้าอี้ข้างจ่าลูกน้องอีกคน “แล้วเราล่ะ? เอกพล”
“พอแล้วครับ ผมดื่มไปหลายแก้วแล้ว” แก้วกระดาษไขริมขอบโต๊ะ ยืนยันคำพูดเป็นอย่างดี
เดชชาติหายลับออกไปจากห้อง ปรางค์ทิพย์ให้ความสนใจกับจอมอนิเตอร์ตรงหน้าจ่าเอกพลพร้อมทั้งเอ่ยขึ้น
“ทำไมต้องเช็กไปถึงนครนายกด้วย” ข้อมูลหน้าจอนั้น มองแค่ชั่วครู่ ปรางค์ทิพย์ก็รู้ว่าลูกน้องกำลังเจาะรายละเอียดเข้าไปที่ข้อมูล‘ศูนย์รถยนต์มาสด้านครนายก’อยู่
“นพดลเช็กพื้นที่ใกล้เคียงแล้วไม่ได้เบาะแสครับ ผมเลยลองตามขยายเขตออกไปอีก เอาที่มีเขตเชื่อมต่อจังหวัดกันอย่างฉะเชิงเทรา นครนายก ปราจีน สระแก้ว พวกนี้ครับ”
“แล้วเป็นไง?”
“ไร้ร่องรอยเช่นกันครับ”
ปรางค์ทิพย์รู้ว่าจ่าเอกพลเป็นคนละเอียดรอบคอบและทุ่มเทหัวใจให้กับงานเสมอ หลังจากเสร็จสิ้นการประชุมเมื่อคืน เธอเชื่อว่า ถึงแม้จ่าเอกพลจะปลีกตัวจากเพื่อนๆเพื่องีบหลับก่อน แต่เชื่อได้เลยว่า เขาต้องลุกมารับไม้ต่อจากนพดลจนถึงกระทั่งรุ่งเช้านี้แน่นอน ความเอาจริงเอาจังของเขา เธอคุ้นเคยมาแล้วไม่รู้กี่คดี ส่วนนพดลกับธงรบออกเวรกลับที่พักกี่ทุ่มกี่ยามนั้น เธอไม่อาจรู้ได้ รู้แต่เพียงว่า หน่วยของเธอทำงานกันตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมง
เพราะคำสั่งในที่ประชุมของเธอแท้ๆ ที่ทำให้ลูกน้องพลอยคร่ำเคร่งกับงานจนหามรุ่งหามค่ำ
แต่คิดอีกที มันก็คือหน้าที่
เมื่อช่วงเย็นวาน ก่อนการประชุมหน่วยเหยี่ยวพิฆาต ปรางค์ทิพย์ได้ต้อนรับ‘ร้อยตำรวจตรีสามารถ’เพื่อวางมาตรการตรวจค้นและตีกรอบพื้นที่ของพวกต้องสงสัย ผู้หมวดหนุ่มให้คำแนะนำในฐานะเจ้าของพื้นที่เป็นอย่างดี จุดสกัดในเขตห้วยใหญ่ได้รับคำสัญญาจากผู้หมวดแล้วว่า หากพบตัวคนพวกนั้น ทางตำรวจห้วยใหญ่จะดำเนินการจับกุมโดยทันที ปรางค์ทิพย์จดจำสายตาด้วยวิญญาณของผู้พิทักษ์สันติราษฎร์นั้นได้เป็นอย่างดี ความเด็ดขาดและเอาจริงของเขา มีให้เห็นอย่างเต็มเปี่ยม แถมด้วยแววหวานหยดโปรยมาให้เห็นในบางช่วง
‘...ยินดีด้วยหัวใจเสมอครับ และพร้อมเสมอสำหรับการช่วยเหลือผู้กอง หวังว่าเราคงได้พบกันอีกนะครับ ไม่ว่าจะในเวลางานหรือนอกเวลางานก็ตาม ...’
ผู้กองคนสวยระบายลมหายใจแผ่ว
ทำไมคำพูดลักษณะอย่างนี้ เธอถึงมักจะได้ยินจากนายตำรวจยศใกล้เคียงกันเสมอ ไม่ใช่สิ ไม่ใช่เฉพาะยศใกล้เคียงกันเท่านั้น ยังมียศสูงกว่าเธออีกหลายคน ที่ต่างก็หว่านคำพูดแบบนี้มาให้ได้ยินอยู่บ่อยๆ เธอเผยท่าทีความเป็นผู้หญิง มากไปกว่าบทบาทการทำหน้าที่อย่างนั้นหรือ?
“ผู้กองครับ...” เสียงจากลูกน้องช่วยเรียกสมาธิคืนกลับมา เอกพลชี้ให้ดูอะไรบางอย่างหน้าจอ “มาสด้าอาร์เอ็กซ์เจ็ดสีน้ำเงินเทาที่นพดลจัดสารบบไว้ให้ ขณะนี้รวบรวมจำนวนทั้งหมดทั้งประเทศได้ยี่สิบเจ็ดคันในสภาพดั้งเดิม มีเอกสารตรวจสอบขึ้นทะเบียนที่กรุงเทพมากกว่าเพื่อนคือสิบเก้าคัน นอกนั้นกระจายอยู่ตามต่างจังหวัดทั้งหมด ทุกคันล้วนตรวจสอบตัวตนผู้ครอบครองได้ครับ”
“จ่ากำลังจะบอกอะไร”
“รถของไอ้เด็กเวรนั่นไม่มีการต่อทะเบียน ไม่มีเอกสารยืนยันเจ้าของ หรือถ้ามี มันก็ถูกลบออกจากสารบบกรมขนส่งแล้วครับ”
“อือมม...” ปรางค์ทิพย์เอนหลังกับพนักพิง ข้อศอกข้างหนึ่งปักอยู่กับที่เท้าแขน ปลายนิ้วชี้ลูบไปมาอยู่กับริมฝีปากสวยซึ่งเคลือบเพียงลิปมัน จอมอนิเตอร์กำลังเลื่อนให้ดูรถยนต์สปอร์ตสีน้ำเงินเทาแต่ละคัน
รถยนต์เหล่านั้น หลายต่อหลายคันสังเกตเห็นความแตกต่างจาก‘ไอ้รถผีบินได้’คันนั้น มีบางคันสภาพคล้ายกัน แต่ก็ไม่ใช่อย่างแน่นอน เพราะอย่างน้อย เธอรู้ว่านพดลมีข้อมูลรถพวกนี้อย่างละเอียดยิบ และหากพบสิ่งสะดุดตา เธอต้องได้รับการตั้งข้อสังเกตจากนพดลเป็นคนแรกแล้ว
เรื่องรถคงต้องให้ลูกน้องวางมือไว้ก่อน เพราะเธอต้องเป็นคนจัดการเองเสียแล้ว ปรางค์ทิพย์มองเห็นเป้าอยู่รำไร ไอ้มดซิ่งกลับมายังถิ่นฐานบ้านเก่า คนซึ่งเป็นเจ้าถิ่นอยู่ที่นี่และเป็นคนสนิทของมันด้วย คือตัวต่อจิ๊กซอว์ตัวต่อไปนั่นเอง
ไอ้หนุ่มโจ้
จามรเดินลงจากรถพร้อมกับแต้ม โจ้เป็นคนออกมารับทั้งสองด้วยตัวเอง ลานกว้างอู่ส่วนตัวภายใต้หลังคายกสูง มีรถเก๋งคันหนึ่ง ที่เป็นจุดรุมสกรัมด้วยเครื่องมือสารพัดจากบรรดาเด็กอู่ รถเก๋งคันนั้นคือรถออดี้สีดำของโจ้ เด็กอู่ทุกคนขะงักงานในมือ และเหลือบมองมายังผู้มาเยือนราวกับนัดกันไว้ แต่พอรู้ว่าเป็นใคร ต่างคนก็ต่างหันไปใส่ใจกับงานในมือตัวเองต่อ
โจ้พาแขกเข้าไปในห้องออฟฟิศเล็ก ‘ช่างจรัล’ค้อมหัวให้จามรก่อนจะปลีกตัวหายไปจากห้อง เมื่อเหลือกันเพียงสามคนคือ จามร แต้ม โจ้ เจ้าของอู่จึงเป็นคนเอ่ยขึ้นก่อน
“เธอโทรมาเจ็ดครั้งแล้วครับ แต่ผมยังไม่รับสายตามที่ผู้พันสั่งเอาไว้” โจ้ยื่นโทรศัพท์ให้จามรซึ่งกำลังนั่งลงกับโซฟายาว แต้มนั่งลงอีกปลายด้าน โจ้นั่งที่โซฟาเดี่ยวฝั่งตรงข้าม เสียงโลหะเสียดสีกัน ดังเสียดหูผ่านเข้ามาในห้องกรุผนังกระจก จามรมองเห็นเด็กอู่คนหนึ่งกำลังง่วนอยู่กับเครื่องเจียรและท่อนเหล็กชิ้นหนึ่ง ประกายไฟส่งสะเก็ดพุ่งเป็นเส้นสายราวกับปืนฉีดน้ำกำลังพ่นไฟ
เมื่อตั้งสมาธิได้ จามรกดสายต่อกลับไปที่รายชื่อหน้าจอโทรศัพท์ทันที และเพียงแค่ไม่ถึงอึดใจ ปลายสายก็ทักทายมา
“ขอบคุณที่โทรกลับนะคะคุณโจ้” เสียงใสๆคุ้นหูนั้น ทำให้จามรยิ้มกับมุมปากก่อนจะตอบกลับไป “ไม่ใช่คุณโจ้หรอก ผมเอง”
“นายยักษ์!”
“ผมชื่อจามร ไม่ใช่ชื่อที่คุณเรียก” ปลายสายเงียบไป น่าจะชะงักกับชื่อที่ได้ยิน
“ทำไมวันนี้พูดเป็นการเป็นงานได้ล่ะ คงอยู่ต่อหน้าเจ้านายทั้งครอบครัวเลยสิ”
“เปล่า”
“งั้นก็คงกำลังโดนลงโทษอะไรอยู่แน่ ถึงพูดจาดีๆก็เป็น”
จามรลุกจากเก้าอี้หนังนุ่มตัวยาว แล้วเดินออกไปนอกออฟฟิศของโจ้ เสียงบาดหูจากเครื่องเจียรดังกังวานรบกวน แต่การสนทนานอกห้องก็ยังดีกว่าให้เด็กๆได้ยิน จามรไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกันว่า ทำไมเขาถึงอยากต่อปากต่อคำกับยัยโย่งคนนี้นัก ทั้งๆที่เธออยู่ในสถานะฝ่ายตรงข้ามกับเขาด้วยซ้ำไป
แล้วจามรก็เอ่ยด้วยเสียงราบเรียบ “แสดงว่าผมพูดจาไม่ได้เรื่องเลยงั้นสิ”
ปรางค์ทิพย์ยิ้มกว้างราวกับเสิร์ฟลูกปิงปองแล้วได้แต้ม เธอเพิ่งก้าวหลุดออกมาจากอาคารโรงพัก และเดินหลบเข้าใต้ชายคาบังแดดโรงจอดรถ สำหรับนายตำรวจชั้นสัญญาบัตร
“ใช่” ตอบไป พร้อมกับยกแก้วกาแฟดําจิบตามไปด้วย ที่ต้องเดินออกมาพูดข้างนอก เป็นเพราะเธอกลัวจะหลุดคำพูดต่อล้อต่อเถียงให้ลูกน้องได้ยินนั่นเอง ปรางค์ทิพย์แน่ใจว่าการสนทนาครั้งนี้ มันต้องมีการหลุดคำพูดถึงลูกถึงคน ตอบโต้กับมนุษย์กวนประสาทนายนี้อย่างแน่นอน
“งั้นคุณโทรมาหาผมทำไม?” เผลอพูดออกไปแล้ว จามรถึงได้รู้ตัวว่าพลาด
“ใครว่าฉันโทรหาคุณ ฉันโทรหาคุณโจ้ต่างหาก อย่าบอกนะว่า ตัวเองเสียนิสัยกําลังแอบใช้โทรศัพท์เจ้านาย”
โอ้โห... ปากคอเราะร้ายคงเส้นคงวาจริงๆ ... ยัยโย่ง !
“ขอสายเจ้าของเครื่องด้วย ฉันมีเรื่องสำคัญจะคุยกับเขา”
“คุยกับผมก็ได้ ถ้าเกี่ยวกับเรื่องรถมาสด้าอาร์เอ็กซ์เจ็ด นอกจากคุณจะติดนิสัยหว่านเสน่ห์กับพวกเด็กหนุ่ม”
โอ้โห... ปากคอเราะรานไม่เลิกราจริงๆ .... เจ้ายักษ์ !
“คุณโจ้ทำธุระส่วนตัวอยู่ คุยกับผมได้ ว่ามาเลยครับคุณปรางค์ร่างโย่ง”
(มีต่อ)