๏ ล่าสะท้านเมือง ๏ บทที่ 18

กระทู้สนทนา
ความเดิมจากตอนที่แล้ว
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้

18

** เริ่มชัดเจน **


                 ก่อนฟ้าเปิดแสงรับรุ่งอรุณ

                 จามรเป็นคนขับรถพาเมฆามายังปากทางแยกแห่งหนึ่ง เขาจอดรถริมถนน ก้าวลงไปตรวจสถานการณ์เบื้องต้นคนเดียว  ถนนเล็กซึ่งแยกซ้ายเข้าไปมีบ้านพักอาศัยไม่กี่หลัง บ้านชั้นเดียวหลังใหญ่ท้ายสุดกำลังส่งสัญญาณ‘จีพีเอส’ให้ทราบตำแหน่ง ผู้พันร่างสูงซูมจอโทรศัพท์เช็กเพื่อความแน่ใจอีกครั้ง  บ้านหลังนี้คือ‘เป้าหมาย’ของเขาและเมฆานั่นเอง

                 ขั้นตอนที่หนึ่งเริ่มขึ้น เมื่อเขากลับมาที่รถและเมฆาเป็นฝ่ายลงจากรถไป

                 ชายหนุ่มในชุดกลมกลืนกับความรางเลาตรงดิ่งเข้าหาเสาไฟฟ้าคอนกรีต  เขาเสียบเหล็กเส้นและไต่ขึ้นเสาตรงมุมทางแยกอย่างคล่องแคล่ว แล้วไปหยุดที่ข้างกล่องเหล็กขนาดคอมเพรสเซอร์แอร์บนเสาไฟ

                 เมฆาปลดเป้ข้างหลังขึ้นมาวางบนหลังตู้  ใช้เชือกโอบทั้งตัวเองและเสาพอให้โยกตัวได้ เครื่องมือสารพันถูกนำออกมาเรียงรายพร้อมทำงาน  ‘ตู้หม้อแปลงขยายเขต’ซึ่งส่งเมนไฟฟ้าไปยัง‘บ้านเป้าหมาย’ถูกแงะเปิดฝา  แล้วเมฆาก็เริ่มลงมือกับภารกิจ

                 ขณะที่ใจจดใจจ่ออยู่กับงาน  ใบหน้าหวานเศร้าของผู้หญิงคนหนึ่งแวบเข้ามาในสมาธิ  เมฆาถอนหายใจยาวเมื่อคิดได้ว่าวันนี้เขาคงไม่ได้เจอหน้าเธอเสียแล้ว  ...ขอโทษด้วยครับคุณเชอรี่  เป็นเพราะเขาต้องตามมาเก็บตกในแผนการที่วางไว้นั่นเอง

                 ชายหนุ่มใช้เวลาไม่ถึงสิบนาทีก็เสร็จสิ้นกับการเชื่อมต่ออุปกรณ์บางอย่างในตู้  เครื่องมือถูกเก็บลงเป้ก่อนคล้องกับสองไหล่อีกครั้ง  สองมือเหนี่ยวกับปลายเหล็กเส้นซึ่งตัวเองใช้เสียบทะลุเสาคอนกรีต ในขณะสองเท้าหย่อนลงไปหาท่อนข้างล่างทีละช่วง พอขยับลงมาได้แค่สองช่วงตัว เสียงจากเอียร์โฟนในหูก็ดังขึ้นขัดจังหวะ

                 “เดี๋ยวก่อนเมฆา  มีรถกำลังมาคันหนึ่ง” ผู้พันจามรเตือน

                 เมฆาหยุดหย่อนเท้า แนบตัวเบียดติดเสาไฟฟ้า  แม้เสาจะเล็กและบังไม่สนิท แต่ความสลัวก็ยังพอช่วยให้ปลอดจากการมองเห็น  ตามสภาวะปกตินั้น เวลานี้ไม่ใช่เวลาขับรถกินลมชมวิวของใครหน้าไหนอยู่แล้ว  เมฆามองเห็นโคมไฟหน้ารถคันหนึ่งวิ่งมา และค่อยๆผ่านรถผู้พันจามรไปโดยไม่มีอาการผิดสังเกต  ผู้พันของเขาถดตัวลงกับเบาะคนขับขณะรถคันนั้นวิ่งผ่าน

                 แสงโคมไฟผ่านเลยไปด้วยดี ทุกสิ่งกลับคืนมาเป็นปกติ  เมฆาไต่ลงตามปลายเหล็กเส้นท่อนใหม่ ..และท่อนใหม่  เขาถอดเก็บพวกมันติดมือลงเป้จนกระทั่งเท้าแตะพื้น รถสี่ประตูสีบรอนซ์ของผู้พันครางเสียงดังขึ้นก่อนจะวิ่งเข้ามารับ

                 “เรียบร้อยครับ” เขาเอ่ยบอกชายร่างใหญ่เมื่อขึ้นมานั่งบนรถเรียบร้อย

                 “ทำเวลาได้ดีมากแม้จะชะงักกับไอ้รถบ้านั่น ทีนี้.. เราไปขั้นตอนที่สองกัน” แล้วผู้พันก็เคลื่อนรถออกจากที่



                 ใช้เวลาอีกสิบห้านาที ชายหนุ่มต่างวัยกับรถกระบะสองตอนก็มาถึง‘การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค อำเภอบางละมุง’ แม้แสงรำไรเริ่มฉาบท้องฟ้าแล้ว แต่ไม่มีปัญหาสำหรับเมฆา เขาลงจากรถผู้พัน หลบยามผู้สัปหงกในป้อมประตูหน้าอ้อมเข้ารั้วโปร่งด้านข้างแล้วมุ่งตรงสู่รถสีส้มสองคันหน้าหน่วยซ่อมบำรุง เจ้าสี่ล้อสีส้มคล้ายรถสองแถวติดตาข่ายนั้น มีตัวหนังสือโชว์หราข้างตัวรถว่า‘ตรวจเช็ก~ซ่อมกระแสไฟฟ้าขัดข้อง’

                 ใช้เวลาไม่ถึงห้านาที เมฆาก็มุดออกมาจากใต้ท้องรถและเดินกลับทางเดิมไปขึ้นรถผู้พันจามรที่จอดเยื้องอยู่กับประตูหน้าสำนักงานการไฟฟ้าอำเภอบางละมุง  เขารายงานภารกิจเบาๆ “ขั้นตอนที่สองเรียบร้อยครับ”

                 รถสี่ประตูออกตัวอีกครั้ง “งั้นก็กลับไปรอเวลาที่บ้านกัน”

                 ผู้พันจามรพารถมุ่งออกสู่ถนนสุขุมวิทอีกครั้ง



                 ‘ปรางค์ทิพย์’เหลือบมองนาฬิกาข้อมือเป็นครั้งที่ห้าก่อนจะเงยขึ้นมองหน้าจอคอมพิวเตอร์บนโต๊ะทำงานต่อ เวลาขณะนี้เจ็ดโมงครึ่งแล้ว  ตั้งแต่ตัวเองลุกขึ้นอาบน้ำแต่งตัวมายังห้องทำงาน  เธอยังไม่อยากรบกวนใคร จำได้ว่าลูกน้องออกไปหาข่าวและกลับมากันตอนตีสี่ทั้งสามคน  มีนพดลคนเดียวที่เฝ้าห้องนี้ด้วยการจัดเก็บข้อมูลเข้าไฟล์ให้เธอตรวจสอบและจัดเตรียมแผนงาน  ตอนนี้ ทุกคนคงยังหลับไหลด้วยความเหน็ดเหนื่อย เธอจึงไม่อยากเรียกใครให้ลุก

                 แต่สำหรับนายตำรวจหนุ่มหรือ‘พี่ทัศนัย’ของเธอแล้ว  ปรางค์ทิพย์เผลอโทรไปปลุกเขาเมื่อตอนสิบนาทีที่แล้วนี่เอง

                 ความร้อนใจในส่วนเกี่ยวโยงระหว่างไอ้มดซิ่งกับขบวนการค้ายาเสพติดข้ามชาติ ทำให้เธออดไม่ได้ที่จะต้องปรึกษาเจ้าของคดีโดยตรง  พี่ทัศนัยเป็นคนบอกว่า เขากำลังติดตามขบวนการค้ายาระดับประเทศกลุ่มหนึ่งอยู่ และคนพวกนี้ก็คือกลุ่มซึ่งเขาบุกเข้าทลายที่โกดังคลองเตยนั่นเอง  ไอ้มดซิ่งเจ้าของต่างหูที่เธอได้เบาะแสมาแค่นั้นเป็นหนึ่งในขบวนการนี้ ซึ่งเธอก็ได้หลักฐานชัดเจนสำหรับคดีตัวเองแล้วเช่นกันว่า  ไอ้เด็กตี๋หรือไอ้มดซิ่งหรือแต้ม คือคนขับรถนำ‘ทีมสังหาร’เข้าไปก่อคดีอุกฉกรรจ์ในผับกลางกรุงด้วยเช่นกัน

                 ไอ้มดซิ่งเกี่ยวข้องกับคดีของพี่ทัศนัย และเกี่ยวข้องกับคดีของเธออีกต่างหาก

                 สายตาของผู้กองสาวเพ่งพินิจอยู่หน้าจอกับข้อมูลสองบริษัท  หุ้นส่วนกรรมการทั้งสองบริษัทไม่มีส่วนเชื่อมโยงกัน บริษัทจิวเวลรี่มีกรรมการเป็นเครือญาติกันทั้งหมด แต่บริษัทนำเข้าและส่งออกอาหารทะเลกลับไม่มีใครเกี่ยวดองกันแม้แต่คนเดียว  และข้อมูลจากชื่อหรือนามสกุลก็ไม่มีการข้ามฟากไปเกี่ยงดองกันแต่อย่างใด  สิ่งที่เธอสังหรณ์ใจว่าสองบริษัทนี้อาจจะเชื่อมโยงกัน จึงไม่ได้เป็นไปตามคาด

                 ปรางค์ทิพย์กลับมาที่คำถามหลักคาใจอีกครั้ง  ทำไมรถของบริษัทนำเข้าและส่งออกอาหารทะเลต้องสะกดรอยตามเธอ ในเมื่อเธอและลูกน้องเพิ่งเหยียบย่างเข้ามาในเมืองพัทยาได้ไม่กี่วัน  และที่สำคัญ บริษัทนี้มีสำนักงานใหญ่อยู่ที่กรุงเทพอีกต่างหาก

                 อ้อ  เจอข้อมูลนี้แล้ว.... ปรางค์ทิพย์สะดุดเม้าส์กับรายละเอียดบางอย่าง

                 บริษัทเอ็มซีซีโปรดักซ์อิมพอร์ตเอ็กซ์พอร์ตมีสาขาที่เมืองพัทยาด้วย บริษัทสาขาแห่งนี้เป็นฝ่ายจัดซื้อจัดหาอาหารทะเลสดส่งเข้าสำนักงานใหญ่อีกที

                 แล้วคนของบริษัทนี้ตามตัวเธอทำไม?

                 เสียงเคาะประตูห้องทำให้ผู้กองสาวหันไปมอง และพอเธออนุญาต  นายตำรวจหนุ่มในชุดลำลองนอกเครื่องแบบก็โผล่เข้ามาพร้อมกับกาแฟร้อนยี่ห้อดังสองแก้วพลาสติก  เขาเดินมานั่งลงกับเก้าอี้อีกตัวข้างๆ  ปรางค์ทิพย์ขอบคุณและทำมือบอกเขาว่านี่แก้วที่สองแล้ว  เขายิ้มทำตาโต “งั้นแก้วนี้ขอให้เป็นแก้วสุดท้ายสำหรับวันนี้นะ”

                 เธอทำตาโตบ้าง “ออกคำสั่งแต่เช้าเลย”

                 “ไม่ได้สั่ง  ขอร้องต่างหาก”

                 “ค่ะ  งั้นขอเก็บไว้กินตอนเย็นแล้วกัน”

                 “อื้อฮึ...” เขาแปลกใจกับคำพูดของเธอ “วันนี้อารมณ์ดีแต่เช้าเชียว ดีใจนะที่ได้ยินคำพูดแบบนี้ เคยได้ยินแต่คำพูดเอาจริงเอาจังตลอด พอได้ยินแบบนี้รู้สึกปลอดโปร่งจัง”

                 “แหม.....แขวะจนได้” เธอว่า “ปลอดโปร่งเพราะได้หลับเต็มที่มั้งคะ”

                 พี่ทัศนัยหัวเราะ  เขาพยักหน้าก่อนเปิดฝายกแก้วกาแฟขึ้นจิบ  กลิ่นหอมละมุนของเอสเพรสโซ่โชยฟุ้งไปรอบห้องกล่องเค้ก

                 “กำลังดูอะไรอยู่เหรอ” ถามพร้อมกับโน้มตัวไปหาจอคอมพิวเตอร์จนแก้มเกือบติดต้นแขนของเธอ

                 “กำลังเช็กตัวตนบริษัทนี้อยู่ค่ะ” ปรางค์ทิพย์เบนใบหน้าสวยกลับไปทางจอมอนิเตอร์  เธอสัมผัสได้กับไออุ่นบางเบาซึ่งผสมผสานมากับกลิ่นโคโลญหอมเจือจางจากเขา

                 หญิงสาวลอบสูดลมหายใจด้วยความสดชื่น “รถที่สะกดรอยปรางค์เมื่อวาน เป็นรถของบริษัทเอ็มซีซีโปรดักซ์อิมพอร์ตเอ็กซ์พอร์ตซึ่งคุ้นชื่อนี้ยังไงก็ไม่รู้ เรื่องนี้ปรางค์ถึงได้เรียกพี่ทัศนัยมาขอคำปรึกษาไง”

                 “บริษัทอะไรนะ?” พี่ทัศนัยคล้ายกับเอะใจ ปรางค์ทิพย์อ่านชื่อนั้นให้ฟังอีกรอบ

                 “แฟรชไดร์ฟที่พี่ให้น้องปรางค์เมื่อวานยังอยู่ไหม”

                 “อยู่นี่ค่ะ” ผู้กองคนสวยเปิดลิ้นชักหยิบสิ่งนั้นให้ชายหนุ่ม “แสดงว่าไอ้เจ้าบริษัทนี่อยู่ในนี้ใช่มั๊ยคะ”

                 “ใช่”

                 “โธ่เอ๊ย...ปรางค์ก็ลืมไอ้เจ้านี่ไป  ทั้งๆที่มันอยู่ใกล้ๆนี่เอง”

                 พี่ทัศนัยเงียบไป  เขาแทรกเข้านั่งตรงๆกับจอ จัดการเสียบแฟลชไดร์ฟและเรียกไฟล์หนึ่งขึ้นมา ปรางค์ทิพย์มองเห็นชื่อบริษัทเอ็มซีซีบนหัวในโปรแกรมเวิร์ดหน้าแรก  อักษรเรียงรายเป็นพรืดตามมามีการเน้นสีที่ข้อความสำคัญให้เห็นเป็นระยะ  นายตำรวจหนุ่มคล้ายกับไล่หาบรรทัดต้องการกลับไปกลับมา จนในที่สุดก็มาหยุดเอาที่บรรทัดหนึ่งซึ่งเน้นตัวอักษรสีแดงไว้อย่างชัดเจน

                 ‘นายพายัพ บุรัญพงษ์  ผู้จัดการบริษัทเอ็มซีซีโปรดักซ์อิมพอร์ตเอ็กซ์พอร์ตจำกัด  สาขาเมืองพัทยา’


(มีต่อ)
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่