๏ ล่าสะท้านเมือง ๏ บทที่ 15

กระทู้สนทนา
ความเดิมจากตอนที่แล้ว
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้

15

** องค์กรอสรพิษเขี้ยวเงิน **



                 “เธอเป็นตำรวจครับ คุณพายัพ”

                 ภาพถ่ายหญิงสาวบนโต๊ะตรงหน้า ทำให้‘พายัพ’ต้องหยิบขึ้นมาดูใกล้ๆ  ความรู้สึกแรกบอกเขาว่า คนในภาพเป็นผู้หญิงสาวสวยสะดุดตาผู้ชายทุกคนหากได้พบเห็น ความรู้สึกซึ่งไม่ค่อยได้เห็นจากผู้หญิงธรรมดาทั่วไปอีกสิ่งหนึ่ง คือแววตาซึ่งฉายชัดถึงความเอาจริงเอาจังในตัวเอง  ภาพถ่ายเต็มตัวอีกภาพ ลักษณะท่าทางอันปราดเปรียวนั้น มองเพียงแวบเดียวก็รู้ว่าเธอเป็นคนดูแลตัวเอง ดูคล้ายกับออกกำลังกายสม่ำเสมอ เพราะสัมผัสเห็นความสมบูรณ์ของกล้ามเนื้อเรียวแขนสองข้างชัดเจน

                 “เธอกำลังตามตัวไอ้เจ้าแต้มเหมือนกับพวกเรา เพราะมีการตามไปที่ร้านจิวเวลรี่ด้วยครับ” ลูกน้องข้างโต๊ะรายงานต่อ

                 ชายวัยสามสิบปลายเพ่งพินิจภาพถ่ายอย่างใช้ความคิด สายตาคมกริบประหนึ่งเหยี่ยวกำลังปะติดปะต่อเรื่องราวทะลุไปถึงสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ตำรวจเริ่มเคลื่อนไหวใหม่แล้ว การเคลื่อนไหวครั้งใหม่นี้  เป็นการเปิดหน้าเล่นโดยไม่ต้องอ้อมค้อมอย่างเห็นได้ชัด ไม่ต้องแอบซุ่มตามล่าตัวไอ้เด็กซิ่งเหมือนคนของเขาอีกต่อไปแล้ว

                 เด็กหนุ่มวัยยี่สิบสี่ปี  หรือ‘แต้ม’ที่เขาเคยรู้จักมาตั้งแต่วัยรุ่นจนเข้าสู่วัยหนุ่ม เขาจำได้ว่า  เมื่อไอ้หนุ่มแต้มก้าวพ้นวัยบรรลุนิติภาวะและฉายแววจอมซิ่งซึ่งไว้ใจได้แล้วนั้น  เขาเองที่เป็นคนยืนยันและสรุปให้เจ้านายใหญ่ฟังว่า เด็กหนุ่มอัจฉริยะผู้มีศักดิ์เป็นหลานของเจ้านายคนนี้ พร้อมแล้วสำหรับการร่วมงานขนถ่าย‘สินค้า’ของเจ้านาย  ความสามารถสำหรับตำแหน่ง‘เด็กส่งของ’สุกงอมแล้ว

                 และพอเริ่มงานตั้งแต่นั้นมา ทุกล็อตที่มีการส่งสินค้า ไม่เคยมีล็อตไหนที่ไอ้จอมซิ่งทำให้ผิดหวัง นอกจากงานครั้งสุดท้ายเท่านั้น  ที่ทำให้‘เด็กส่งของ’กระเซอะกระเซิงหายตัวไปแบบไร้วี่แวว

                 เหตุการณ์ซึ่งล่วงเลยมาจนถึง ณ ขณะนี้  เขาไม่เคยคิดเลยว่าผู้ร่วมงานสถานะเด็กส่งของในครั้งนั้น จะกลับกลายมาเป็นภาระน่าเบื่อหน่ายสำหรับการตามหาตัว ซึ่งเขาต้องเป็นคนลงมาจัดการด้วยตัวเองเสียแล้ว

                 งานที่เขาต้องไปมาระหว่าง‘มาเก๊า’กับเมืองไทย เพราะต้องรับผิดชอบเส้นทางลำเลียงสินค้าจากไทยสู่มาเก๊า นั่นก็เป็นภาระซึ่งท่วมตัวอยู่แล้ว  เขายังต้องมารับภาระเรื่องที่หลีกเลี่ยงไม่ได้เข้าไปอีกด้วย

                 นั่นเป็นเพราะคำสั่งด่วนจาก‘นายหลิวเกา’ ผู้เป็นประมุขแห่งองค์กร‘อสรพิษเขี้ยวเงิน’ของเขานั่นเอง



                 “เธอเป็นตำรวจที่นี่งั้นเหรอ?” พายัพเอ่ยถามกับลูกน้องคนสนิท คนถูกถามหลบสายตาด้วยความเกรงขาม นึกเสียวสันหลังในใจกับหน้าที่ซึ่งตัวเองแกะรอยมาไม่สมบูรณ์

                 “น่าจะเป็นที่นี่ครับ เพราะผมตามจากร้านจิวเวลรี่มา เห็นเธอหายเข้าไปที่โรงพักเมืองพัทยาข้างห้างเซ็นทรัลริมหาดครับ” ตอบไปแล้วได้แต่รู้สึกหวิวหวั่นในใจ เพราะรู้ถึงอารมณ์โทสะของเจ้านายเป็นอย่างดี

                 แต่ครั้งนี้ผิดคาด

                 “ฉันอยากได้ข้อมูลชัดเจนกว่านี้ว่าเธอมาจากต้นสังกัดไหน? วันนี้เธอเคลื่อนไหวยังไง? จัดการให้ได้ความคืบหน้าด่วน!” น้ำเสียงนั้นเรียบเฉยราวกับผู้จัดการบริษัทสั่งงานเลขา โชคดีที่ยังไม่มีลูกระเบิดใดตูมตาม ลูกน้องคนสนิทได้แต่ลอบพ่นลมหายใจแผ่ว

                 แล้วเจ้านายก็เอ่ยถามเรื่องใหม่เหมือนเพิ่งนึกขึ้นได้ “แล้วไอ้สามคนนั่นอยู่ไหน?”

                 ลูกน้องตอบในทันที “เดี๋ยวผมไปเรียกให้ครับ อยู่หน้าห้องนี่เอง” พูดจบก็เดินหายออกไปจากห้อง ก่อนจะกลับเข้ามาใหม่พร้อมกับชายสามคนที่เจ้านายเอ่ยถามถึง



                 ชายสามคนผู้อยู่ในสภาพย่ำแย่ตรงหน้าสร้างความตกตะลึงให้ไม่น้อย  ‘พายัพ’ลุกจากเก้าอี้หลังโต๊ะตัวใหญ่  เขาเดินไปหยุดยืนตรงหน้าคนทั้งสามด้วยความรู้สึกผิดหวังและโมโหในใจ เรื่องที่มอบหมายให้ทำไม่น่าจะเหนือบ่ากว่าแรง แต่สามคนเบื้องหน้าเขาในตอนนี้ กลับมีสภาพไม่ต่างไปจากคนที่ถูกกลุ่มอันธพาลรุมกระทืบมา  นี่หรือคือทีมล่าตัวแค่ไอ้เด็กหนุ่มธรรมดาๆคนหนึ่งที่เขาเผลอไว้วางใจ

                 สองคนข้างหลังไม่อาจจำชื่อได้  แต่คนที่ยืนข้างหน้า เขาจำได้ดีว่าคือ‘สิงห์ดํา’ หนึ่งในลูกน้องซึ่งเคยติดสอยห้อยตามเขามาโดยตลอด  เพิ่งห่างหายขาดตอนไปก็เมื่อเขาให้รับผิดชอบเรื่องตามหาตัวไอ้หนุ่มแต้มเมื่อปีที่แล้วนี่เอง

                 สิงห์ดำอยู่ในสภาพสวมปลอกคอพลาสติกสำหรับจัดกระดูกให้เข้าที่  ขณะอีกคนก็สวมปลอกคอแบบเดียวกัน และยังมีผ้าคล้องโยงกับท่อนแขนเช่นเดียวกับอีกคน ซึ่งคล้องผ้าและพันอีกเส้นรอบขมับตัวเองราวกับหัวถูกฟาดด้วยของแข็งมา

                 “พวกแกเสียท่าถึงเพียงนี้เชียวหรือวะ สิงห์ดำ” เจ้านายเริ่มเสียงเข้มขึ้น สิงห์ดำก้มหน้านิ่ง ตอบ‘ครับ’แทบไม่ได้ยินสุ้มเสียง รู้ตัวดีว่าตัวเองทำให้เจ้านายผิดหวัง  มันช่างน่าอับอายและผิดหวังในตัวเองเสียจริง

                 “มันเป็นใครกันวะ?”

                 “ไม่ทราบครับ”

                 “ไอ้บ้าเอ๊ย!!” เสียงเจ้านายแผดลั่น

                 พร้อมๆกับอีกเสียงซึ่งดังตามมา

                 เผี๊ยะ !!

                 ทุกคนในห้องตกตะลึงวูบ เมื่อเห็นสิงห์ดำหน้าสะบัดไปตามหลังมือของผู้เป็นเจ้านาย ความรู้สึกของทุกคนปวดแสบหัวใจไปด้วย  คนถูกลงโทษผงะเซไปทางด้านหนึ่ง ก่อนจะทรงตัวเหยียดยืนเช่นเดิม  กระดูกคอเริ่มปวดร้าวระบมขึ้นมาเพราะการเคลื่อนไหวที่ไม่ทันตั้งตัว

                 “แกเป็นคนหนึ่งที่ได้รับการฝึกฝนฝีมือมา มิใช่หรือ?”

                 “ครับ” คราวนี้สิงห์ดำตอบชัดเจน อาการปวดแสบแผ่ซ่าน แก้มซีกซ้ายเต้นระริก

                 “แล้วทำไมแกถึงได้ยับเยินยังงี้”

                 “มันตัวใหญ่กว่าผมครับ”

                 ฉาด !!

                 เสียงสองอวัยวะสัมผัสกันดังลั่น  คราวนี้เป็นใบหน้าซีกขวาซึ่งถูกกระทบกับฝ่ามือซ้ายเข้าเต็มๆ  หน้าสิงห์ดำสะบัดไปตามแรงกระทบ  เลือดสีแดงปริ่มมุมปากขึ้นมาทันที  เขาขืนตัวไม่ยอมให้เสียหลัก  ทว่านั่นกลับกลายเป็นว่า เขากำลังกลายเป็นเป้านิ่งให้กับเจ้านายไปโดยไม่คาดคิด

                 กำปั้นซ้ายขวาซึ่งพุ่งตรงเข้ามากระแทกกลางอกชุดใหม่ ส่งผลให้ร่างสันทัดของสิงห์ดำถึงกับถอยหลังไปสองก้าว  และสองก้าวนี่เอง คือช่วงระยะซึ่งพอดีกับท่อนขาตวัดหมุนกลับหลังของผู้เป็นเจ้านาย

                 รองเท้าหนังราคาแพงสัมผัสเข้ากับใบหน้าเขาอย่างแรง  สิงห์ดำรู้สึกเหมือนตัวเองโดน‘เซนเซ’(อาจารย์)ซ้อมหนักในวันสุดท้ายของการฝึกฝนไม่มีผิด  การต่อสู้ด้วยมือเปล่าครั้งนั้น  แม้เซนเซจะออมมือ  แต่เขารู้ดีว่า ทุกหมัด ทุกสันมือเกรี้ยวกราดในแต่ละชุดนั้น  ต้องการให้เขาได้สัมผัสกับการเจอของจริงอย่างจงใจ  และวันนี้  ครั้งนี้ ก็ไม่ต่างกันเลย  เมื่อเจ้านายต้องการให้เขาสัมผัสของจริงเช่นกัน  แต่มันหนักหน่วงเหลือเกิน เพราะทั้งฝ่ามือ ทั้งหมัด ทั้งเท้า  ต่างผสมความโมโหมาด้วยอย่างชัดเจน

                 ความรู้สึก ณ ตอนนี้ถึงแม้จะเจ็บปวด แต่เหมือนเขาได้ไถ่ถอนความผิดแล้ว รู้สึกเบาโหวง  ล่องลอย  ก่อนตกกระทบ ตึง!!

                 ร่างสันทัดหงายลงกระแทกพื้น  ต่อหน้าคนสามคนซึ่งเฝ้ามองอย่างใจหายใจคว่ำ

                 สำหรับผู้เป็นคนลงโทษแล้ว  กลับยืนตะหง่านจ้องมองคนถูกทำโทษอย่างไม่รู้สึกอินังขังขอบ

                 “ต้องคนตัวเท่ากันงั้นเร๊อะ แกถึงจะเอาชนะได้  งั้นลุกขึ้นมาสู้กันซิ” พายัพเปล่งเสียงกับคนนอนหงายอยู่ที่พื้น

                 สิงห์ดำส่ายหัว “ผมขอโทษที่ทำให้เจ้านายผิดหวังครับ แต่ต่อไปนี้ผมจะไม่ให้ผิดพลาดอย่างที่แล้วมาแน่นอน  และผมสู้เจ้านายไม่ได้หรอกครับ ยอมให้เจ้านายลงโทษตามแต่เจ้านายเห็นสมควร” ร่างสันทัดพยุงตัวเองลุกขึ้น อาการปวดกระดูกคอเริ่มออกฤทธิ์ ทำให้สิงห์ดำทำได้แค่เหลือบตามองเจ้านายทางหางตา “ลงโทษผมเถอะครับ  ผมพลาดไปจริงๆ”

                 ร่างสันทัดและสูงเท่ากันของเจ้านายหันหลังเดินกลับไปทรุดนั่งยังเก้าอี้ตัวเดิม  สิงห์ดำข่มความเจ็บร้าวทั้งหมดซุกไว้อย่างมิดชิด  เขาไม่คิดจะอุทธรณ์ใดๆ เพราะรู้ว่าตัวเองสมควรโดนเช่นนั้นอยู่แล้ว  ลูกน้องของเขาสองคนไม่มีใครปริปากใดๆ  ลูกน้องติดตามเจ้านายอีกคนก็เช่นกัน  ความเงียบน่าอึดอัดใจจึงครอบเข้ามาสะกดทุกคนให้เงียบกันไปหมด  แม้กระทั่งตัวเจ้านายเอง

                 แล้วในที่สุด  สิงห์ดำก็ได้ยินเสียงเจ้านายเอ่ยกับเขา

                 “แกเล่ามาให้ฟังซิ ว่าแกพลาดท่าไอ้คนลึกลับนั่นยังไง?  มันมีดียังไงถึงซัดแกคอแทบหักยังงี้”

                 น้ำเสียงนั้นคลายอุณหภูมิร้อนลงแล้ว  สิงห์ดำรวบรวมสติ  ค่อยๆเริ่มเรื่องให้เจ้านายฟัง . . . .


(มีต่อ)
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่