๏ ล่าสะท้านเมือง ๏ บทที่ 17

กระทู้สนทนา
ความเดิมจากตอนที่แล้ว
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้

17

** เจ็บปวด **



                 “นี่! คุณปรางค์ร่างโย่ง” เสียงจากปลายสายซึ่งยังคุยค้างอยู่เรียกสติผู้กองสาวกลับคืนมา

                 แต่ไม่ใช่แค่เรียกสติเท่านั้น  มันยังเผลอไปปลุกกระแสเลือดของเธอให้ตื่นขึ้นมาด้วย ปรางค์ทิพย์เริ่มร้อนใบหน้าอีกแล้ว เธอไม่ได้รู้สึกเหนียม ไม่ได้รู้สึกขวยเขินใดๆ เธอกำลังยัวะ‼ต่างหาก

                 “ใคร?  ใครโย่ง”

                 “อ้าว?  ทีคุณเรียกผมเจ้ายักษ์! นายยักษ์!  ไม่เห็นผมว่าสักคำ พอชมว่าคุณสูงมั่ง กลับโมโหซะได้”

                 “อ้อ ชมเหรอ แล้วใครโมโห?”

                 “ใครล่ะ ที่กำลังถือโทรศัพท์มือสั่นอยู่ตอนนี้”

                 “ฉันไม่ได้สั่น!”

                 “ผมก็ไม่ได้เจาะจงว่าเป็นคุณนี่”

                 เสียงจุ๊ลอดไรฟันดังแผ่วขึ้นหนึ่งครั้ง “นายนี่ยอกย้อนกวนโมโหจริงๆเลย รู้ตัวมั๊ย?”

                 “คุณก็เป็นคนอารมณ์ร้อนนะ รู้ตัวไหมคร๊าบ ดูสิ คุณโทรหาผมแล้วก็สั่งโน่นสั่งนี่ ทำยังกับอยู่ใกล้ๆตรงนี้ด้วยซ้ำ เอ  หรือคุณถอดร่างมา แล้วรู้เหรอว่าผมอยู่ไหนตอนนี้”

                 “แล้วนายอยู่ที่ไหนล่ะ?”

                 “ใครจะไปบอก เดี๋ยวคุณก็ตามมาอาละวาดผมกับเจ้านายอีกน่ะสิ อ้อ อันนี้ถามเป็นการเป็นงานนะ คุณมีธุระอะไรกับเจ้านายผม
หรือว่ามีธุระกับผม?”

                 คราวนี้ปรางค์ทิพย์ได้สติกลับมา เห็นด้วยกับคำว่าใจร้อน และเผลอตัวไปออกคำสั่งกับคนซึ่งไม่ใช่ลูกน้องตัวเอง ไม่ใช่แม้แต่คนซึ่งต้องมารับฟังเธอด้วย เธอคิดอะไรรวดเร็วไปหน่อยจริงๆ แต่เรื่องที่จะให้อ่อนข้อกับคนชอบยั่วโทสะแบบนี้ เมินเสียเถอะเจ้ายักษ์

                 “ฉันอยากเจอกับคุณโจ้ อ้อ ขอย้ำชัดๆด้วยนะ แค่คุณโจ้คนเดียวเท่านั้น”

                 เจ้ายักษ์เงียบไปอึดใจ “ผมว่าคงไม่ได้เจอกันหรอกวันนี้”

                 “ทำไม?” เธอถามต่อทันใด

                 “คุณโจ้เข้ากรุงเทพ  แล้วรถก็เสียแถวๆบางนา ตอนนี้ให้ลูกน้องเอารถอีกคันไปเปลี่ยนอยู่”

                 คำพูดนั้นทำให้ผู้กองสาวนึกไปถึงรถออดี้สีดำซึ่งตัวเองเกือบเฉี่ยวชนเมื่อสักครู่ คนขับดูคล้ายจะเป็นช่างตามอู่ซ่อมรถ เหตุผลที่นายยักษ์โย่งกำลังอ้างถึงก็สัมพันธ์กัน งั้นเธอคงต้องเปลี่ยนเป้ามาเป็นนายบอดี้การ์ดนี่เสียแล้ว

                 “แล้วนายอยู่ที่ไหน?” ปรางค์ทิพย์พยายามสะกดน้ำเสียงให้นิ่งเท่าที่จะทำได้

                 “ก็บอกแล้วไง  ไม่บอก‼” น้ำเสียงนั้นยังยั่วโมโหไม่เลิกรา

                 “นี่  ขอร้องเถอะนะ เลิกเล่นทีเถอะ แล้วก็ตอบมาดีๆก็ได้ อย่าให้ฉันต้องเกลียดขี้หน้านายไปกว่านี้เลย”

                 เงียบไปพักหนึ่ง เสียงราบเรียบเป็นปกติก็ตอบมา “งั้นตอบเป็นการเป็นงานเลยนะ  ผมอยู่กับคุณโจ้!”

                 “ฉันไม่เชื่อนาย” ผู้กองคนสวยสวนกลับทันที “ถ้าจะให้เชื่อ  ขอคุยกับคุณโจ้ซิ”

                 คำพูดของเธอทำให้ปลายสายเงียบไปพักใหญ่  ปรางค์ทิพย์ได้ยินเสียงลมแทรกซู่เข้ามาในโทรศัพท์เป็นระยะ คล้ายกับเจ้ายักษ์เดินถือเครื่องโทรศัพท์ไปมา  ทั้งยังได้ยินเสียงแว่วเรียกหาเจ้านายตัวเองเป็นระยะ


                จามรเดินเข้าไปกระซิบบทสนทนากับแต้มที่ยังนั่งอยู่บนรถ แล้วเดินห่างออกมา เขาทิ้งให้เวลาผ่านไปครู่หนึ่ง จึงยกเครื่องโทรศัพท์ขึ้นพูด

                 “เจ้านายผมซื้อลูกชิ้นปิ้งอยู่อีกฝั่งถนน คอยฟังเสียงนะ” แล้วผู้พันร่างใหญ่ก็ส่งเสียงดัง “คุณโจ้  มีสายเรียกเข้าคร๊าบบ . . .”


                 ปรางค์ทิพย์ได้ยินเสียงร้องตะโกนของเจ้ายักษ์ดังชัดเจน ตามด้วยเสียงแว่วๆของใครสักคนตอบมาห่างๆ “ยุ่งอยู่  ยุ่งอยู่ บอกเขาด้วยเดี๋ยวผมโทรกลับ”

                 เสียงจากสายทางโน้นทำให้ผู้กองสาวถอนหายใจ เหตุผลซื้อลูกชิ้นปิ้งน่าจะเป็นการยั่วประสาทเธอ แต่เสียงตะโกนตอบเหมือนอยู่กันคนละฝั่ง คงใช่กระมัง เพราะแม้จะฟังไม่ออกว่าเป็นเสียงเด็กหนุ่มโจ้หรือเปล่า แต่มันก็คงไม่มีประโยชน์ใดๆอีกแล้วที่จะทู่ซี้ขอพูดสายด้วย  ปรางค์ทิพย์เลิกล้มความตั้งใจกับคนสองคนลง

                 “งั้นฉันจะติดต่อมาใหม่”

                 “เดี๋ยวสิครับคุณปรางค์” น้ำเสียงคราวนี้ฟังรื่นหูขึ้นอย่างประหลาด “ถามหน่อยเถอะครับ คุณปรางค์มีธุระอะไรกับคุณโจ้ของผม”

                 พอได้ยินคำถามเป็นผู้เป็นคนแบบนี้กลับมา อุณหภูมิในตัวหญิงสาวก็พลอยเย็นขึ้น จริงสิ เธอเผลอออกอาการคาดคั้นมาจนลืมตัว  การรุกคืบแบบนั้นไม่เป็นผลดีแต่อย่างใด เธอลืมไปว่าเป้าหมายของเธอคือไอ้มดซิ่งต่างหาก  โจ้เป็นเพียงประตูด่านหน้าที่จะนำไปสู่เป้าหมายแค่นั้นเอง  และนายบอดี้การ์ดยักษ์นี่ก็แค่ลูกน้อง ทำไมเธอจะต้องมาเสียเวลาต่อปากต่อคำกับเจ้ายักษ์อยู่อย่างนี้  อีกทั้งยังอาจเผลอส่งผลให้สองคนนี้แตกตื่นจนต้องระวังตัวก็ได้ ถ้าอย่างนั้น เธอต้องปรับท่าทีใหม่เสียแล้ว

                 “ฉันอยากเจอคุณโจ้เพราะอยากได้รถรุ่นหนึ่ง รู้ว่าคุณโจ้หาให้ได้อยู่แล้ว เอาอย่างนี้ดีไหม ฝากนายคุยให้คุณโจ้ฟังหน่อย ที่ฉันอยากเจอตัวเขาเพราะมีคนอยากได้รถมาสด้าอาร์เอ็กซ์เจ็ดสักคัน  คิดว่าคุณโจ้คงไม่เหนือบ่ากว่าแรงที่จะหาให้ได้  คนที่อยากได้นั้น เขาไม่เกี่ยงราคา ให้คุณโจ้บอกมาเลยว่าเท่าไหร่? หากไม่เว่อร์จนเกินจริงคิดว่าเขาโอเคอยู่แล้ว”

                 จามรรับฟังอย่างตั้งใจ “ไหนคุณเคยบอกว่าอยากเจอคุณโจ้เรื่องแหวนแต่งงาน แล้วไหงคราวนี้จะให้คุณโจ้เป็นเซลล์แมนขายรถไปโน่น  ผมว่ามันยังไงๆอยู่นะ”

                 เลือดอุ่นเริ่มวิ่งอีกแล้ว “ก็ว่าที่เจ้าบ่าวฉันนี่แหล่ะ ที่อยากได้รถคันที่ว่า” ปรางค์ทิพย์พูดตามไหวพริบอันรวดเร็ว ไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกันว่าทำไมต้องบอกไปอย่างนั้น รู้แค่อยากจะกระทบกระเทียบเจ้ายักษ์ก็แค่นั้น แล้วทำไมต้องอยากกระทบกระเทียบอย่างนั้นด้วยนะ?

                 “แฟนฉันเขาเปลี่ยนจากแหวนมาเป็นรถคันที่ว่านี่แล้ว เพราะฉันชอบ!  เข้าใจรึยัง?”



                 โกหกไม่แนบเนียนเลยนะยัยโย่ง. . . . จามรคิดในใจ

                 จากการแต่งเนื้อแต่งตัว จากการขับรถรักษากฎเต็มร้อย แล้วยังมาโมเมเรื่องของขวัญแต่งงานชนิดน้ำขุ่นคลั่กนี่อีก มันทำให้เขาพอจับทางได้เลาๆแล้วว่า เธอกำลังจะอ้อมหลังโจ้ไปหาแต้มนั่นเอง

                 จามรตามน้ำไปกับเธอ “เข้าใจแล้ว เดี๋ยวผมจะรายงานให้คุณโจ้ทราบเอง  มีอะไรอีกไหมครับ?”

                 “ไม่มี” เสียงตอบกลับมาฟังราวกับใครทุบโต๊ะดีๆนี่เอง  แล้วสายก็ถูกตัดไป

                 ผู้พันร่างใหญ่เดินกลับไปยังรถ เขาโยนเครื่องโทรศัพท์ทิ้งลงน้ำ ก้าวขึ้นรถ แต้มสตาร์ทเครื่องยนต์ “กลับบ้านเลยเหรอครับ?”

                 “ใช่” จามรตอบสั้นๆ



                 ผู้กองสาวร่างระหงเพิ่งวกกลับมานึกถึงรถฟอร์จูนเนอร์ แต่พอมองไปยังตำแหน่งที่มันจอดอยู่แต่เดิม ปรากฎว่าขณะนี้มันหายไปจากสายตาเสียแล้ว ช่างมัน! อีกสักครู่ก็จะได้รู้แล้วว่ารถคันนี้มาจากฝ่ายใด? และต้องการอะไร? จากเธอ



                 “ตอนนี้รถมาสด้าอาร์เอ็กซ์เจ็ดของนายอยู่ในที่ปลอดภัยรึเปล่าแต้ม?” จามรเอ่ยถามไอ้มดซิ่ง แต้มชะงักกับพวงมาลัย  เด็กหนุ่มหน้าตี๋หันมามองผู้พันจามรแวบหนึ่งก่อนจะเบนกลับไปให้ความสำคัญกับถนนเบื้องหน้าตามเดิม

                 “ปลอดภัยร้อยเปอร์เซ็นต์ครับ” แต้มตอบ “ไม่เห็นผู้พันถามถึงเรื่องนี้นานแล้ว มีอะไรเกี่ยวข้องกับรถคันนี้เหรอครับ?”

                 “มีคนจับตารถคันนี้แล้วล่ะ”

                 ม่านตาตี่ของแต้มกระตุกวับ “ใครครับ?”

                 “ยังไม่แน่ใจ” ผู้พันจามรคล้ายกับยังไม่มั่นใจ “ไม่แน่ใจว่าหน่วยไหน แต่แน่ใจว่าเป็นพวกเจ้าหน้าที่ตำรวจแน่”

                 แต้มกลืนน้ำลายลงคอ

                 ก่อนที่ผู้พันจะเอ่ยถึงเจ้าหน้าที่ตำรวจ แต้มหวนนึกไปถึง‘สิงห์ดำ’ผู้คอยรับรถของเขาที่โกดังคลองเตยทุกครั้งหลังจากเขากลับมาจากแม่สะเรียง เหตุผลที่ทำให้นึกถึงอย่างนั้น เป็นเพราะสิงห์ดำโผล่มาให้เห็นเมื่อคืนวันแข่งรถบิ๊กไบค์ระหว่าง‘โจ้’กับ‘เจ้าคริส’ฝรั่งผมทองนั่นเอง

                 คืนนั้นสิงห์ดำโผล่มาโดยที่เขาไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าโดนติดตาม และหากไม่ได้ชายหนุ่มรุ่นพี่‘เมฆา’เป็นคนช่วยให้หลุดรอดจากการถูกคุกคาม  คืนนั้นเขาอาจจะโดนพาตัวไปยังที่ไหนก็ไม่อาจรู้ได้  ที่สำคัญ  เขาจะยังมีโอกาสหายใจอยู่ถึงวันนี้หรือไม่ ก็คงไม่มีใครตอบได้

                 สิงห์ดำเป็นคนรู้จัก‘รถคู่ใจ’ของเขาเป็นอย่างดี ดูเหมือนอาเจ็กหลิวเกาจะเป็นคนสั่งให้สิงห์ดำเป็นคนรับผิดชอบรถของเขา ทุกครั้งที่เขาทำงานเสร็จ แต้มจะเห็นสภาพรถตัวเองใหม่เอี่ยมเสมอเมื่อสิงห์ดำนำกลับมาส่ง เขาไม่เข้าใจเหมือนกันว่า การไปรับ‘พระพุทธรูปโบราณ’แค่เพียงสิบองค์จากชายแดนมาส่งมอบที่คลองเตย ทำไมเขาจึงได้รับค่าจ้างราวกับนักบินเครื่องโบอิ้งถึงเพียงนั้น แถมเจ้าโบอิ้งสปอร์ตของเขายังได้รับการประคบประหงมดูแลเป็นอย่างดี โดยที่เขาแทบจะไม่ต้องออกแรงดูแลใดๆ

                 แต่แต้มก็รู้แล้วว่า ‘ของ’ที่เขาเป็นคนนำส่งจากชายแดนสู่โกดังคลองเตยนั้น มันมีอะไรแฝงมากับ‘พระพุทธรูปโบราณ’ด้วย

                 “หน่วยปราบปรามยาเสพติดรึเปล่าครับผู้พัน?” แต้มเอ่ยถามชายหนุ่มร่างใหญ่ข้างๆ

                 “น่าจะ” ผู้พันตอบ “แต่เดี๋ยวก็รู้  เพราะเราได้หมายเลขโทรศัพท์เธอมาแล้วนี่”



(มีต่อ)
แสดงความคิดเห็น
อ่านกระทู้อื่นที่พูดคุยเกี่ยวกับ  แต่งนิยาย
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่