๏ ล่าสะท้านเมือง ๏ บทที่ 10

กระทู้สนทนา
ความเดิมจากตอนที่แล้ว
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้

10

** ร่องรอยเรื่องราว **


                  คลิ๊ก ‼

                  ไอ้คนคล้องแขนขวาใช้มืออีกข้างควักอาวุธออกมาง้างนก  มันยื่นปากกระบอกปืน.38 ใส่กลางใบหน้าของโจ้ “บอกให้พวกนั้น
อยู่ห่างๆซิ”

                  โจ้หันไปบอกโดยไม่รอช้า “ใจเย็นๆพวกเรา  ใจเย็น” ช่างประจำอู่ของเขาเบรคเท้าพรืด หัวใจโจ้เต้นแรง ไม่เข้าใจกับเหตุการณ์ เข้าใจแค่ว่าถ้าไม่ทำตามคนพวกนี้สั่ง  มันต้องมีอะไรรุนแรงเกิดขึ้นแน่

                  “ค่อยๆพูดค่อยๆจากันก็ได้นี่หว่า” ช่างจรัลยังมีสติอยู่และดูคล้ายพูดเป็นปกติ “ทำไมต้องใช้อาวุธกันด้วย”


                  “หมดเวลาห้านาทีแล้วว่ะพรรคพวก‼”


                  เสียงใครอีกคนดังห้าวขึ้นทางด้านข้างผู้บุกรุก  มันทั้งสามหันกลับไปมอง  โจ้และช่างจรัลอีกทั้งเด็กอู่ก็หันไปมองตาม  ชายร่างสูงใหญ่ในชุดกางเกงยีนส์เสื้อแจ็คเก็ตสีดำปรากฎอยู่ในสายตาไม่ไกล

                  “มีคนเสือgอีกจนได้ว่ะ” คนถือปืนสบถ มันหันมามองอีกคนซึ่งดูจะเป็นจ่าฝูง “ยิงกบาลมันเลยมั๊ยลูกพี่?”

                  ที่จริงแล้วมันไม่ได้คิดจะขออนุญาตแต่อย่างใดเพราะมันตัดสินใจเองได้อยู่แล้ว  ทว่าแสร้งเบี่ยงเบนอะไรชั่วขณะเท่านั้นเอง และชั่ววิบตา  มันวาดวงแขนเปลี่ยนเป้าไปหาร่างของคนมาใหม่ในทันที

                  โจ้มองเห็นร่างชุดดำเคลื่อนตัวอย่างรวดเร็ว  มือขวาซึ่งตะปบเข้าหาปืนพกของไอ้คนแขนเจ็บ  บัดนี้มันล็อคอยู่กับสันปืนนิ่งสนิทแทบไม่ไหวติง  เสี้ยววินาทีต่อเนื่องกัน  ปืน.38 ก็ถูกสะบัดปลายกระบอกขึ้นข้างบน

                  เปรี้ยง ‼

                  กระสุนหนึ่งนัดแผดเสียงขึ้น  พร้อมๆกับสันมือซ้ายผู้จู่โจมฟันเข้าต้นคอผู้ถือปืนอย่างหนักหน่วง

                  ฉึก ‼

                  ร่างเจ้าของปืนถลาออกไปล้มหงายแทบเท้าเด็กอู่ด้านข้าง  

                  อีกคนชักปืนของตัวเองบ้าง  มันคงคิดว่าตัวเองรวดเร็วแล้ว  แต่เปล่าเลย  สันมือซึ่งสยบเพื่อนมันไปก่อนหน้ากลับเคลื่อนไหวรวดเร็วกว่า  นิ้วงอพับเสมือนแผ่นเหล็กฟาดเข้าชายโครงใต้ราวนมมันอย่างรุนแรง

                  ความเจ็บปวดทะลักล้นแทบหลุดแหกปาก แต่ความจุกสกัดเสียงร้องของมันเอาไว้  และมันก็ไม่มีโอกาสได้ส่งเสียงใดๆอีกแล้วเมื่อส้นรองเท้าหนังข้างหนึ่งสะบัดเข้าเต็มจุดทัดดอกไม้

                  ผลั๊วะ ‼

                  เสียงไม่ต่างกันเลยกับลูกมะพร้าวไร้เปลือก ถูกหวดด้วยด้ามพร้า ‼



                  อะไรกัน?  โจ้ตะลึง

                  แค่วิบตาเดียว  ชายร่างสูงใหญ่ซึ่งน่าจะเคลื่อนไหวเชื่องช้า กลับปิดฉากสถานการณ์เลวร้ายที่กำลังจะลุกลามได้อย่างไม่คาดคิด  เขาโยนปืนในมือพร้อมกับเตะอีกกระบอกบนพื้นไปทางเด็กอู่  พวกนั้นหุบปากหวอลง ทั้งกระโดดรับและก้มลงเก็บปืนที่พื้นอีกกระบอกอย่างรู้นัยคนส่งมาให้

                  ร่างสันทัดฝ่ายบุกรุกหันไปประจัญหน้ากับร่างสูงในชุดดำ  แม้ความต่างในส่วนสูงจะดูประหนึ่งนักมวยคนละรุ่น  แต่โจ้แน่ใจว่า  นักมวยรุ่นเล็กกว่าไม่มีอาการหวั่นเกรงแต่อย่างใด  ทั้งคู่ยืนสบตากันนิ่งเงียบ  ร่างเล็กซึ่งยืนจังก้าท้าทายร่างสูงใหญ่อยู่นั้น ดูคล้ายกับเสือสมิงอันธพาลตัวหนึ่ง กำลังรอการประลองกำลังอยู่กับสิงโตนิรนามอีกตัวอย่างไม่เกรงขาม

                  แล้วการทักทายจากเสือสมิงก็เปิดฉากขึ้น ‼

                  มันก้าวเพียงหนึ่งขยับ ก่อนสปริงตัวหมุนตวัดเท้าใส่ร่างสูง  ทว่า  ร่างสูงกว่าเตรียมพร้อมรับการจู่โจมอยู่แล้ว ลำตัวท่อนบนในระดับซึ่งต้องกระโดดเข้าใส่เอนโยกหลบลูกเตะ‘แบ็กคิก’ไปได้อย่างฉิวเฉียด  แล้วพอสองเท้าคนเปิดฉากแตะลงพื้น  ลูกเตะอีกท่าก็ทำงาน

                  โจ้จ้องมองร่างในขุดดำถอยหลบลูกเตะ‘จุดพลุ’  หนึ่ง !  สอง ! สาม ! สี่ ! อย่างระทึกใจ  คนซึ่งดูเสมือนเสียเปรียบช่วงตัวเปลี่ยนเป็นตวัดเตะจากล่างขึ้นบนลูกแล้วลูกเล่าทั้งซ้ายขวา แต่ก็ยังไม่สามารถสัมผัสเป้าใดๆของอีกฝ่ายได้

                  พอตั้งตัวยืนตรง เสือสมิงอันธพาลเปลี่ยนอาวุธรุกเป็นสองกรงเล็บแทน  ท่อนแขนและนิ้วแข็งแกร่งสะบัดเข้าใส่เป้าใบหน้าคู่ต่อสู้อย่างสัมพันธ์กับจังหวะก้าวเท้า  ท่วงท่าราวกับเสือตะกายฟ้านั้น  ก็ทำได้แค่ตะกายฟ้าจริงๆ เมื่ออีกฝ่ายปัดท่อนแขนและข้อมือเบี่ยงพ้นออกไปได้ทุกจังหวะ

                  จามรนึกออกแล้วว่า ไอ้หมอนี่มันเป็นใคร? มันคือคนที่ปะมือกับเมฆามาแล้วในคืนแข่งขันรถบิ๊กไบค์เจ้าหนุ่มโจ้นั่นเอง  มิน่าล่ะ  ท่วงท่าการเคลี่ยนไหวแบบนี้มันถึงได้คุ้นตานัก

                  นิ้วมือซึ่งขมวดแน่นเป็นตะกร้อเหล็กของเขาคลายเหยียดออกเป็นแผ่นเหล็กแทน  มันพร้อมแล้วกับการรับแรงปะทะเพื่อผสานแรงต้าน  ทุกครั้งที่ฝ่ามือของฝ่ายตรงข้ามแหวกอากาศเข้ามาหา  จามรยกแผ่นเหล็กรับด้วยการออกแรงต้านกลับไปทุกครั้ง  ซ้าย ! ขวา !   ซ้าย ! ขวา !   ซ้าย !

                  แล้วจังหวะที่เขารอคอยก็มาถึง

                  ‘.... จังหวะซึ่งเรากระหน่ำใส่คู่ต่อสู่  การเคลื่อนไหวที่ปราศจากสมาธิจะทำให้เตลิดไปกับความย่ามใจเสมอ  และความย่ามใจนั้นก็มักจะมาพร้อมกับช่องไหว่เสมอ เช่นกัน ....’  จามรนึกถึงคำสอนซึ่งตัวเองย้ำนักย้ำหนากับลูกน้องที่เขาฝึกฝนมากับมือทุกคน

                  คู่ปรับเก่าเมฆา  มันเริ่มพลาดแล้ว..

                  เพราะความย่ามใจของมันนั่นเอง

                  เพียงจามรถอยคร่อมจังหวะมันก็ผิดระยะก้าวตาม  ข้อมือขวาซึ่งเหวี่ยงเข้าปะทะสันมือเขามาตลอด ครั้งนี้ล่วงล้ำเกินหนึ่งคืบเสียแล้ว  ช่วงแขนของมันจึงกระทบกับสันมือซ้ายของจามรก่อนจะถูกตะปบล็อคราวกับโดนคีมเหล็กงับเข้าเต็มแขน  มันชะงักไปในเสี้ยววินาที แต่นั่นเพียงพอแล้วสำหรับจามร

                  แรงตลบบิดแขนทำให้ร่างสันทัดนั้นแอ่นอก..  แหงนหน้า..  เปิดคอ..

                  ฉึก ‼

                  แผ่นเหล็กคว่ำด้านตัดอากาศเป็นแนวขนาน  มันพุ่งปะทะเข้าตำแหน่งกล่องเสียงอย่างรุนแรง แรงจนส่งร่างสันทัดล้มลงแน่นิ่งไปกับพื้นเบื้องหน้าตรงนั้นเอง!

                  เด็กอู่ซึ่งหายใจทางปากมาตลอดค่อยๆงับปากลง โจ้กับช่างจรัลก็เพิ่งหุบปากลงเช่นกัน



                  จามรเหลือบมองชายสองคนบนพื้น  คนแขนเจ็บนั่งเหยียดขากุมคอมองมายังเขาด้วยสายตาหวาดหวั่น อีกคนนอนหงายไม่ไหวติงเช่นเดียวกับร่างของเสือสมิงสิ้นเขี้ยวเล็บข้างๆ

                  “นายตกเป็นเป้าของคนพวกนี้แล้วล่ะไอ้น้อง” จามรหันไปพูดกับโจ้

                  เด็กหนุ่มเจ้าของอู่มองคนร่างสูงใหญ่เลิ่กลั่ก “ เอ่อ .... คนพวกนี้เป็นใครเหรอครับ”

                  จามรหันไปมองคนเจ็บที่ยังมีสติอยู่แล้วหันกลับมาพูดกับโจ้ “ช่างมันเถอะ เอาเป็นว่า.. ตอนนี้พวกเรามัดมือไอ้นี่ไพล่หลังก่อน” เขาชี้มือไปยังคนที่พูดถึง “แล้วเอาตัวพวกมันทั้งหมดขึ้นรถพวกมันไปส่งที่พลุกพล่านที่ไหนสักแห่ง  ป่ะ  รีบกันเลย  ก่อนที่ไอ้สองคนนี้มันจะฟื้น”

                  “เอ๊า ! พวกเราช่วยกันเลย” ช่างจรัลสั่งอีกคน

                  แค่เพียงไม่ถึงสิบนาที  ชายซึ่งยังมีสติอยู่ก็ถูกมัดมือมัดปากส่งขึ้นยังที่นั่งข้างคนขับ  มันถูกคาดเข็มขัดนิรภัยล็อคตัวอีกชั้น โดยมีร่างหมดสติของเพื่อนและลูกพี่ถูกยัดขึ้นมาในเบาะหลัง  คนหมดสติทั้งสองไม่ได้ถูกมัดมือมัดปากแต่อย่างใด  คล้ายกับต้องการให้ฟื้นขึ้นมาในแบบปกติโดยไม่มีใครหวั่นเกรงพิษสงของพวกมันอีกแล้ว

                  คงเป็นอย่างนั้นแน่  เพราะไอ้คนร่างยักษ์มันออกคำสั่งชัดเจนเอาไว้ว่า  ‘..หากพวกแกฟื้นและกลับรังตัวเองแล้ว อย่าคิดบุกรุกมาที่นี่อีก ถ้ายังบังอาจมาใหม่ พวกแกจะไม่ได้กลับออกไปจากอู่แม้แต่คนเดียว..’
                  
                  mึงเป็นใครกันวะ ?  ไอ้ยักษ์‼  ไอ้คนมีสติอยู่ ถามตัวเองในใจ



(มีต่อ)
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่