ความเดิมจากตอนที่แล้ว
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้https://ppantip.com/topic/36695065 ** บทนำ **
https://ppantip.com/topic/36707713 1 ** หน่วยเหยี่ยวพิฆาต **
https://ppantip.com/topic/36722529 2 ** ลางร้าย **
https://ppantip.com/topic/36739946 3 ** ตัวเชื่อมโยง **
https://ppantip.com/topic/36754111 4 ** เรียกตัว **
https://ppantip.com/topic/36768151 5 ** พร้อมหน้า **
https://ppantip.com/topic/36781641 6 ** ชายชราผมดอกเลา**
https://ppantip.com/topic/36798608 7 ** เตรียมแผนการ **
https://ppantip.com/topic/36823217 8 ** เป็นไปตามแผน **
https://ppantip.com/topic/36846614 9 ** พร้อมรับมือ **
10
** ร่องรอยเรื่องราว **
คลิ๊ก ‼
ไอ้คนคล้องแขนขวาใช้มืออีกข้างควักอาวุธออกมาง้างนก มันยื่นปากกระบอกปืน.38 ใส่กลางใบหน้าของโจ้ “บอกให้พวกนั้น
อยู่ห่างๆซิ”
โจ้หันไปบอกโดยไม่รอช้า “ใจเย็นๆพวกเรา ใจเย็น” ช่างประจำอู่ของเขาเบรคเท้าพรืด หัวใจโจ้เต้นแรง ไม่เข้าใจกับเหตุการณ์ เข้าใจแค่ว่าถ้าไม่ทำตามคนพวกนี้สั่ง มันต้องมีอะไรรุนแรงเกิดขึ้นแน่
“ค่อยๆพูดค่อยๆจากันก็ได้นี่หว่า” ช่างจรัลยังมีสติอยู่และดูคล้ายพูดเป็นปกติ “ทำไมต้องใช้อาวุธกันด้วย”
“หมดเวลาห้านาทีแล้วว่ะพรรคพวก‼”
เสียงใครอีกคนดังห้าวขึ้นทางด้านข้างผู้บุกรุก มันทั้งสามหันกลับไปมอง โจ้และช่างจรัลอีกทั้งเด็กอู่ก็หันไปมองตาม ชายร่างสูงใหญ่ในชุดกางเกงยีนส์เสื้อแจ็คเก็ตสีดำปรากฎอยู่ในสายตาไม่ไกล
“มีคนเสือgอีกจนได้ว่ะ” คนถือปืนสบถ มันหันมามองอีกคนซึ่งดูจะเป็นจ่าฝูง “ยิงกบาลมันเลยมั๊ยลูกพี่?”
ที่จริงแล้วมันไม่ได้คิดจะขออนุญาตแต่อย่างใดเพราะมันตัดสินใจเองได้อยู่แล้ว ทว่าแสร้งเบี่ยงเบนอะไรชั่วขณะเท่านั้นเอง และชั่ววิบตา มันวาดวงแขนเปลี่ยนเป้าไปหาร่างของคนมาใหม่ในทันที
โจ้มองเห็นร่างชุดดำเคลื่อนตัวอย่างรวดเร็ว มือขวาซึ่งตะปบเข้าหาปืนพกของไอ้คนแขนเจ็บ บัดนี้มันล็อคอยู่กับสันปืนนิ่งสนิทแทบไม่ไหวติง เสี้ยววินาทีต่อเนื่องกัน ปืน.38 ก็ถูกสะบัดปลายกระบอกขึ้นข้างบน
เปรี้ยง ‼
กระสุนหนึ่งนัดแผดเสียงขึ้น พร้อมๆกับสันมือซ้ายผู้จู่โจมฟันเข้าต้นคอผู้ถือปืนอย่างหนักหน่วง
ฉึก ‼
ร่างเจ้าของปืนถลาออกไปล้มหงายแทบเท้าเด็กอู่ด้านข้าง
อีกคนชักปืนของตัวเองบ้าง มันคงคิดว่าตัวเองรวดเร็วแล้ว แต่เปล่าเลย สันมือซึ่งสยบเพื่อนมันไปก่อนหน้ากลับเคลื่อนไหวรวดเร็วกว่า นิ้วงอพับเสมือนแผ่นเหล็กฟาดเข้าชายโครงใต้ราวนมมันอย่างรุนแรง
ความเจ็บปวดทะลักล้นแทบหลุดแหกปาก แต่ความจุกสกัดเสียงร้องของมันเอาไว้ และมันก็ไม่มีโอกาสได้ส่งเสียงใดๆอีกแล้วเมื่อส้นรองเท้าหนังข้างหนึ่งสะบัดเข้าเต็มจุดทัดดอกไม้
ผลั๊วะ ‼
เสียงไม่ต่างกันเลยกับลูกมะพร้าวไร้เปลือก ถูกหวดด้วยด้ามพร้า ‼
อะไรกัน? โจ้ตะลึง
แค่วิบตาเดียว ชายร่างสูงใหญ่ซึ่งน่าจะเคลื่อนไหวเชื่องช้า กลับปิดฉากสถานการณ์เลวร้ายที่กำลังจะลุกลามได้อย่างไม่คาดคิด เขาโยนปืนในมือพร้อมกับเตะอีกกระบอกบนพื้นไปทางเด็กอู่ พวกนั้นหุบปากหวอลง ทั้งกระโดดรับและก้มลงเก็บปืนที่พื้นอีกกระบอกอย่างรู้นัยคนส่งมาให้
ร่างสันทัดฝ่ายบุกรุกหันไปประจัญหน้ากับร่างสูงในชุดดำ แม้ความต่างในส่วนสูงจะดูประหนึ่งนักมวยคนละรุ่น แต่โจ้แน่ใจว่า นักมวยรุ่นเล็กกว่าไม่มีอาการหวั่นเกรงแต่อย่างใด ทั้งคู่ยืนสบตากันนิ่งเงียบ ร่างเล็กซึ่งยืนจังก้าท้าทายร่างสูงใหญ่อยู่นั้น ดูคล้ายกับเสือสมิงอันธพาลตัวหนึ่ง กำลังรอการประลองกำลังอยู่กับสิงโตนิรนามอีกตัวอย่างไม่เกรงขาม
แล้วการทักทายจากเสือสมิงก็เปิดฉากขึ้น ‼
มันก้าวเพียงหนึ่งขยับ ก่อนสปริงตัวหมุนตวัดเท้าใส่ร่างสูง ทว่า ร่างสูงกว่าเตรียมพร้อมรับการจู่โจมอยู่แล้ว ลำตัวท่อนบนในระดับซึ่งต้องกระโดดเข้าใส่เอนโยกหลบลูกเตะ‘แบ็กคิก’ไปได้อย่างฉิวเฉียด แล้วพอสองเท้าคนเปิดฉากแตะลงพื้น ลูกเตะอีกท่าก็ทำงาน
โจ้จ้องมองร่างในขุดดำถอยหลบลูกเตะ‘จุดพลุ’ หนึ่ง ! สอง ! สาม ! สี่ ! อย่างระทึกใจ คนซึ่งดูเสมือนเสียเปรียบช่วงตัวเปลี่ยนเป็นตวัดเตะจากล่างขึ้นบนลูกแล้วลูกเล่าทั้งซ้ายขวา แต่ก็ยังไม่สามารถสัมผัสเป้าใดๆของอีกฝ่ายได้
พอตั้งตัวยืนตรง เสือสมิงอันธพาลเปลี่ยนอาวุธรุกเป็นสองกรงเล็บแทน ท่อนแขนและนิ้วแข็งแกร่งสะบัดเข้าใส่เป้าใบหน้าคู่ต่อสู้อย่างสัมพันธ์กับจังหวะก้าวเท้า ท่วงท่าราวกับเสือตะกายฟ้านั้น ก็ทำได้แค่ตะกายฟ้าจริงๆ เมื่ออีกฝ่ายปัดท่อนแขนและข้อมือเบี่ยงพ้นออกไปได้ทุกจังหวะ
จามรนึกออกแล้วว่า ไอ้หมอนี่มันเป็นใคร? มันคือคนที่ปะมือกับเมฆามาแล้วในคืนแข่งขันรถบิ๊กไบค์เจ้าหนุ่มโจ้นั่นเอง มิน่าล่ะ ท่วงท่าการเคลี่ยนไหวแบบนี้มันถึงได้คุ้นตานัก
นิ้วมือซึ่งขมวดแน่นเป็นตะกร้อเหล็กของเขาคลายเหยียดออกเป็นแผ่นเหล็กแทน มันพร้อมแล้วกับการรับแรงปะทะเพื่อผสานแรงต้าน ทุกครั้งที่ฝ่ามือของฝ่ายตรงข้ามแหวกอากาศเข้ามาหา จามรยกแผ่นเหล็กรับด้วยการออกแรงต้านกลับไปทุกครั้ง ซ้าย ! ขวา ! ซ้าย ! ขวา ! ซ้าย !
แล้วจังหวะที่เขารอคอยก็มาถึง
‘....
จังหวะซึ่งเรากระหน่ำใส่คู่ต่อสู่ การเคลื่อนไหวที่ปราศจากสมาธิจะทำให้เตลิดไปกับความย่ามใจเสมอ และความย่ามใจนั้นก็มักจะมาพร้อมกับช่องไหว่เสมอ เช่นกัน ....’ จามรนึกถึงคำสอนซึ่งตัวเองย้ำนักย้ำหนากับลูกน้องที่เขาฝึกฝนมากับมือทุกคน
คู่ปรับเก่าเมฆา มันเริ่มพลาดแล้ว
..
เพราะความย่ามใจของมันนั่นเอง
เพียงจามรถอยคร่อมจังหวะมันก็ผิดระยะก้าวตาม ข้อมือขวาซึ่งเหวี่ยงเข้าปะทะสันมือเขามาตลอด ครั้งนี้ล่วงล้ำเกินหนึ่งคืบเสียแล้ว ช่วงแขนของมันจึงกระทบกับสันมือซ้ายของจามรก่อนจะถูกตะปบล็อคราวกับโดนคีมเหล็กงับเข้าเต็มแขน มันชะงักไปในเสี้ยววินาที แต่นั่นเพียงพอแล้วสำหรับจามร
แรงตลบบิดแขนทำให้ร่างสันทัดนั้นแอ่นอก
.. แหงนหน้า
.. เปิดคอ
..
ฉึก ‼
แผ่นเหล็กคว่ำด้านตัดอากาศเป็นแนวขนาน มันพุ่งปะทะเข้าตำแหน่งกล่องเสียงอย่างรุนแรง แรงจนส่งร่างสันทัดล้มลงแน่นิ่งไปกับพื้นเบื้องหน้าตรงนั้นเอง!
เด็กอู่ซึ่งหายใจทางปากมาตลอดค่อยๆงับปากลง โจ้กับช่างจรัลก็เพิ่งหุบปากลงเช่นกัน
จามรเหลือบมองชายสองคนบนพื้น คนแขนเจ็บนั่งเหยียดขากุมคอมองมายังเขาด้วยสายตาหวาดหวั่น อีกคนนอนหงายไม่ไหวติงเช่นเดียวกับร่างของเสือสมิงสิ้นเขี้ยวเล็บข้างๆ
“นายตกเป็นเป้าของคนพวกนี้แล้วล่ะไอ้น้อง” จามรหันไปพูดกับโจ้
เด็กหนุ่มเจ้าของอู่มองคนร่างสูงใหญ่เลิ่กลั่ก “ เอ่อ .... คนพวกนี้เป็นใครเหรอครับ”
จามรหันไปมองคนเจ็บที่ยังมีสติอยู่แล้วหันกลับมาพูดกับโจ้ “ช่างมันเถอะ เอาเป็นว่า.. ตอนนี้พวกเรามัดมือไอ้นี่ไพล่หลังก่อน” เขาชี้มือไปยังคนที่พูดถึง “แล้วเอาตัวพวกมันทั้งหมดขึ้นรถพวกมันไปส่งที่พลุกพล่านที่ไหนสักแห่ง ป่ะ รีบกันเลย ก่อนที่ไอ้สองคนนี้มันจะฟื้น”
“เอ๊า ! พวกเราช่วยกันเลย” ช่างจรัลสั่งอีกคน
แค่เพียงไม่ถึงสิบนาที ชายซึ่งยังมีสติอยู่ก็ถูกมัดมือมัดปากส่งขึ้นยังที่นั่งข้างคนขับ มันถูกคาดเข็มขัดนิรภัยล็อคตัวอีกชั้น โดยมีร่างหมดสติของเพื่อนและลูกพี่ถูกยัดขึ้นมาในเบาะหลัง คนหมดสติทั้งสองไม่ได้ถูกมัดมือมัดปากแต่อย่างใด คล้ายกับต้องการให้ฟื้นขึ้นมาในแบบปกติโดยไม่มีใครหวั่นเกรงพิษสงของพวกมันอีกแล้ว
คงเป็นอย่างนั้นแน่ เพราะไอ้คนร่างยักษ์มันออกคำสั่งชัดเจนเอาไว้ว่า ‘..หากพวกแกฟื้นและกลับรังตัวเองแล้ว อย่าคิดบุกรุกมาที่นี่อีก ถ้ายังบังอาจมาใหม่ พวกแกจะไม่ได้กลับออกไปจากอู่แม้แต่คนเดียว..’
mึงเป็นใครกันวะ ? ไอ้ยักษ์‼ ไอ้คนมีสติอยู่ ถามตัวเองในใจ
(มีต่อ)
๏ ล่าสะท้านเมือง ๏ บทที่ 10
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
** ร่องรอยเรื่องราว **
คลิ๊ก ‼
ไอ้คนคล้องแขนขวาใช้มืออีกข้างควักอาวุธออกมาง้างนก มันยื่นปากกระบอกปืน.38 ใส่กลางใบหน้าของโจ้ “บอกให้พวกนั้น
อยู่ห่างๆซิ”
โจ้หันไปบอกโดยไม่รอช้า “ใจเย็นๆพวกเรา ใจเย็น” ช่างประจำอู่ของเขาเบรคเท้าพรืด หัวใจโจ้เต้นแรง ไม่เข้าใจกับเหตุการณ์ เข้าใจแค่ว่าถ้าไม่ทำตามคนพวกนี้สั่ง มันต้องมีอะไรรุนแรงเกิดขึ้นแน่
“ค่อยๆพูดค่อยๆจากันก็ได้นี่หว่า” ช่างจรัลยังมีสติอยู่และดูคล้ายพูดเป็นปกติ “ทำไมต้องใช้อาวุธกันด้วย”
“หมดเวลาห้านาทีแล้วว่ะพรรคพวก‼”
เสียงใครอีกคนดังห้าวขึ้นทางด้านข้างผู้บุกรุก มันทั้งสามหันกลับไปมอง โจ้และช่างจรัลอีกทั้งเด็กอู่ก็หันไปมองตาม ชายร่างสูงใหญ่ในชุดกางเกงยีนส์เสื้อแจ็คเก็ตสีดำปรากฎอยู่ในสายตาไม่ไกล
“มีคนเสือgอีกจนได้ว่ะ” คนถือปืนสบถ มันหันมามองอีกคนซึ่งดูจะเป็นจ่าฝูง “ยิงกบาลมันเลยมั๊ยลูกพี่?”
ที่จริงแล้วมันไม่ได้คิดจะขออนุญาตแต่อย่างใดเพราะมันตัดสินใจเองได้อยู่แล้ว ทว่าแสร้งเบี่ยงเบนอะไรชั่วขณะเท่านั้นเอง และชั่ววิบตา มันวาดวงแขนเปลี่ยนเป้าไปหาร่างของคนมาใหม่ในทันที
โจ้มองเห็นร่างชุดดำเคลื่อนตัวอย่างรวดเร็ว มือขวาซึ่งตะปบเข้าหาปืนพกของไอ้คนแขนเจ็บ บัดนี้มันล็อคอยู่กับสันปืนนิ่งสนิทแทบไม่ไหวติง เสี้ยววินาทีต่อเนื่องกัน ปืน.38 ก็ถูกสะบัดปลายกระบอกขึ้นข้างบน
เปรี้ยง ‼
กระสุนหนึ่งนัดแผดเสียงขึ้น พร้อมๆกับสันมือซ้ายผู้จู่โจมฟันเข้าต้นคอผู้ถือปืนอย่างหนักหน่วง
ฉึก ‼
ร่างเจ้าของปืนถลาออกไปล้มหงายแทบเท้าเด็กอู่ด้านข้าง
อีกคนชักปืนของตัวเองบ้าง มันคงคิดว่าตัวเองรวดเร็วแล้ว แต่เปล่าเลย สันมือซึ่งสยบเพื่อนมันไปก่อนหน้ากลับเคลื่อนไหวรวดเร็วกว่า นิ้วงอพับเสมือนแผ่นเหล็กฟาดเข้าชายโครงใต้ราวนมมันอย่างรุนแรง
ความเจ็บปวดทะลักล้นแทบหลุดแหกปาก แต่ความจุกสกัดเสียงร้องของมันเอาไว้ และมันก็ไม่มีโอกาสได้ส่งเสียงใดๆอีกแล้วเมื่อส้นรองเท้าหนังข้างหนึ่งสะบัดเข้าเต็มจุดทัดดอกไม้
ผลั๊วะ ‼
เสียงไม่ต่างกันเลยกับลูกมะพร้าวไร้เปลือก ถูกหวดด้วยด้ามพร้า ‼
อะไรกัน? โจ้ตะลึง
แค่วิบตาเดียว ชายร่างสูงใหญ่ซึ่งน่าจะเคลื่อนไหวเชื่องช้า กลับปิดฉากสถานการณ์เลวร้ายที่กำลังจะลุกลามได้อย่างไม่คาดคิด เขาโยนปืนในมือพร้อมกับเตะอีกกระบอกบนพื้นไปทางเด็กอู่ พวกนั้นหุบปากหวอลง ทั้งกระโดดรับและก้มลงเก็บปืนที่พื้นอีกกระบอกอย่างรู้นัยคนส่งมาให้
ร่างสันทัดฝ่ายบุกรุกหันไปประจัญหน้ากับร่างสูงในชุดดำ แม้ความต่างในส่วนสูงจะดูประหนึ่งนักมวยคนละรุ่น แต่โจ้แน่ใจว่า นักมวยรุ่นเล็กกว่าไม่มีอาการหวั่นเกรงแต่อย่างใด ทั้งคู่ยืนสบตากันนิ่งเงียบ ร่างเล็กซึ่งยืนจังก้าท้าทายร่างสูงใหญ่อยู่นั้น ดูคล้ายกับเสือสมิงอันธพาลตัวหนึ่ง กำลังรอการประลองกำลังอยู่กับสิงโตนิรนามอีกตัวอย่างไม่เกรงขาม
แล้วการทักทายจากเสือสมิงก็เปิดฉากขึ้น ‼
มันก้าวเพียงหนึ่งขยับ ก่อนสปริงตัวหมุนตวัดเท้าใส่ร่างสูง ทว่า ร่างสูงกว่าเตรียมพร้อมรับการจู่โจมอยู่แล้ว ลำตัวท่อนบนในระดับซึ่งต้องกระโดดเข้าใส่เอนโยกหลบลูกเตะ‘แบ็กคิก’ไปได้อย่างฉิวเฉียด แล้วพอสองเท้าคนเปิดฉากแตะลงพื้น ลูกเตะอีกท่าก็ทำงาน
โจ้จ้องมองร่างในขุดดำถอยหลบลูกเตะ‘จุดพลุ’ หนึ่ง ! สอง ! สาม ! สี่ ! อย่างระทึกใจ คนซึ่งดูเสมือนเสียเปรียบช่วงตัวเปลี่ยนเป็นตวัดเตะจากล่างขึ้นบนลูกแล้วลูกเล่าทั้งซ้ายขวา แต่ก็ยังไม่สามารถสัมผัสเป้าใดๆของอีกฝ่ายได้
พอตั้งตัวยืนตรง เสือสมิงอันธพาลเปลี่ยนอาวุธรุกเป็นสองกรงเล็บแทน ท่อนแขนและนิ้วแข็งแกร่งสะบัดเข้าใส่เป้าใบหน้าคู่ต่อสู้อย่างสัมพันธ์กับจังหวะก้าวเท้า ท่วงท่าราวกับเสือตะกายฟ้านั้น ก็ทำได้แค่ตะกายฟ้าจริงๆ เมื่ออีกฝ่ายปัดท่อนแขนและข้อมือเบี่ยงพ้นออกไปได้ทุกจังหวะ
จามรนึกออกแล้วว่า ไอ้หมอนี่มันเป็นใคร? มันคือคนที่ปะมือกับเมฆามาแล้วในคืนแข่งขันรถบิ๊กไบค์เจ้าหนุ่มโจ้นั่นเอง มิน่าล่ะ ท่วงท่าการเคลี่ยนไหวแบบนี้มันถึงได้คุ้นตานัก
นิ้วมือซึ่งขมวดแน่นเป็นตะกร้อเหล็กของเขาคลายเหยียดออกเป็นแผ่นเหล็กแทน มันพร้อมแล้วกับการรับแรงปะทะเพื่อผสานแรงต้าน ทุกครั้งที่ฝ่ามือของฝ่ายตรงข้ามแหวกอากาศเข้ามาหา จามรยกแผ่นเหล็กรับด้วยการออกแรงต้านกลับไปทุกครั้ง ซ้าย ! ขวา ! ซ้าย ! ขวา ! ซ้าย !
แล้วจังหวะที่เขารอคอยก็มาถึง
‘.... จังหวะซึ่งเรากระหน่ำใส่คู่ต่อสู่ การเคลื่อนไหวที่ปราศจากสมาธิจะทำให้เตลิดไปกับความย่ามใจเสมอ และความย่ามใจนั้นก็มักจะมาพร้อมกับช่องไหว่เสมอ เช่นกัน ....’ จามรนึกถึงคำสอนซึ่งตัวเองย้ำนักย้ำหนากับลูกน้องที่เขาฝึกฝนมากับมือทุกคน
คู่ปรับเก่าเมฆา มันเริ่มพลาดแล้ว..
เพราะความย่ามใจของมันนั่นเอง
เพียงจามรถอยคร่อมจังหวะมันก็ผิดระยะก้าวตาม ข้อมือขวาซึ่งเหวี่ยงเข้าปะทะสันมือเขามาตลอด ครั้งนี้ล่วงล้ำเกินหนึ่งคืบเสียแล้ว ช่วงแขนของมันจึงกระทบกับสันมือซ้ายของจามรก่อนจะถูกตะปบล็อคราวกับโดนคีมเหล็กงับเข้าเต็มแขน มันชะงักไปในเสี้ยววินาที แต่นั่นเพียงพอแล้วสำหรับจามร
แรงตลบบิดแขนทำให้ร่างสันทัดนั้นแอ่นอก.. แหงนหน้า.. เปิดคอ..
ฉึก ‼
แผ่นเหล็กคว่ำด้านตัดอากาศเป็นแนวขนาน มันพุ่งปะทะเข้าตำแหน่งกล่องเสียงอย่างรุนแรง แรงจนส่งร่างสันทัดล้มลงแน่นิ่งไปกับพื้นเบื้องหน้าตรงนั้นเอง!
เด็กอู่ซึ่งหายใจทางปากมาตลอดค่อยๆงับปากลง โจ้กับช่างจรัลก็เพิ่งหุบปากลงเช่นกัน
จามรเหลือบมองชายสองคนบนพื้น คนแขนเจ็บนั่งเหยียดขากุมคอมองมายังเขาด้วยสายตาหวาดหวั่น อีกคนนอนหงายไม่ไหวติงเช่นเดียวกับร่างของเสือสมิงสิ้นเขี้ยวเล็บข้างๆ
“นายตกเป็นเป้าของคนพวกนี้แล้วล่ะไอ้น้อง” จามรหันไปพูดกับโจ้
เด็กหนุ่มเจ้าของอู่มองคนร่างสูงใหญ่เลิ่กลั่ก “ เอ่อ .... คนพวกนี้เป็นใครเหรอครับ”
จามรหันไปมองคนเจ็บที่ยังมีสติอยู่แล้วหันกลับมาพูดกับโจ้ “ช่างมันเถอะ เอาเป็นว่า.. ตอนนี้พวกเรามัดมือไอ้นี่ไพล่หลังก่อน” เขาชี้มือไปยังคนที่พูดถึง “แล้วเอาตัวพวกมันทั้งหมดขึ้นรถพวกมันไปส่งที่พลุกพล่านที่ไหนสักแห่ง ป่ะ รีบกันเลย ก่อนที่ไอ้สองคนนี้มันจะฟื้น”
“เอ๊า ! พวกเราช่วยกันเลย” ช่างจรัลสั่งอีกคน
แค่เพียงไม่ถึงสิบนาที ชายซึ่งยังมีสติอยู่ก็ถูกมัดมือมัดปากส่งขึ้นยังที่นั่งข้างคนขับ มันถูกคาดเข็มขัดนิรภัยล็อคตัวอีกชั้น โดยมีร่างหมดสติของเพื่อนและลูกพี่ถูกยัดขึ้นมาในเบาะหลัง คนหมดสติทั้งสองไม่ได้ถูกมัดมือมัดปากแต่อย่างใด คล้ายกับต้องการให้ฟื้นขึ้นมาในแบบปกติโดยไม่มีใครหวั่นเกรงพิษสงของพวกมันอีกแล้ว
คงเป็นอย่างนั้นแน่ เพราะไอ้คนร่างยักษ์มันออกคำสั่งชัดเจนเอาไว้ว่า ‘..หากพวกแกฟื้นและกลับรังตัวเองแล้ว อย่าคิดบุกรุกมาที่นี่อีก ถ้ายังบังอาจมาใหม่ พวกแกจะไม่ได้กลับออกไปจากอู่แม้แต่คนเดียว..’
mึงเป็นใครกันวะ ? ไอ้ยักษ์‼ ไอ้คนมีสติอยู่ ถามตัวเองในใจ
(มีต่อ)