๏ ล่าสะท้านเมือง ๏ บทที่ 11

กระทู้สนทนา
ความเดิมจากตอนที่แล้ว
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้

11

** หยั่งเชิง **



                  ... โกดังกว้างขวาง  หลังคายกสูงคล้ายโรงยิมเนเซียมสำหรับใช้แข่งขันกีฬาในร่ม    ณ เวลานี้ การแข่งขันแบบไร้คนดู  ไร้กองเชียร์  และไร้กระทั่งกรรมการกำลังขมวดความระห่ำเข้ามาทุกขณะในช่วงใกล้หมดเวลา  สองทีมปะทะกันดุเดือดยิ่งขึ้น  ท่ามกลางสิ่งกีดขวางระเกะระกะไปด้วยลังไม้น้อยใหญ่เสมือนค่ายกล  หลายด่านค่ายกลเละเทะเสียรูปทรง  เพราะเจออาวุธซึ่งใช้ในการแข่งขันฉีกกระจุยปลิวว่อนเป็นเศษเล็กเศษน้อย

                  และแล้ว  เสียงข่มขวัญจากอาวุธทีมเยือนชนิดหนึ่งก็แผดสนั่นขึ้น

                  บึ้ม ‼

                  สิ้นเสียงทึบบีบหัวใจ  ปรากฎกลุ่มควันสีขาวหนาแน่นเป็นก้อนเมฆตามมาในทันที ทางฟากพื้นที่ตั้งรับของทีมเหย้า

                  ‘แต้ม ’อาศัยจังหวะนั้นเปลี่ยนตำแหน่ง  เด็กหนุ่มม้วนร่างบอบบางกลิ้งตัวไปข้างหน้า  ลุกขึ้นแนบหลังกับลังไม้ใบใหม่ และเปลี่ยนไปอีกลัง และอีกลังเมื่อได้จังหวะยามเมื่อเสียงปืนเว้นวรรคหยุดหายใจในแต่ละครั้ง

                  เขามองเห็นกรอบช่องประตูเล็กอยู่ไม่ไกลจากสายตา  ตรงนั้นมีคนของอาเจ็กหลิวเกาสองคนนั่งบังเหลี่ยมกรอบประตูคนละข้าง  ทั้งสองนั่งคุกเข่าข้างหนึ่ง ประทับปืนขึ้นกระหน่ำโต้กลับเมื่อฝ่ายตรงข้ามเงียบเสียง

                  แล้ว...   ประกายไฟจากปากกระบอกปืนทีมเยือนก็สาดเข้ามาระลอกใหม่เมื่อฝ่ายตั้งรับหยุดสำลักควันไอขรม  แต้มมองเห็นกลุ่มคนสวมหมวกจ็อกกี้ซึ่งตอนนี้คาดหน้ากากปิดจมูกคล้ายหมาจิ้งจอกผีรุกคืบเข้ามา  ละอองควันกลิ่นฉุนปะทะจมูกเข้าเต็มๆ  แต้มปิดปากหลับตา หูได้ยินเสียงเรียกข้างๆ

                  ‘เอ๊า ‼  ไอ้หนุ่ม ’ ชายคนนั้นโยนผ้าเปียกน้ำเหมือนเตรียมไว้ล่วงหน้ามาให้เขา ‘อุดปากอุดจมูก  หลับตาไว้ ’ ไม่ต้องบอก แต้มก็ทำอย่างนั้นอยู่แล้ว  เด็กหนุ่มคว้าผ้าเปียกขึ้นโปะหน้าทันที  เสียงปืนชุดหลังคล้ายกับไม่มีการหยุดหายใจเสียแล้ว เพราะมันดังไม่ขาดตอนเลยแม้แต่เสี้ยววินาที  แต้มเคลื่อนไหวไปตามสัญชาตญาณเอาตัวรอดซึ่งมีพลังขับดันขึ้นมาอย่างไม่รู้ตัว  เขาแง้มผ้าเปียกน้ำมองทางและวิ่งก้มตัวเข้าหาช่องประตูเบื้องหน้าอย่างไม่คิดชีวิต

                  ปัง ‼  ปัง ‼  ปัง ‼  ปัง ‼  ปัง ‼

                  เขาพ้นวิถีกระสุนไล่หลังมาได้อย่างหวุดหวิด  ในขณะคนของอาเจ็กหลิวเกาผงะหมุนติ้วไปกับห่ากระสุนที่สาดตามหลังมา  แต้มไม่ใส่ใจ  สมองสั่งอยู่อย่างเดียวคือ  วิ่ง ‼   วิ่ง ‼   วิ่ง ‼  และขณะนี้ไม่รู้แล้วล่ะว่า น้ำชุ่มเสื้อของเขาเป็นน้ำอะไรบ้าง เพราะตอนนี้มันมีกลิ่นคาวของอะไรสักอย่างติดอกเสื้อมาด้วย

                  หลุดออกมาสู่ด้านนอกซอกทางเดินแคบ  แต้มจำได้ว่าห้องเล็กๆทางขวามือนั้น รถ‘มาสด้า RX 7 ’คู่ใจจอดรอเขาอยู่  มันเสร็จสิ้นกระบวนการ‘เปลี่ยนถ่าย’ของบางสิ่งบางอย่างเรียบร้อยแล้ว รอเพียงเขาขึ้นคล้องคอพามันวิ่งกลับบ้านเท่านั้นเอง

                  เพราะพื้นที่นี้เป็นถิ่นของทีมเจ้าบ้าน  ฉะนั้น  คนของอาเจ็กหลิวเกาจึงโผล่เสริมออกมาจากมุมมืดไม่ขาดสาย  แต่จำนวนของฝ่ายเจ้าถิ่นกลับลดน้อยลงไปทุกที  เมื่อปลิดปลิวร่วงลงราวกับใบไม้โดนปลิดขั้ว

                  แค่เห็นคนตายต่อหน้าต่อตาครั้งแรกในชีวิต นั่นก็ทำให้หัวใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัวแล้ว ตอนนี้แต้มยิ่งรู้สึกตัวว่า‘ฝ่ายของตัวเอง’  ใช่   ต้องเรียกอย่างนั้นจริงๆ  ฝ่ายของเขาเองกำลังตกเป็นฝ่ายถูกบีบเข้ามาทุกขณะ

                  มีชายอีกสองคนประชิดเข้ามาหาเขาเพื่อคุ้มกันให้  แต้มรู้ว่าเป็นพวกเดียวกันเพราะสองคนนั้นยิงโต้ตอบไปทางฝ่ายหน้ากากหมาจิ้งจอกผี  แต้มถอย  คนพวกนั้นก็ถอยหลังตาม  ถอยพลางสาดกระสุนพลาง แล้วแต้มก็มาถึงรถสปอร์ตสีน้ำเงินเทาของตัวเอง

                  เสียงเครื่องยนต์ซึ่งได้รับการปรับแต่งมาอย่างดีกระหึ่มขึ้น หลังจากแต้มมุดตัวเข้าประจำที่เรียบร้อย เขากะพริบตาหลายครั้งเพื่อไล่ความฝ้ามัวและแสบนัยน์ตา  ป้ายหน้าอีกหลายครั้งด้วยผ้าเปียกน้ำในมือ พร้อมทั้งพ่นจมูกฟึดฟาดขับไล่กลิ่นฉุนติดจมูกออกไป

                  สมาธิพร้อมแล้ว

                  มือประสานกับเท้า .. เท้าสัมพันธ์กับใจ

                  เอี๊ยดด....‼

                  แต้มพารถคู่ใจพุ่งไปตามทางแคบด้วยความเร็ว  เบื้องหน้าทางออกเปิดโล่งอย่างเป็นใจ

                  ทว่า

                  เบื้องหน้าไม่ไกลนั้น  เขามองเห็นชายหญิงคู่หนึ่งกำลังยกปืนพกเล็งดิ่งมายังกระจกหน้ารถ  วิถีเป้าของมันตรงกับกลางแสกหน้าเขาอย่างเห็นได้ชัด  แต้มหักขวาทันที‼

                  เขาเจอแท่นทางรถขึ้นราวกับปาฏิหาริย์ แต้มกุมพวงมาลัยแน่น ลดเกียร์ต่ำ กดแป้นคันเร่งสุดแรงเท้าเมื่อรถตะกุยขึ้นแท่นปูน‼

                  เฟี้ยวว.... ‼

                  เปรี้ยง ‼  ปัง ‼





                  “ฉันกับผู้กองตกตะลึงจนยิงพลาดด้วยกันทั้งคู่” น้ำเสียงของจ่าเอกพลแฝงไปด้วยความมันเขี้ยว “รถคันนั้นทะยานทะลุแผงรั้วเมทัลชีสผ่านไปต่อหน้าต่อตาเฉยเลย”

                  “หน่วยปอปอสอล้อมไว้หมดทุกทิศทุกทาง  แล้วตรงนั้นไม่มีใครเฝ้าเหรอ” นายสิบตำรวจธงรบถามขึ้น

                  จ่าเอกพลพยักหน้า “ใช่  ล้อมไว้จริง แต่ไม่มีใครสนใจเฝ้าจุดนั้นหรอก เพราะแผงแนวรั้วนั้นมีสิ่งเดียวที่จะกระโจนออกไปได้ก็คือไอ้รถผีระหํ่าคันนี้ล่ะ‼” เขาชี้ลงไปยังภาพบนโต๊ะซึ่งมีเด็กหนุ่มหน้าจีนยืนพิงแก้มรถถ่ายรูปเต็มตัวอยู่อย่างตั้งใจ “แล้วใครจะคาดคิดว่า จะมีคนบ้าดีเดือดพารถยนต์เหาะออกมาอย่างนั้น”

                  เหตุการณ์คืนนั้น ทุกสิ่งทุกอย่างเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วทุกเหตุการณ์  ประกอบกับความมืดผสมผสานอยู่แทบทุกจุดตามมุมอับและมุมสลัว  เอกพลจึงไม่แน่ใจว่า คืนนั้น คนที่ขับรถลอยผ่านหน้าเขากับผู้กองปรางค์ทิพย์ไป คือ‘ไอ้มดซิ่ง’ในรูปถ่ายนี้หรือไม่ แต่ที่แน่ๆ  รถคันนั้นคือรถมาสด้าสีน้ำเงินเทาคันนี้แน่นอน

                  โดยเฉพาะสปอยเลอร์ท้ายแสนสะดุดตา อย่างที่เขาเห็นอยู่ตรงหน้าขณะนี้

                  “แล้วจ่ากับผู้กองไม่จ๊ะเอ๋กับหน่วยปอปอสอเข้าเหรอ” คราวนี้เดชชาติถามขึ้น

                  “ไม่ได้เจอกันเลย” เอกพลเอ่ยชัดเจน “เพราะเรามัวแต่ไล่ตามไอ้รถผีออกไป ในขณะทีมของเราอีกห้าคนโผล่เข้ามาพอดี”


( **  MAZDA  RX 7  ** )



(มีต่อ)
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่