ต่อจาก หนังสือ คู่มือปฎิบัติวัดท่าซุง เล่ม 1 อานาปานุสสติกรรมฐาน ตอนที่ 18.1 https://ppantip.com/topic/43166958
อานาปานุสสติกรรมฐาน ตอนที่ 18.2
นอกจากนั้นผมเล่นเป็นกีฬาสมาธิของผม ปกติผมคนชอบจุกจิก ใครเขามีอะไร ใครเขาทำอะไรได้ ต้องคิดว่าเขากินข้าว เรากินข้าว เขามีมือมีเท้าอย่างละสิบนิ้ว เราก็มีมือมีเท้าอย่างละสิบนิ้ว เมื่อเขาทำได้เราต้องทำได้ ถ้าทำไม่ได้อย่างเขาให้มันตายไป เรื่องชีวิตถ้าไม่มีความสามารถ มันก็ไม่มีความหมาย ถ้าทำแล้วในขณะนั้น ถ้าผลยังไม่สำเร็จเพียงใด เราจะยอมตาย ยึดถือกำลังใจขององค์สมเด็จพระจอมไตร ขณะที่ทรงอธิษฐานจิตนั่งอยู่ที่โคนโพธิ์ ตอนนั้นองศ์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงคิดว่า
เราจะนั่งอยู่ตรงนี้ เลือดและเนื้อของเราจะเหือดแห้งไปก็ตามที หรือว่าชีวิตินทรีย์จะตักษัยก็ตาม ถ้าเรายังไม่ได้สำเร็จพระสัมมาสัมโพธิญาณเพียงใด เราจะไม่ยอมลุกจากที่นี่ คำว่าไม่ยอมลุก มันก็ไม่ยอมกินด้วย เพราะไม่มีอะไรจะกิน
กำลังใจจริง ๆ มันอยู่ตรงนี้ การที่เขาทำได้มาเขาทำกันอย่างนี้ มีกำลังใจอย่างนี้ จำไว้ให้ดีนะ คำว่าไม่สามารถ คำว่าไม่ไหว คำว่าไม่เข้าใจ อย่ามาพูดให้ผมฟัง เพราะพูดให้ฟังทุกอย่างแล้ว ถ้าไม่สามารถ ไม่เข้าใจ ไม่ไหว ไปเสียจากที่นี่ ไปเสียเลยอย่ามาอยู่ อย่ามาอยู่ให้มันรกสถานที่ เราไม่ต้องการคนประเภทนี้ คำว่า ไม่สามารถ ไม่เข้าใจ เขาสอนกันมาไม่รู้เท่าไร ไม่เข้าใจ จงอย่าอยู่ที่นี่ นี่เราต้องใช้อารมณ์ของเราเด็ดเดี่ยวแบบนี้ ดายให้มันตายไป หันเข้าไปสังโยชน์ 10
เวลาปฏิบัติจริง ๆ น่ะ ต้องเอาใจสังโยชน์ 10 เป็นอารมณ์ สังโยชน์ 10 3 ข้อเป็นพระโสดาบันกับสกิทาคามี เขาพิจารณาขั้นขันธ์ 5 ตัวเดียว เห็นว่าร่างกายไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา ร่างกายมันเป็นธาตุ 4 ประชุมกัน มีการเกิด การแก่ การเจ็บ การตายเป็นที่สุด มันเป็นปัจจัยของความทุกข์ แล้วเราจะนั่งยึดถือมันเพื่อประโยชน์ละไร ดูในท้ายมหาสติปัฏฐานทุกข้อ ท่านบอกว่า จงอย่าสนใจในกายของเรา ได้แก่กายของเรา ตัวเรา
จงอย่าสนใจกายภายนอก คือร่างกายผู้อื่น
จงอย่าสนใจวัตถุธาตุใด ๆ ทั้งหมด ถ้าเราไม่สนใจ อารมณ์ติดมันก็ไม่มี เมื่อไม่สนใจกายเรา ไม่สนใจกายเขา ไม่สนใจวัตถุธาตุ จิตมันก็โปร่งจากกิเลส ความโลภ ความโกรธ ความหลง มันจะมาจากไหน ที่ว่ามีความโลภ ความโกรธ ความหลง ก็เพราะว่าสนใจกายเรา สนใจกายเขา สนใจทรัพย์สินต่าง ๆ คำว่าไม่สนใจไม่ใช่โยนทิ้งมีเก็บรักษาไว้ ทำให้มันเป็นประโยชน์ อย่าให้มันเป็นโทษ เท่านั้นพอ ตายแล้วเลิกกัน เมื่อร่างกายเราจะต้องฟังในที่สุด เราจะต้องยึดถืออารมณ์เป็นสำคัญ คือตัดอบายภูมิ ได้แก่พิจารณาความดีของพระพุทธเจ้า ความดีของพระธรรม ความดีของพระอริยสงฆ์ เห็นว่าดีแล้วยอมรับนับถือปฏิบัติตาม สิ่งที่ท่านให้ปฏิบัติตามอันดับแรกก็คือ ศีล 5 ทรงศีล 5 ให้บริสุทธิ์
เพียงเท่านี้เราทำได้ไหม ถ้าทำไม่ได้ก็ตั้งใจไปอบายภูมิ เพียงเท่านี้เราก็เป็นพระโสดาบันกับสกิทาคามี ยากหรือเปล่า อย่าฟุ้งกับตำราให้มันมากเกินไป
ตำรารู้ไว้ใช่ว่าใส่บ่าแบกหาม ใช้ตำราให้เป็นประโยชน์ อย่าใช้ตำราเป็นเครื่องโอ้อวดคนอื่น
อปจายนกรรม ธรรมเป็นเครื่องอ่อนน้อม ทรงไว้ให้เป็นปกติ กายอ่อนน้อม วาจาอ่อนน้อม ใจอ่อนน้อม ใจมันจึงจะดี ถ้าใจมันแข็งกระด้าง มันเลว จำไว้นะ
แล้วต่อไปเมื่อพิจารณาร่างกายของเราว่า ขันธ์ 5 ร่างกายของเราไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา ไม่สนใจร่างกายเรา ไม่สนใจร่างกายคนอื่น ไม่สนใจวัตถุธาตุ ในเมื่อไม่สนใจเรา ไม่สนใจเขา ไม่สนใจวัตถุ มันมีจุดไหนบ้างที่จะเกิดกามารมณ์ มีใหม เห็นผู้หญิงด้วย ผู้ชายสง่า เราไม่สนใจ แล้วก็ทรัพย์สินทั้งหลายเราก็ไม่สนใจ มันเป็นของโลก อารมณ์ใด ๆ ที่มันเกิดขึ้นกับเรา ในเมื่อเราไม่สนใจกายแล้ว มันจะสนใจอารมณ์อะไร ไม่มี
ทีนี้การกระทบกระทั่งกับอารมณ์ที่เราไม่สนใจ มันจะมีได้ยังไง ใครเราด่า เขาว่า เขานินทาก็ช่างมัน เพราะอะไร เขาด่า เราด่ากาย เราเห็นกายไม่ใช่เรานี่ มันไม่ถูกเรา คนด่าคนบ้าไม่ใช่คนดี ไม่สนใจเสียทุกอย่าง คนสวยเราไม่สนใจ คนสง่าเราไม่สนใจ วัตถุธาตุที่สวยเราไม่สนใจ วัตถุธาตุที่งามเราไม่สนใจ อารมณ์รักในกิเสส มันจะเกิดขึ้นยังไง การกระทบกระทั่งในจิตมันจะเกิดขึ้นได้ยังไง อารมณ์จิดมันก็เป็นอุเบกขารมณ์ เท่านี้เราก็เป็นพระอนาคามี ไม่เห็นมันจะยากตรงไหน
รักษากำลังใจให้มันมั่นคงจริง ๆให้จิตมันแน่วแน่จริง ๆ อย่าเอาจิตเข้าไปยุ่งกับอารมณ์ภายนอก ทำงานทุกอย่างเพื่อสาธารณประโยชน์ เราทำเพื่อพระนิพพาน ที่เราทำนี่เราทำเพื่อไม่เกิด ไม่ใช่ทำเพื่อเกิด ไม่เกิดทำทำไม ก็ทำเพื่อเป็นการตัดอารมณ์ว่า ไอ้งานที่เราทำไปแล้ว เราลงทั้งทุนลงทั้งแรง แต่ว่าทำไปแล้วเราก็รู้ว่ามันเป็นอนิจจัง ของไม่เที่ยงนะ อนัตตา ไม่ช้าก็สลาย มันไม่ตายก่อนเราก็ตายก่อน มันไม่พังก่อนเราก็ตายก่อน เราทำเพื่อจิตตัดโลภะความโลภ การทำงานอารมณ์มันจุกจิก ฝึกอารมณ์ใจให้มันเย็น ตัดความโกรธ การไม่สนใจว่ามันเป็นของเรา เพราะว่าเรากับมันไม่ช้าต่างก็บรรลัย เป็นการตัดความหลง ไปนิพพานเลย
นี่ พระที่ทำงานนี่ใช้อารมณ์แบบนี้ไปนิพพานง่าย ๆ ไม่ยาก ไม่เห็นมีอะไรยาก ตอนที่เข้าเป็นอรหัตผล อันนี้ก็ไม่ยากอีก ไปนั่งพิจารณาว่าร่างกายมันไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา เราไม่มีในร่างกาย ร่างกายไม่มีในเรา ก็ร่างกายของเราเรายังไม่สนใจว่ามันเป็นเราเป็นของเรา รู้แล้วว่ามันไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเราจริง ๆ มันแก่ มันหนาว มันหิว มันร้อน มันกระหาย ทุกอย่าง มันไม่มีอะไรเป็นปัจจัยของความสุข มีแต่ความทุกข์ แล้วที่สุดมันก็พัง ถ้ามันเป็นเราจริงเป็นของเราจริง มันจะพังรึ ไม่พัง ในเมื่อไม่สนใจกับร่างกายเรา แล้วทำไมเราจะสนใจกับร่างกายคนอื่น ซึ่งมันมีสภาพเหมือนกัน สกปรกโสมม แล้วก็พังไปในที่สุด
ทรัพย์สินในโลกมีอะไรบ้างที่เราควรจะสนใจ เราก็หันเข้ามาดูว่า รูปราคะ อรูปราคะ รูปฌานก็ดี อรูปฌานก็ดี ยังเป็นจุดแห่งความเมาของจิต ถ้าหลงติดอยู่แค่รูปฌานและอรูปฌานนี่เราก็ไงเต็มที่ กิเลสที่องค์สมเด็จพระชินสีห์ทรงให้ตัดยังมีอีก 3 นอกจากรูปฌานและอรูปฌาน รูปฌานและอรูปฌานเราทรงไว้จริง แต่เราไม่ติดอยู่แค่นั้น เราจะใช้รูปฌานและอรูปฌานเป็นยานพาหนะสำหรับขี่เข้าโจมตีข้าศึก ข้าศึกที่จะตีข้างหน้านั่นก็คือ มานะ ความถือตัวถือตน ในเมื่อจิตของเราไม่สนใจกับร่างกายของเรา เอาอะไรมาถือตัวถือตน มีไหม จำให้ดี ถ้าเราไม่สนใจกับร่างกายของเรา เราเห็นว่ามันเลอะเทอะสกปรก น่าเกลียด มันมีสภาพเป็นศัตรู แล้วเขามาชมเราว่าขาว มาติเราว่าดำ หน้าเบี้ยว หน้าบูด จมูกแหว่ง ตาโหว่ เราก็ยิ้ม ยิ้มได้เพราะมันไม่ใช่ของฉันนี่จ๊ะ มันจะเป็นของมันอย่างนั้นก็ช่างมันปะไร
เราเข้ามาเทียบเปรียบกับวรรณะ หรือว่าฐานะ หรือว่าศักดิ์ศรี เรามีความรู้น้อยกว่าเขา เรามีความรู้ดีกว่าเรา เขามีเกียรติตระกูลดีกว่าเรา เขามีฐานะดีกว่าเรา เราก็ยิ้ม บอกว่า โธ่เอ๊ย..เจ้าผีดิบ เจ้าผีดิบนี่ยังไปติดความชั่วอยู่มาก ก็สิ่งทั้งหลายเหล่านั้นมันเป็นเปลือกเท่านั้น มันเป็นเครื่องถ่วงให้ติดอยู่ในทุกข์ ทำไมจะไปยุ่งกับมัน จิตเราคิดได้ยังงี้ ตัวมานะมันก็ไม่มี หาย ง่าย ๆ ผมขอพูดย่อ ๆ ผมพูดมามากเกินไปนี่ กว่าจะถึงอรหันต์ นี่มันไม่มีอะไร ของง่าย ๆ
ตอนนี้มา
อุทธัจจะ อุทธัจจะที่คิดว่านั่นเป็นเรา นี่เป็นเรา ยังมีอยู่บ้าง โยนทิ้งมันไปเสียชิ จิตตั้งเฉพาะพระนิพพานป็นอารมณ์ นั่งคลำมันเลย จิตมันติดอยู่ในกามฉันทะบ้างหรือเปล่า จิตมันติดอยู่ในโลภะความโลภบ้างหรือเปล่า จิตมันติดอยู่ในความโกรธไหม จิตมันติดอยู่ในความหลงไหม ถ้ามันมีก็แก้ไข ให้มันพ้นไป เท่าที่ศึกษามาแล้ว มันก็ไม่ยาก
แล้วมาดูอีกที ตัว
อวิชชา อวิชชาคือ ฉันทะ กับ
ราคะ ไช้ปัญญาให้มันรู้จริงๆ อย่าถือสัญญา ไอ้ที่แบกตำราคุยว่าเรียนมามาก ๆ น่ะ เลอะด้วยประประการทั้งปวง ฟังเสียงพูด เห็นอาการนั่ง ก็รู้แล้วว่ายังเต็มรัอยเปอร์เซ็นต์ มันต้องดูจุดนี้ว่าเราติดอะไรบ้าง มนุษยโลก เทวโลก พรหมโลก เป็นที่พอใจของเราหรือเปล่า มนุษย์โลก เทวโลก พรหมโลก เป็นที่ปรารถนาของเราหรือเปล่า เห็นว่ามันสวยสดงดงามมีหรือเปล่า ถ้าไม่มีละก็ อปจายนธรรมมันก็ครบถ้วน จิตมันก็ละเอียด มันเป็นปัจจัยของความทุกข์ เราต้องการความสุขที่สุด ไอ้สุขชั่วคราวเราไม่ต้องการ นั่นก็คือพระนิพพาน
การไปพระนิทพานเขาทำยังไง ก็ไปตัดร่างกาย เอาจิตตัดร่างกายให้รู้สภาพตามความเป็นจริงด้วยปัญญา คิดว่าโลกนี้เราไม่ต้องการ ร่างกายพังแล้วรึ เชิญพังจ๊ะ เธอจะป่วยก็เชิญป่วย ฉันห้ามเธอไม่ได้ เธอจะแก่ก็เชิญแก่เป็นเรื่องของเธอ เธอจะมีทุกขเวทนาใด ๆ เกิดขึ้น ถือว่ามั่นมั่นเรื่องของเธอ ฉันห้ามไม่ได้ เธอพังเมื่อไรฉันพร้อมที่จะไปพระนิทพาน เธอกับฉันมีชาตินี้เป็นชาติสุดท้าย ไม่มีอะไรที่เราจะมีการผูกพันกันอีก ถือว่าเรามีสัญญาหย่ากันเด็ดขาด ฉันโง่มาแล้วหลายแสนชาติ แต่ชาตินี้ขอฉลาดสักชาติหนึ่ง แล้วก็เธอจะใช้ฉันได้แต่เพียงชาตินี้ธาติเดียว ชาติต่อไป เธอกับฉันไม่มีความหมายสำหรับกัน นี่ ตัดแค่นี้เป็นอรหันด์ คิดแค่นี้หน่อยเดียวเป็นอรหันต์ เป็นแน่นอน แต่ให้มันได้จริง ๆ อย่าสักแต่ว่าคิด อย่าสักแต่ว่านึก จงจำไว้ให้ดี
เอาละสำหรับวันนี้เวลาที่จะพูดกันก็หมด รอพูดแต่เนื้อชัด ๆ ว่าคำสอนขององค์สมเด็จพระทรงสวัสดิโสภาคย์ ที่จะสอนคนให้เป็นอรหันต์น่ะสอนเพียงเท่านี้เท่านั้น ไม่มีอะไรมาก
เอาละต่อแต่นี้ไปขอสาวกขององค์สมเด็จพระผู้มีพระภาค ตั้งกายให้ตรงดำรงจิตให้มั่น ทรงอิริยาบถตามอัธยาศัยของท่าน นั่งก็ได้ ยืนก็ได้ เดินก็ได้ นอนก็ได้ จงรักษากำลังใจแบบนี้ไว้ตลอดเวลา 24 ชั่วโมง แล้วท่านทั้งหลายจะเป็นอรหันต์ได้ภายใน 3 เดือน
สวัสดี
ลิงค์ทั้งหมด https://ppantip.com/profile/8483559#topics
หนังสือ คู่มือปฎิบัติวัดท่าซุง เล่ม 1 อานาปานุสสติกรรมฐาน ตอนที่ 18.2
อานาปานุสสติกรรมฐาน ตอนที่ 18.2
นอกจากนั้นผมเล่นเป็นกีฬาสมาธิของผม ปกติผมคนชอบจุกจิก ใครเขามีอะไร ใครเขาทำอะไรได้ ต้องคิดว่าเขากินข้าว เรากินข้าว เขามีมือมีเท้าอย่างละสิบนิ้ว เราก็มีมือมีเท้าอย่างละสิบนิ้ว เมื่อเขาทำได้เราต้องทำได้ ถ้าทำไม่ได้อย่างเขาให้มันตายไป เรื่องชีวิตถ้าไม่มีความสามารถ มันก็ไม่มีความหมาย ถ้าทำแล้วในขณะนั้น ถ้าผลยังไม่สำเร็จเพียงใด เราจะยอมตาย ยึดถือกำลังใจขององค์สมเด็จพระจอมไตร ขณะที่ทรงอธิษฐานจิตนั่งอยู่ที่โคนโพธิ์ ตอนนั้นองศ์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงคิดว่า เราจะนั่งอยู่ตรงนี้ เลือดและเนื้อของเราจะเหือดแห้งไปก็ตามที หรือว่าชีวิตินทรีย์จะตักษัยก็ตาม ถ้าเรายังไม่ได้สำเร็จพระสัมมาสัมโพธิญาณเพียงใด เราจะไม่ยอมลุกจากที่นี่ คำว่าไม่ยอมลุก มันก็ไม่ยอมกินด้วย เพราะไม่มีอะไรจะกิน
กำลังใจจริง ๆ มันอยู่ตรงนี้ การที่เขาทำได้มาเขาทำกันอย่างนี้ มีกำลังใจอย่างนี้ จำไว้ให้ดีนะ คำว่าไม่สามารถ คำว่าไม่ไหว คำว่าไม่เข้าใจ อย่ามาพูดให้ผมฟัง เพราะพูดให้ฟังทุกอย่างแล้ว ถ้าไม่สามารถ ไม่เข้าใจ ไม่ไหว ไปเสียจากที่นี่ ไปเสียเลยอย่ามาอยู่ อย่ามาอยู่ให้มันรกสถานที่ เราไม่ต้องการคนประเภทนี้ คำว่า ไม่สามารถ ไม่เข้าใจ เขาสอนกันมาไม่รู้เท่าไร ไม่เข้าใจ จงอย่าอยู่ที่นี่ นี่เราต้องใช้อารมณ์ของเราเด็ดเดี่ยวแบบนี้ ดายให้มันตายไป หันเข้าไปสังโยชน์ 10
เวลาปฏิบัติจริง ๆ น่ะ ต้องเอาใจสังโยชน์ 10 เป็นอารมณ์ สังโยชน์ 10 3 ข้อเป็นพระโสดาบันกับสกิทาคามี เขาพิจารณาขั้นขันธ์ 5 ตัวเดียว เห็นว่าร่างกายไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา ร่างกายมันเป็นธาตุ 4 ประชุมกัน มีการเกิด การแก่ การเจ็บ การตายเป็นที่สุด มันเป็นปัจจัยของความทุกข์ แล้วเราจะนั่งยึดถือมันเพื่อประโยชน์ละไร ดูในท้ายมหาสติปัฏฐานทุกข้อ ท่านบอกว่า จงอย่าสนใจในกายของเรา ได้แก่กายของเรา ตัวเรา จงอย่าสนใจกายภายนอก คือร่างกายผู้อื่น จงอย่าสนใจวัตถุธาตุใด ๆ ทั้งหมด ถ้าเราไม่สนใจ อารมณ์ติดมันก็ไม่มี เมื่อไม่สนใจกายเรา ไม่สนใจกายเขา ไม่สนใจวัตถุธาตุ จิตมันก็โปร่งจากกิเลส ความโลภ ความโกรธ ความหลง มันจะมาจากไหน ที่ว่ามีความโลภ ความโกรธ ความหลง ก็เพราะว่าสนใจกายเรา สนใจกายเขา สนใจทรัพย์สินต่าง ๆ คำว่าไม่สนใจไม่ใช่โยนทิ้งมีเก็บรักษาไว้ ทำให้มันเป็นประโยชน์ อย่าให้มันเป็นโทษ เท่านั้นพอ ตายแล้วเลิกกัน เมื่อร่างกายเราจะต้องฟังในที่สุด เราจะต้องยึดถืออารมณ์เป็นสำคัญ คือตัดอบายภูมิ ได้แก่พิจารณาความดีของพระพุทธเจ้า ความดีของพระธรรม ความดีของพระอริยสงฆ์ เห็นว่าดีแล้วยอมรับนับถือปฏิบัติตาม สิ่งที่ท่านให้ปฏิบัติตามอันดับแรกก็คือ ศีล 5 ทรงศีล 5 ให้บริสุทธิ์
เพียงเท่านี้เราทำได้ไหม ถ้าทำไม่ได้ก็ตั้งใจไปอบายภูมิ เพียงเท่านี้เราก็เป็นพระโสดาบันกับสกิทาคามี ยากหรือเปล่า อย่าฟุ้งกับตำราให้มันมากเกินไป ตำรารู้ไว้ใช่ว่าใส่บ่าแบกหาม ใช้ตำราให้เป็นประโยชน์ อย่าใช้ตำราเป็นเครื่องโอ้อวดคนอื่น อปจายนกรรม ธรรมเป็นเครื่องอ่อนน้อม ทรงไว้ให้เป็นปกติ กายอ่อนน้อม วาจาอ่อนน้อม ใจอ่อนน้อม ใจมันจึงจะดี ถ้าใจมันแข็งกระด้าง มันเลว จำไว้นะ
แล้วต่อไปเมื่อพิจารณาร่างกายของเราว่า ขันธ์ 5 ร่างกายของเราไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา ไม่สนใจร่างกายเรา ไม่สนใจร่างกายคนอื่น ไม่สนใจวัตถุธาตุ ในเมื่อไม่สนใจเรา ไม่สนใจเขา ไม่สนใจวัตถุ มันมีจุดไหนบ้างที่จะเกิดกามารมณ์ มีใหม เห็นผู้หญิงด้วย ผู้ชายสง่า เราไม่สนใจ แล้วก็ทรัพย์สินทั้งหลายเราก็ไม่สนใจ มันเป็นของโลก อารมณ์ใด ๆ ที่มันเกิดขึ้นกับเรา ในเมื่อเราไม่สนใจกายแล้ว มันจะสนใจอารมณ์อะไร ไม่มี
ทีนี้การกระทบกระทั่งกับอารมณ์ที่เราไม่สนใจ มันจะมีได้ยังไง ใครเราด่า เขาว่า เขานินทาก็ช่างมัน เพราะอะไร เขาด่า เราด่ากาย เราเห็นกายไม่ใช่เรานี่ มันไม่ถูกเรา คนด่าคนบ้าไม่ใช่คนดี ไม่สนใจเสียทุกอย่าง คนสวยเราไม่สนใจ คนสง่าเราไม่สนใจ วัตถุธาตุที่สวยเราไม่สนใจ วัตถุธาตุที่งามเราไม่สนใจ อารมณ์รักในกิเสส มันจะเกิดขึ้นยังไง การกระทบกระทั่งในจิตมันจะเกิดขึ้นได้ยังไง อารมณ์จิดมันก็เป็นอุเบกขารมณ์ เท่านี้เราก็เป็นพระอนาคามี ไม่เห็นมันจะยากตรงไหน รักษากำลังใจให้มันมั่นคงจริง ๆให้จิตมันแน่วแน่จริง ๆ อย่าเอาจิตเข้าไปยุ่งกับอารมณ์ภายนอก ทำงานทุกอย่างเพื่อสาธารณประโยชน์ เราทำเพื่อพระนิพพาน ที่เราทำนี่เราทำเพื่อไม่เกิด ไม่ใช่ทำเพื่อเกิด ไม่เกิดทำทำไม ก็ทำเพื่อเป็นการตัดอารมณ์ว่า ไอ้งานที่เราทำไปแล้ว เราลงทั้งทุนลงทั้งแรง แต่ว่าทำไปแล้วเราก็รู้ว่ามันเป็นอนิจจัง ของไม่เที่ยงนะ อนัตตา ไม่ช้าก็สลาย มันไม่ตายก่อนเราก็ตายก่อน มันไม่พังก่อนเราก็ตายก่อน เราทำเพื่อจิตตัดโลภะความโลภ การทำงานอารมณ์มันจุกจิก ฝึกอารมณ์ใจให้มันเย็น ตัดความโกรธ การไม่สนใจว่ามันเป็นของเรา เพราะว่าเรากับมันไม่ช้าต่างก็บรรลัย เป็นการตัดความหลง ไปนิพพานเลย
นี่ พระที่ทำงานนี่ใช้อารมณ์แบบนี้ไปนิพพานง่าย ๆ ไม่ยาก ไม่เห็นมีอะไรยาก ตอนที่เข้าเป็นอรหัตผล อันนี้ก็ไม่ยากอีก ไปนั่งพิจารณาว่าร่างกายมันไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา เราไม่มีในร่างกาย ร่างกายไม่มีในเรา ก็ร่างกายของเราเรายังไม่สนใจว่ามันเป็นเราเป็นของเรา รู้แล้วว่ามันไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเราจริง ๆ มันแก่ มันหนาว มันหิว มันร้อน มันกระหาย ทุกอย่าง มันไม่มีอะไรเป็นปัจจัยของความสุข มีแต่ความทุกข์ แล้วที่สุดมันก็พัง ถ้ามันเป็นเราจริงเป็นของเราจริง มันจะพังรึ ไม่พัง ในเมื่อไม่สนใจกับร่างกายเรา แล้วทำไมเราจะสนใจกับร่างกายคนอื่น ซึ่งมันมีสภาพเหมือนกัน สกปรกโสมม แล้วก็พังไปในที่สุด
ทรัพย์สินในโลกมีอะไรบ้างที่เราควรจะสนใจ เราก็หันเข้ามาดูว่า รูปราคะ อรูปราคะ รูปฌานก็ดี อรูปฌานก็ดี ยังเป็นจุดแห่งความเมาของจิต ถ้าหลงติดอยู่แค่รูปฌานและอรูปฌานนี่เราก็ไงเต็มที่ กิเลสที่องค์สมเด็จพระชินสีห์ทรงให้ตัดยังมีอีก 3 นอกจากรูปฌานและอรูปฌาน รูปฌานและอรูปฌานเราทรงไว้จริง แต่เราไม่ติดอยู่แค่นั้น เราจะใช้รูปฌานและอรูปฌานเป็นยานพาหนะสำหรับขี่เข้าโจมตีข้าศึก ข้าศึกที่จะตีข้างหน้านั่นก็คือ มานะ ความถือตัวถือตน ในเมื่อจิตของเราไม่สนใจกับร่างกายของเรา เอาอะไรมาถือตัวถือตน มีไหม จำให้ดี ถ้าเราไม่สนใจกับร่างกายของเรา เราเห็นว่ามันเลอะเทอะสกปรก น่าเกลียด มันมีสภาพเป็นศัตรู แล้วเขามาชมเราว่าขาว มาติเราว่าดำ หน้าเบี้ยว หน้าบูด จมูกแหว่ง ตาโหว่ เราก็ยิ้ม ยิ้มได้เพราะมันไม่ใช่ของฉันนี่จ๊ะ มันจะเป็นของมันอย่างนั้นก็ช่างมันปะไร
เราเข้ามาเทียบเปรียบกับวรรณะ หรือว่าฐานะ หรือว่าศักดิ์ศรี เรามีความรู้น้อยกว่าเขา เรามีความรู้ดีกว่าเรา เขามีเกียรติตระกูลดีกว่าเรา เขามีฐานะดีกว่าเรา เราก็ยิ้ม บอกว่า โธ่เอ๊ย..เจ้าผีดิบ เจ้าผีดิบนี่ยังไปติดความชั่วอยู่มาก ก็สิ่งทั้งหลายเหล่านั้นมันเป็นเปลือกเท่านั้น มันเป็นเครื่องถ่วงให้ติดอยู่ในทุกข์ ทำไมจะไปยุ่งกับมัน จิตเราคิดได้ยังงี้ ตัวมานะมันก็ไม่มี หาย ง่าย ๆ ผมขอพูดย่อ ๆ ผมพูดมามากเกินไปนี่ กว่าจะถึงอรหันต์ นี่มันไม่มีอะไร ของง่าย ๆ
ตอนนี้มา อุทธัจจะ อุทธัจจะที่คิดว่านั่นเป็นเรา นี่เป็นเรา ยังมีอยู่บ้าง โยนทิ้งมันไปเสียชิ จิตตั้งเฉพาะพระนิพพานป็นอารมณ์ นั่งคลำมันเลย จิตมันติดอยู่ในกามฉันทะบ้างหรือเปล่า จิตมันติดอยู่ในโลภะความโลภบ้างหรือเปล่า จิตมันติดอยู่ในความโกรธไหม จิตมันติดอยู่ในความหลงไหม ถ้ามันมีก็แก้ไข ให้มันพ้นไป เท่าที่ศึกษามาแล้ว มันก็ไม่ยาก
แล้วมาดูอีกที ตัว อวิชชา อวิชชาคือ ฉันทะ กับ ราคะ ไช้ปัญญาให้มันรู้จริงๆ อย่าถือสัญญา ไอ้ที่แบกตำราคุยว่าเรียนมามาก ๆ น่ะ เลอะด้วยประประการทั้งปวง ฟังเสียงพูด เห็นอาการนั่ง ก็รู้แล้วว่ายังเต็มรัอยเปอร์เซ็นต์ มันต้องดูจุดนี้ว่าเราติดอะไรบ้าง มนุษยโลก เทวโลก พรหมโลก เป็นที่พอใจของเราหรือเปล่า มนุษย์โลก เทวโลก พรหมโลก เป็นที่ปรารถนาของเราหรือเปล่า เห็นว่ามันสวยสดงดงามมีหรือเปล่า ถ้าไม่มีละก็ อปจายนธรรมมันก็ครบถ้วน จิตมันก็ละเอียด มันเป็นปัจจัยของความทุกข์ เราต้องการความสุขที่สุด ไอ้สุขชั่วคราวเราไม่ต้องการ นั่นก็คือพระนิพพาน
การไปพระนิทพานเขาทำยังไง ก็ไปตัดร่างกาย เอาจิตตัดร่างกายให้รู้สภาพตามความเป็นจริงด้วยปัญญา คิดว่าโลกนี้เราไม่ต้องการ ร่างกายพังแล้วรึ เชิญพังจ๊ะ เธอจะป่วยก็เชิญป่วย ฉันห้ามเธอไม่ได้ เธอจะแก่ก็เชิญแก่เป็นเรื่องของเธอ เธอจะมีทุกขเวทนาใด ๆ เกิดขึ้น ถือว่ามั่นมั่นเรื่องของเธอ ฉันห้ามไม่ได้ เธอพังเมื่อไรฉันพร้อมที่จะไปพระนิทพาน เธอกับฉันมีชาตินี้เป็นชาติสุดท้าย ไม่มีอะไรที่เราจะมีการผูกพันกันอีก ถือว่าเรามีสัญญาหย่ากันเด็ดขาด ฉันโง่มาแล้วหลายแสนชาติ แต่ชาตินี้ขอฉลาดสักชาติหนึ่ง แล้วก็เธอจะใช้ฉันได้แต่เพียงชาตินี้ธาติเดียว ชาติต่อไป เธอกับฉันไม่มีความหมายสำหรับกัน นี่ ตัดแค่นี้เป็นอรหันด์ คิดแค่นี้หน่อยเดียวเป็นอรหันต์ เป็นแน่นอน แต่ให้มันได้จริง ๆ อย่าสักแต่ว่าคิด อย่าสักแต่ว่านึก จงจำไว้ให้ดี
เอาละสำหรับวันนี้เวลาที่จะพูดกันก็หมด รอพูดแต่เนื้อชัด ๆ ว่าคำสอนขององค์สมเด็จพระทรงสวัสดิโสภาคย์ ที่จะสอนคนให้เป็นอรหันต์น่ะสอนเพียงเท่านี้เท่านั้น ไม่มีอะไรมาก
เอาละต่อแต่นี้ไปขอสาวกขององค์สมเด็จพระผู้มีพระภาค ตั้งกายให้ตรงดำรงจิตให้มั่น ทรงอิริยาบถตามอัธยาศัยของท่าน นั่งก็ได้ ยืนก็ได้ เดินก็ได้ นอนก็ได้ จงรักษากำลังใจแบบนี้ไว้ตลอดเวลา 24 ชั่วโมง แล้วท่านทั้งหลายจะเป็นอรหันต์ได้ภายใน 3 เดือน สวัสดี
ลิงค์ทั้งหมด https://ppantip.com/profile/8483559#topics