อานาปานุสสติกรรมฐาน ตอนที่ 18.1
บัดนี้ ท่านทั้งหลายได้พากันสมาทานศีล สมาทานพระกรรมฐานแล้ว ระยะนี้ท่านทั้งหลายกำลังศึกษาอยู่ในอาปานุสสติกรรมฐาน แต่ว่าตอนนี้ตอนอรหัตตผล ขอให้ทราบว่าอานาปานุสสติกรรมฐานนี่ ท่านจะพึงศึกษาพระกรรมฐานอีก 34 กอง ท่านจงอย่าเว้นอานาปานุสสติกรรมฐาน ถ้าหากว่าท่านทั้งหลายเว้นอานาปานุสสติกรรมฐานเสียแล้ว ผลจะไม่มีสำหรับท่าน เพราะว่าอานาปานุสสติกรรมฐาน เป็นกรรมฐานระงับอารมณ์ฟุ้งซ่านของจิต และเป็นกรรมฐานระงับงับกายสังขาร คือระงับทุกขเวทนาที่เกิดทางกาย
กำลังใจของท่านที่เจริญพระกรรมฐาน จงอย่าสนใจกับร่างกาย มีความเข้มแข็งในจิต คิดว่ามันจะตายเสียได้เวลานี้ก็ดี เคยได้ฟังมาบ่อย ๆ อาการทางกายเกิดแบบนั้น เกิดแบบนี้ นิด ๆ หน่อย ๆ ก็มีความห่วงใยมีการกังวล โดยเฉพาะอย่างยิ่งอาการของปีติ 5 เกิดขึ้น ซึ่งหลักสูตรมีแล้ว มีทว่าก็ยังมีคนมาพูดมาถามว่า มันเป็นอย่างนั้นเป็นอย่างนี้ทำยังไง คนประเภทนี้ผมไม่อยากพูดด้วย ตำรามีอยู่ไม่สนใจกับตำรา และก็ยังห่วงขันธ์ 5 แม้แต่อาการเล็กน้อยยังห่วง ชีวิตทำไมจะไม่ห่วง ถ้าห่วงชีวิตจะเป็นพระอริยเจ้าได้ยังไง ฉะนั้นคนประเภทเหยียบขี้ไก่ไม่ฝ่อนี่อย่ามายุ่งกับผม ผมจะไม่สนใจกับบุคคลประเภทนี้เป็นอันขาด ดีไม่ดีก็ไล่ส่ง พอถามเข้ามา ดีไม่ดีก็ไล่ส่งเดช เพราะว่าไม่อยากจะคบหาสมาคม เบื่อหน่าย เพราะสอนกันมาเท่าไรไม่รู้จักจำ แบบแผนมีแล้วไม่รู้จักประพฤติปฏิบัติ ขอบรรคาท่านทั้งหลายสังวรเรื่องนี้ให้ดี
วันนี้มาสรุปกันถึงผลแห่งการปฏิบัติตนเพื่อความเป็นพระอริยเจ้า ที่พูดมามากน่ะความจริงผมก็ไม่อยากจะพูด นี่ต้องใช้คาสเซ็ทถึง 9 คาสเช็ท เพียงแค่ผลที่จะนำตนให้ถึงความเป็นพระอรหันต์ ตามที่เขาศึกษากันมาจริง ๆ เขาศึกษากันมาไม่เกิน 30 นาที เมื่อฟังเท่านี้แล้วก็นำไปไประพฤติปฏิบัติ จนกว่าจะได้อรหัตตผล นี่คนจริง ๆ เขาทำกันแบบนี้ แต่ว่าการที่จะบรรจุเร็วบรรลุช้านั้น ขึ้นอยู่กับกำลังใจ กำลังใจของเรามีความเด็ดเดี่ยว มันก็ได้บรรลุเร็ว ถ้ากำลังใจอ่อนแอก็ได้บรรลุช้า ประเภทป้อแป้เอาไหนไม่ได้ ตกนรกไปเลย
ต่อนี้ไปก็ขอพูดกันถึงความสรุปตนเป็นธรหันต์ เป็นของไม่ยาก อย่าไปติดตำราให้มาก "อเนกชาติ สังขารา สันธาวิสลัง.." อะไรนั่นน่ะ หรือว่า "อวิชชาปัจจยา สังขารา สังขาปัจจยา วิญญาณัง วิญญาณปัจจยา..." ไล่เข้าไปเถอะ ไล่ส่งเดช เป็นนกแก้วนกขุนทองมันจะเกิดประโยชน์อะไร ปฏิจจสมุปบาท ที่ผมไม่สอนเรื่องปฏิจจสมุปบาทก็ดี อเนกชาก็ดี ผมเห็นว่าไม่จำเป็น ดูตัวอย่างถึงบุคคลผู้สนใจจริง และก็ศึกษาเรื่องความเป็นพระอรหันต์ ขอยกตัวอย่างในพระสูตรว่า ครั้งหนึ่งบรรดาพระสงฆ์ทั้งหลายได้ศึกษาพระกรรมฐาน กับองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าโดยสังเขป หลังจากนั้นจึงได้ลาองค์สมเด็จพระบรมโลกเชษฐ์เพื่อจะเข้าป่า สมเด็จพระบรมศาสดาจึงได้มีพระพุทธฎีกา ตรัสว่า
"ภิกขเว ดูกรภิกษุทั้งหลาย เธอไปลาสารีบุตรแล้วหรือยัง"
บรรดาพระสงฆ์ทั้งหลายเหล่านั้นกราบทูลว่า "ยัง พระพุทธเจ้าข้า"
สมเด็จพระบรมศาสดาจึงตรัสว่า "ถ้าเช่นนั้นเธอจงไปลาสารีบุตรเสียก่อน” ทั้งนี้เพราะว่าองค์สมเด็จพระชินวร ทรงทราบว่า พระสารีบุตรจะพูดว่ายังไง
เมื่อบรรดาพระสงฆ์ทั้งหลายเข้าไปทำพระสารีบุตร นมัสการแล้ว พระสารีบุตรจึงถามว่า "เธอจะไปไหน"
พวกเธอทั้งหลายก็บอกว่า "จะลาเข้าไปฏิบัติตนในป่า"
นี่ขอพูดถึง 2 เรื่องซ้อนกัน แต่เอามากล่าวไว้เรื่องเดียวกัน พระสารีบุตรถามว่า "ถ้าเธอเข้าไปอยู่ในป่า ในแดนไกล ในขนบท ถ้าเขาถามว่า เธออุปสมบทบรรพชาในพระพุทธศาสนาหวังประโยชน์อะไร เธอจะตอบว่ายังไง"
บรรดาพระสงฆ์ทั้งหลายก็กราบเรียนว่า "ไม่ทราบจะตอบว่ายังไงดีพระเจ้าข้า"
พระสารีบุตรจึงบอกว่า
"ถ้าเขาถามเธอเช่นนั้น เธอจงตอบว่า การที่บวชเช้ามาในพระพุทธศาสนานี้ บวชเข้ามาเพื่อความดับไม่มีเชื้อ จงจำไว้"
พระสงฆ์ทั้งหลายเหล่านั้นก็จำไว้
คำว่าความดับไม่มีเชื้อนี่หมายความว่า สังโยชน์ทั้ง 10 ประการ จะไม่มีเชื้อติดอยู่ในจิตของเรา จำคำนี้ไว้ว่าการบวชเข้ามาในพระพุทธศาสนานั้น บวชเพื่อความดับไม่มีเชื้อ คือกิเลสหมดจากจิต
นี่อีกเรื่องหนึ่ง บรรดาพระสงฆ์ทั้งหลายจึงถามพระสารีบุตรว่า "ถ้าผมเป็นปุถุชน ต้องการจะเป็นพระโสดาบันจะปฏิบัติยังไง พระเจ้าข้า"
พระสารีบุตรจึงกล่าวว่า "ท่านผู้เจริญ ถ้าพวกท่านทั้งหลายยังเป็นปุถุชนคนหนาแน่นไปด้วยกิเลส ปรารถนาจะปฏิบัติตามคำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระบรมโลกเชษฐ์ ให้เข้าถึงความเป็นพระโสดาบัน จงพิจารถนาในสักกายทิฏฐิ คือ พิจารณาว่า รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ที่เรารวมเรียกกันว่า กาย อันนี้มัน ไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา เราไม่มีในร่างกาย ร่างกายไม่มีในเรา หรือว่าเราไม่มีในขันธ์ 5 ขันธ์ 5ไม่มีในเรา เธอพิจารณาอย่างนี้ไว้เสมอ เท่านี้จิตเธอจะละเอียดลง เมื่อจิตเธอละเอียดลง เธอก็เป็นพระโสดาบัน"
บรรดาพระสงฆ์ทั้งหลายเหล่านั้น จึงกราบเรียนถามต่อไปอีกว่า "ในเมื่อพวกผมเป็นพระโสดาบันแล้ว ผมทำยังไงจึงจะเป็นพระสกิทาคามี"
พระสารีบุตรจึงได้ตอบสุนทรวาทีบรรดาพระสงฆ์ทั้งหลายว่า "ถ้าเช่นนั้น เธอจงพิจารณาขันธ์ 5 นั่นแหละ ที่เราเรียกกันว่าสักกายทิฏฐิ ว่า รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ มันไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา เราไม่มีในขันธ์ 5 ขันธ์ 5 ไม่มีในเรา เมื่ออารมณ์จิตละเอียดลงแล้ว เราก็เป็นพระสกิทาคามี"
บรรดาพระสงฆ์ทั้งหลายถามอีกทีว่า "เมื่อผมเป็นพระสกิทาคามีแล้ว จะเป็นพระอนาคามี จะทำยังไง"
ท่านก็บอกว่าปฏิบัติเช่นเดียวกัน พิจารณาขันธ์ 5 เช่นนั้น พิจารณาแบบนั้นเมื่อจิตละเอียดลงก็เป็นพระอนาคามี
พระสงฆ์ถามอีกว่า "ถ้ายังงั้นผมจะเป็นอรหันต์ ทำยังไง"
พระสารีบุตรก็บอกว่า "พิจารณาอย่างเดียวกัน"
พระสงฆ์ทั้งหลายเหล่านั้นถามต่อไปว่า "ถ้าผมเป็นพระอรหันต์แล้วหยุดเลยใช่ไหม"
พระสารีบุตรตอบว่า "ไม่ใช่ พระอรหันต์ยังพิจารณาชันธ์ 5 อยู่ เพื่อความอยู่เป็นสุข" เพียงเท่านี้ท่านเข้าใจแล้วหรือยัง
นี่การปฏิบัติจริง ๆ น่ะเขาไม่ได้ใช้อะไรมาก เขาใช้อย่างนี้ไม่ต้องไปแบกตำราเป็นหอบ ๆ ไม่ต้องไปนั่งท่องตำราให้มันเหนื่อย แต่ผมน่ะท่องมาแล้วนะ ตำราที่ผมเรียนนี่ ถ้าจะเอาน้ำหนักตัวผมไปชั่งกับตำรา คิดว่าตำราที่ผมอ่านนี่มันเกินกว่าร้อยเท่าน้ำหนักตัวของผม ผมคิดว่ากุฏิที่ผมนั่งอยู่เวลานี้ ถ้าจะใส่ตำราที่ผมเรียนมันไม่พอ คือไม่พอใส่ แต่เรียนนักธรรมตรี เพื่อนเรามีหนังสือ 3 เล่ม ผมแบก 3 แบกยังไม่พอเลย นิสัยผมเป็นคนชอบค้นคว้า ถ้าหนังสือเล่มนั้นพาดพิงถึงอะไร ผมต้องหาซื้อมาอ่านให้ได้ แต่เป็นอันว่าเมื่ออ่านกันเข้าไปแล้ว ก็มาจบกันอยู่ตรงนี้ จบกันอย่างพิสดารก็คือ
สังโยชน์ 10 เราต้องตัดให้ได้
การตัดสังโยชน์ 10 ก็คือ ตัดตัวแรกได้แก่ สักกายทิฏฐิ อันนี้ในขันธวรรค ปรากฏว่ามีพราหมณ์ถามพระพุทธเจ้า ถึงกิเลสหลายสิบประการว่า จะห้ำหั่นกิเลสทั้งหลายเหล่านี้ให้หมดไปใช้อะไร องค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดาก็ตรัสไว้ เช่นเดียวกับพระสารีบุตรว่า
"จงตัดที่ขันธ์ 5 คือเห็นว่ารูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ มันไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา เราไม่มีใน รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ หรือว่า รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ไม่มีในเรา" เท่านี้ไหวไหม นี่การปฏิบัติจริง ๆ เราจับกันอยู่ตรงนี้เท่านั้นเองนะ ที่ผมพูดมามากน่ะกันคนเลอะเทอะ กันคนที่มีปัญญาทราม ไม่รู้จักใช้ปัญญาพิจารณาให้เป็นประโยชน์ หากว่าจะถามว่าเวลาผมศึกษา ผมศึกษาตรงไหน ด้านศึกษานี่หมายความถึงการปฏิบัติ ผมก็ยึดคำสอนขององค์สมเด็จพระทรงสวัสดิ์ที่ตรงกับคำสอนของพระสารีบุตร นี้เป็นเครื่องปฏิบัติโดยเฉพาะ
มีต่อ หนังสือ คู่มือปฎิบัติวัดท่าซุง เล่ม 1 อานาปานุสสติกรรมฐาน ตอนที่ 18.2 https://ppantip.com/topic/43166979
หนังสือ คู่มือปฎิบัติวัดท่าซุง เล่ม 1 อานาปานุสสติกรรมฐาน ตอนที่ 18.1
บัดนี้ ท่านทั้งหลายได้พากันสมาทานศีล สมาทานพระกรรมฐานแล้ว ระยะนี้ท่านทั้งหลายกำลังศึกษาอยู่ในอาปานุสสติกรรมฐาน แต่ว่าตอนนี้ตอนอรหัตตผล ขอให้ทราบว่าอานาปานุสสติกรรมฐานนี่ ท่านจะพึงศึกษาพระกรรมฐานอีก 34 กอง ท่านจงอย่าเว้นอานาปานุสสติกรรมฐาน ถ้าหากว่าท่านทั้งหลายเว้นอานาปานุสสติกรรมฐานเสียแล้ว ผลจะไม่มีสำหรับท่าน เพราะว่าอานาปานุสสติกรรมฐาน เป็นกรรมฐานระงับอารมณ์ฟุ้งซ่านของจิต และเป็นกรรมฐานระงับงับกายสังขาร คือระงับทุกขเวทนาที่เกิดทางกาย
กำลังใจของท่านที่เจริญพระกรรมฐาน จงอย่าสนใจกับร่างกาย มีความเข้มแข็งในจิต คิดว่ามันจะตายเสียได้เวลานี้ก็ดี เคยได้ฟังมาบ่อย ๆ อาการทางกายเกิดแบบนั้น เกิดแบบนี้ นิด ๆ หน่อย ๆ ก็มีความห่วงใยมีการกังวล โดยเฉพาะอย่างยิ่งอาการของปีติ 5 เกิดขึ้น ซึ่งหลักสูตรมีแล้ว มีทว่าก็ยังมีคนมาพูดมาถามว่า มันเป็นอย่างนั้นเป็นอย่างนี้ทำยังไง คนประเภทนี้ผมไม่อยากพูดด้วย ตำรามีอยู่ไม่สนใจกับตำรา และก็ยังห่วงขันธ์ 5 แม้แต่อาการเล็กน้อยยังห่วง ชีวิตทำไมจะไม่ห่วง ถ้าห่วงชีวิตจะเป็นพระอริยเจ้าได้ยังไง ฉะนั้นคนประเภทเหยียบขี้ไก่ไม่ฝ่อนี่อย่ามายุ่งกับผม ผมจะไม่สนใจกับบุคคลประเภทนี้เป็นอันขาด ดีไม่ดีก็ไล่ส่ง พอถามเข้ามา ดีไม่ดีก็ไล่ส่งเดช เพราะว่าไม่อยากจะคบหาสมาคม เบื่อหน่าย เพราะสอนกันมาเท่าไรไม่รู้จักจำ แบบแผนมีแล้วไม่รู้จักประพฤติปฏิบัติ ขอบรรคาท่านทั้งหลายสังวรเรื่องนี้ให้ดี
วันนี้มาสรุปกันถึงผลแห่งการปฏิบัติตนเพื่อความเป็นพระอริยเจ้า ที่พูดมามากน่ะความจริงผมก็ไม่อยากจะพูด นี่ต้องใช้คาสเซ็ทถึง 9 คาสเช็ท เพียงแค่ผลที่จะนำตนให้ถึงความเป็นพระอรหันต์ ตามที่เขาศึกษากันมาจริง ๆ เขาศึกษากันมาไม่เกิน 30 นาที เมื่อฟังเท่านี้แล้วก็นำไปไประพฤติปฏิบัติ จนกว่าจะได้อรหัตตผล นี่คนจริง ๆ เขาทำกันแบบนี้ แต่ว่าการที่จะบรรจุเร็วบรรลุช้านั้น ขึ้นอยู่กับกำลังใจ กำลังใจของเรามีความเด็ดเดี่ยว มันก็ได้บรรลุเร็ว ถ้ากำลังใจอ่อนแอก็ได้บรรลุช้า ประเภทป้อแป้เอาไหนไม่ได้ ตกนรกไปเลย
ต่อนี้ไปก็ขอพูดกันถึงความสรุปตนเป็นธรหันต์ เป็นของไม่ยาก อย่าไปติดตำราให้มาก "อเนกชาติ สังขารา สันธาวิสลัง.." อะไรนั่นน่ะ หรือว่า "อวิชชาปัจจยา สังขารา สังขาปัจจยา วิญญาณัง วิญญาณปัจจยา..." ไล่เข้าไปเถอะ ไล่ส่งเดช เป็นนกแก้วนกขุนทองมันจะเกิดประโยชน์อะไร ปฏิจจสมุปบาท ที่ผมไม่สอนเรื่องปฏิจจสมุปบาทก็ดี อเนกชาก็ดี ผมเห็นว่าไม่จำเป็น ดูตัวอย่างถึงบุคคลผู้สนใจจริง และก็ศึกษาเรื่องความเป็นพระอรหันต์ ขอยกตัวอย่างในพระสูตรว่า ครั้งหนึ่งบรรดาพระสงฆ์ทั้งหลายได้ศึกษาพระกรรมฐาน กับองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าโดยสังเขป หลังจากนั้นจึงได้ลาองค์สมเด็จพระบรมโลกเชษฐ์เพื่อจะเข้าป่า สมเด็จพระบรมศาสดาจึงได้มีพระพุทธฎีกา ตรัสว่า
"ภิกขเว ดูกรภิกษุทั้งหลาย เธอไปลาสารีบุตรแล้วหรือยัง"
บรรดาพระสงฆ์ทั้งหลายเหล่านั้นกราบทูลว่า "ยัง พระพุทธเจ้าข้า"
สมเด็จพระบรมศาสดาจึงตรัสว่า "ถ้าเช่นนั้นเธอจงไปลาสารีบุตรเสียก่อน” ทั้งนี้เพราะว่าองค์สมเด็จพระชินวร ทรงทราบว่า พระสารีบุตรจะพูดว่ายังไง
เมื่อบรรดาพระสงฆ์ทั้งหลายเข้าไปทำพระสารีบุตร นมัสการแล้ว พระสารีบุตรจึงถามว่า "เธอจะไปไหน"
พวกเธอทั้งหลายก็บอกว่า "จะลาเข้าไปฏิบัติตนในป่า"
นี่ขอพูดถึง 2 เรื่องซ้อนกัน แต่เอามากล่าวไว้เรื่องเดียวกัน พระสารีบุตรถามว่า "ถ้าเธอเข้าไปอยู่ในป่า ในแดนไกล ในขนบท ถ้าเขาถามว่า เธออุปสมบทบรรพชาในพระพุทธศาสนาหวังประโยชน์อะไร เธอจะตอบว่ายังไง"
บรรดาพระสงฆ์ทั้งหลายก็กราบเรียนว่า "ไม่ทราบจะตอบว่ายังไงดีพระเจ้าข้า"
พระสารีบุตรจึงบอกว่า "ถ้าเขาถามเธอเช่นนั้น เธอจงตอบว่า การที่บวชเช้ามาในพระพุทธศาสนานี้ บวชเข้ามาเพื่อความดับไม่มีเชื้อ จงจำไว้"
พระสงฆ์ทั้งหลายเหล่านั้นก็จำไว้ คำว่าความดับไม่มีเชื้อนี่หมายความว่า สังโยชน์ทั้ง 10 ประการ จะไม่มีเชื้อติดอยู่ในจิตของเรา จำคำนี้ไว้ว่าการบวชเข้ามาในพระพุทธศาสนานั้น บวชเพื่อความดับไม่มีเชื้อ คือกิเลสหมดจากจิต
นี่อีกเรื่องหนึ่ง บรรดาพระสงฆ์ทั้งหลายจึงถามพระสารีบุตรว่า "ถ้าผมเป็นปุถุชน ต้องการจะเป็นพระโสดาบันจะปฏิบัติยังไง พระเจ้าข้า"
พระสารีบุตรจึงกล่าวว่า "ท่านผู้เจริญ ถ้าพวกท่านทั้งหลายยังเป็นปุถุชนคนหนาแน่นไปด้วยกิเลส ปรารถนาจะปฏิบัติตามคำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระบรมโลกเชษฐ์ ให้เข้าถึงความเป็นพระโสดาบัน จงพิจารถนาในสักกายทิฏฐิ คือ พิจารณาว่า รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ที่เรารวมเรียกกันว่า กาย อันนี้มัน ไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา เราไม่มีในร่างกาย ร่างกายไม่มีในเรา หรือว่าเราไม่มีในขันธ์ 5 ขันธ์ 5ไม่มีในเรา เธอพิจารณาอย่างนี้ไว้เสมอ เท่านี้จิตเธอจะละเอียดลง เมื่อจิตเธอละเอียดลง เธอก็เป็นพระโสดาบัน"
บรรดาพระสงฆ์ทั้งหลายเหล่านั้น จึงกราบเรียนถามต่อไปอีกว่า "ในเมื่อพวกผมเป็นพระโสดาบันแล้ว ผมทำยังไงจึงจะเป็นพระสกิทาคามี"
พระสารีบุตรจึงได้ตอบสุนทรวาทีบรรดาพระสงฆ์ทั้งหลายว่า "ถ้าเช่นนั้น เธอจงพิจารณาขันธ์ 5 นั่นแหละ ที่เราเรียกกันว่าสักกายทิฏฐิ ว่า รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ มันไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา เราไม่มีในขันธ์ 5 ขันธ์ 5 ไม่มีในเรา เมื่ออารมณ์จิตละเอียดลงแล้ว เราก็เป็นพระสกิทาคามี"
บรรดาพระสงฆ์ทั้งหลายถามอีกทีว่า "เมื่อผมเป็นพระสกิทาคามีแล้ว จะเป็นพระอนาคามี จะทำยังไง"
ท่านก็บอกว่าปฏิบัติเช่นเดียวกัน พิจารณาขันธ์ 5 เช่นนั้น พิจารณาแบบนั้นเมื่อจิตละเอียดลงก็เป็นพระอนาคามี
พระสงฆ์ถามอีกว่า "ถ้ายังงั้นผมจะเป็นอรหันต์ ทำยังไง"
พระสารีบุตรก็บอกว่า "พิจารณาอย่างเดียวกัน"
พระสงฆ์ทั้งหลายเหล่านั้นถามต่อไปว่า "ถ้าผมเป็นพระอรหันต์แล้วหยุดเลยใช่ไหม"
พระสารีบุตรตอบว่า "ไม่ใช่ พระอรหันต์ยังพิจารณาชันธ์ 5 อยู่ เพื่อความอยู่เป็นสุข" เพียงเท่านี้ท่านเข้าใจแล้วหรือยัง
นี่การปฏิบัติจริง ๆ น่ะเขาไม่ได้ใช้อะไรมาก เขาใช้อย่างนี้ไม่ต้องไปแบกตำราเป็นหอบ ๆ ไม่ต้องไปนั่งท่องตำราให้มันเหนื่อย แต่ผมน่ะท่องมาแล้วนะ ตำราที่ผมเรียนนี่ ถ้าจะเอาน้ำหนักตัวผมไปชั่งกับตำรา คิดว่าตำราที่ผมอ่านนี่มันเกินกว่าร้อยเท่าน้ำหนักตัวของผม ผมคิดว่ากุฏิที่ผมนั่งอยู่เวลานี้ ถ้าจะใส่ตำราที่ผมเรียนมันไม่พอ คือไม่พอใส่ แต่เรียนนักธรรมตรี เพื่อนเรามีหนังสือ 3 เล่ม ผมแบก 3 แบกยังไม่พอเลย นิสัยผมเป็นคนชอบค้นคว้า ถ้าหนังสือเล่มนั้นพาดพิงถึงอะไร ผมต้องหาซื้อมาอ่านให้ได้ แต่เป็นอันว่าเมื่ออ่านกันเข้าไปแล้ว ก็มาจบกันอยู่ตรงนี้ จบกันอย่างพิสดารก็คือ สังโยชน์ 10 เราต้องตัดให้ได้
การตัดสังโยชน์ 10 ก็คือ ตัดตัวแรกได้แก่ สักกายทิฏฐิ อันนี้ในขันธวรรค ปรากฏว่ามีพราหมณ์ถามพระพุทธเจ้า ถึงกิเลสหลายสิบประการว่า จะห้ำหั่นกิเลสทั้งหลายเหล่านี้ให้หมดไปใช้อะไร องค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดาก็ตรัสไว้ เช่นเดียวกับพระสารีบุตรว่า "จงตัดที่ขันธ์ 5 คือเห็นว่ารูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ มันไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา เราไม่มีใน รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ หรือว่า รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ไม่มีในเรา" เท่านี้ไหวไหม นี่การปฏิบัติจริง ๆ เราจับกันอยู่ตรงนี้เท่านั้นเองนะ ที่ผมพูดมามากน่ะกันคนเลอะเทอะ กันคนที่มีปัญญาทราม ไม่รู้จักใช้ปัญญาพิจารณาให้เป็นประโยชน์ หากว่าจะถามว่าเวลาผมศึกษา ผมศึกษาตรงไหน ด้านศึกษานี่หมายความถึงการปฏิบัติ ผมก็ยึดคำสอนขององค์สมเด็จพระทรงสวัสดิ์ที่ตรงกับคำสอนของพระสารีบุตร นี้เป็นเครื่องปฏิบัติโดยเฉพาะ
มีต่อ หนังสือ คู่มือปฎิบัติวัดท่าซุง เล่ม 1 อานาปานุสสติกรรมฐาน ตอนที่ 18.2 https://ppantip.com/topic/43166979