ต่อจาก หนังสือ คู่มือปฎิบัติวัดท่าซุง เล่ม 1 อสุภกรรมฐาน ตอนที่ 3.1 https://ppantip.com/topic/43207027
อสุภกรรมฐาน ตอนที่ 3.2
เป็นอันว่าต่อแต่นี้ไปจงจำไว้ว่า การเจริญพระกรรมฐานที่สอนกันมาน่ะ เจาะกันอยู่เฉพาะสังโยชน์ 10 ประการไม่รู้กี่วาระ ถ้าเอาจิตจับไว้เฉพาะตรงนั้น จะไปยุ่งอะไรกับไอ้อารมณ์ต่าง ๆ ที่มันไม่เข้าเที่ยวเข้าราว นี่การบรรลุหรือไม่บรรลุได้หรือไม่ได้นี่มันอยู่ที่เรา จะไปเที่ยวนั่งถามชาวบ้านชาวเมืองเขา ถ้าเราขี้เกียจ เราเป็นคนไม่ดี จะไปบอกว่าบรรลุมันก็ไม่ได้ ถ้าคนเขาดีจะบอกว่าไม่บรรลุมันก็ไม่ได้ มันขึ้นกับเราโดยเฉพาะเท่านั้น จะมีผลดีหรือว่าผลชั่ว
ฉะนั้นขอท่านทั้งหลายเจริญพระกรรมฐาน ที่พูดมามากมาย ไม่ได้มีความประสงค์อะไร ต้องการมีความประสงค์อย่างเดียว จิตจับเฉพาะจุดเหตุ ได้แก่ เหตุ 4 ประการ คือว่าจุด 4 จุด ที่กล่าวมานี้เท่านั้น
อันดับแรกก็ดูเสียก่อนว่า เราเป็นพระโสดาบันแล้วหรือยัง จับมันแค่นี้ อารมณ์อย่างอื่นจะไปยุ่งมันทำไม นี่ความดีมันอยู่แค่นี้ ความประสงค์มันอยู่แค่นี้ ฟังกันก็ฟังกันไม่รู้วันละเท่าไร ฟังกันเป็นร้อยเป็นพันครั้งนี่ไม่มีความเข้าใจ นี่มันก็เสร็จ อย่าลืมนะ อย่าลืมว่าผู้สอนนี่ไม่ได้สนใจกับใครเป็นกรณีพิเศษ ถ้าลงสอนแบบนี้ ถ้าใครสงสัยเข้ามาล่ะก็โดนหนักทุกราย ถีอว่ามีตาเป็นตากระทู้ มีหูเป็นหูกระทะ ตามีแล้วก็ดูไม่เห็น หูมีแล้วก็ฟังไม่ได้ยิน
จงจำไว้ว่าการปฏิบัติพระกรรมฐานดูกฎของพระโสดาบัน จำมันไว้เท่านั้น สนใจไว้เฉพาะเท่านั้นว่า เราต้องการเป็นพระโสดาบัน อารมณ์อื่นอย่าไปยุ่ง เมื่ออารมณ์เข้าถึงพระโสดาบันแล้ว เราต้องก้าวเข้าไปหาพระสกิทาคามี เมื่อจบแห่งกิจพระสกิทาคามีแล้ว เราต้องก้าวเข้าไปถึงพระอนาคามี จากนั้นมุ่งหน้าเข้าไปสู่ความเป็นอรหันต์ เท่านี้มีเท่านี้เอง สอนมานี่ถ้าจะไปขีดเขียนเป็นหนังสือก็ต้องใช้รถใส่แล้วแบกกันไม่ไหว
เอาต่อแต่นี้ไปขอบรรดาท่านทั้งหลาย จงรับฟังเรื่องราวของสุภสัญญา และอสุภกรรมฐาน ตัวอย่างเมื่อคืนที่แล้วได้พูดมาแล้วว่า สำหรับพระที่ไปรักนางสิริมา เมื่อองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงทราบว่านางสิริมาตาย สมเด็จพระจอมไตรจึงให้ประกาศบรรดาพระสงฆ์ทั้งหลายว่า เวลานี้เราจะไปเยี่ยมนางสิริมา พระที่หลงรักนางสิริมาก็ดีใจว่าจะได้เห็นหน้านางสิริมาอีกครั้งหนึ่ง คราวนี้ไปพบนางสิริมาตายแล้ว องค์สมเด็จพระจอมไตรก็ทรงอธิบายตามที่กล่าวมาแล้วในเบื้องต้น คือเมื่อวันที่แล้ว นี่เราก็มานั่งนึกถึงตัวของเรา นึกตรงไหน ถ้าเรายังมีความรักในเพศ เราก็มานั่งนึกว่าร่างกายของคนก็ดี ร่างกายของสัตว์ก็ดี มันมีแต่ความสกปรกนี่ อสุภกรรมฐานเขาคิดอย่างนี้นะ ยังไม่ตายภายในมีทั้งขี้ มีทั้งยี่ยว มีทั้งน้ำเลือด น้ำเหลือง น้ำหนอง มันสะอาดหรือว่ามันสกปรก นั่งนึกมันดูตรงนี้ว่ามันสะอาดหรือสกปรก เมื่อตายไปแล้วสิ่งทั้งหลายเหล่านั้นที่คั่งค้างอยู่ภายใน มันไหลออกมา มันสะอาดหรือสกปรก ดูกันจุดนี้
แล้ววันนี้คุณอรัญบอกว่า สงสัยนิดหนึ่ง อันนี้น่าบอก ถ้าสงสัยแบบนี้ สงสัยแบบคนฉลาด สงสัยว่าคนที่เป็นโรคกระเพาะอาหาร กับคนที่เป็นโรคริดสีดวงจมูก ไม่ควรพิจารณาอสุภกรรมฐานคือว่า เมื่อคืนนี้ผมอาจจะพูดไม่ชัด หรือฟังไม่ถนัด แต่ความจริงนะท่านไม่ได้ห้ามว่า ไอ้การที่จะเข้าไปพิจารณาอสุภคือ คนตายแล้วไม่ได้ห้าม แต่ว่าอย่าเข้าไปใกล้ศพ เพราะว่าการพิจารณาคนตายนี่เขายืนใกล้ศพ ยืนให้กลิ่นเหม็นมันกระทบจมูก แล้วก็มองดูภาพลีสันวรรณะของคนตาย ตาย 2 วัน 2 วันมีสีเขียว วันที่ 3 ขึ้นอึดเริ่มขึ้น หลังจากนั้นไปขึ้นปริ่มเต็มที่ น้ำเหลืองไหล ตาปลิ้น ลิ้นจุกมีหนังแยกแตกออกไป
นี่เราก็พิจารณาว่าโอหนอ...ร่างกายของคนเราเป็นอย่างนี้ มันไม่มีอะไรดี ที่เรามีความหลงใหลใฝ่ฝัน ไปรักคนนั้น ไปชอบคนนี้ นี่ความจริงมันเป็นของสกปรก มันเป็นของไม่ดี ฉะนั้นคนที่เป็นโรคกระเพาะอาหารก็ดี คนที่เป็นโรครีคสีดวงจมูกก็ดี พิจารณาได้แต่อยู่ไกล ๆ อย่าให้เข้าไปใกล้ศพ อย่ากระทบกลิ่นเหม็น ถ้าเข้าไปกระทบกลิ่นเหม็นแล้วนี่ท้องมันจะกำเริบ อาการที่ท้องไม่ดีอยู่แล้วมันจะกำเริบ สำหรับโรคริดสีดวงจมูก กระทบกลิ่นเหม็นเข้า โรคริดสีดวงจมูกจะกำเริบ ถ้าจะพิจารณาก็อยู่ไกล ๆ กลิ่น ถ้ามันจะได้กลิ่นมั่งก็ได้กลิ่นแต่น้อย ๆ แต่ไม่ควรจะได้กลิ่นเลย
แล้ววิธีนั้นถึงคนมีร่างกายดีก็เหมือนกัน องค์สมเด็จพระทรงธรรมให้ยืนเหนือลม แต่เฉียง ๆ อย่ายืนตรง ลมที่พุ่งเข้ามาถูกตัวคนตาย ถ้าทำแบบนั้นอาการทางกลิ่นมันจะย้อนกลับเข้าไปหาเรา สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่ต้องการให้พระหรือว่าบรรดาฆราวาสที่ปฏิบัติกรรมฐาน สร้างความทรมานกายถึงเพียงนั้น พระองค์สมเด็จพระพรงธรรม์ทรงมีความรู้เรื่องอนามัยดี สมเด็จพระซินสีห์ให้ยืนเฉียง ๆ ลม ยืนด้านเหนือลม แล้วก็ยืนเฉียง ๆ เมื่อลมมาถูกกลิ่นศพก็พากลิ่นศพไหลไปทางด้านใต้ลม เราจะกระทบกลิ่นบ้างก็นิดหน่อยเท่านั้น เป็นอันว่าข้อนี้ขอให้เข้าใจ
ทีนี้ต่อไปเวลาพิจารณาศพ เขาพิจารณาศพแล้วให้จำภาพศพ จำให้ดีนะว่าจำภาพศพนั้นให้ติดตาว่า น้ำเหลืองมันไหลตรงไหน หนังมันแตกตรงไหน ซากผิวร่างกายของศพมีสภาพเป็นอย่างไง จำให้ติดตา ตอนนี้เป็นกสิณแล้วนะ จำให้ติดตา จำให้ติดใจ กลับมาถึงที่ของตน ก็มานั่งนึกถึงภาพของซากศพ นึกถึงภาพที่เห็นนั้นให้มันติดใจ นึกขึ้นมาเมื่อไรให้ปรากภูเมื่อนั้น เอามาเทียบกับร่างกายของเรา ว่าร่างกายของเราไม่ช้ามันก็มีสภาพแบบนี้ เมื่อร่างกายของบุคคลอื่นที่เรารัก ที่เราเห็นว่าสวยสดงดงาม มันก็มีสภาพแบบเดียวกัน แล้วมันน่ารักตรงไหน ใจมันก็เบื่อ เขาเรียกว่า นิพพิทาญาณ ความเบื่อหน่ายเกิดขึ้น ไอ้เรื่องการเห็นพิจารณาซากศพให้ติดใจนี่ จำเป็นอย่างยิ่ง มีความจำเป็น
เวลานี้โครงกระดูกมีอยู่ที่ อาคารกองทุน ใครอยากจะรู้ว่าร่างกายของเรามีอะไรเป็นแกน ก็มาดูโครงกระดูก พิจารณาได้ว่ามันสวยตรงไหนบ้าง นี่โครงของร่างกายให้มันติดตาแล้วก็ติดใจ มองเห็นคน มองเห็นสัตว์ มองเห็นเรา มองเห็นเขาให้มีความรู้สึกว่า ภาพคน ๆ นั้น ก็คือ ซากศพที่เราเห็น ให้มีความรู้สึกจริงใจแบบนั้นเห็นคนปั๊บนึกว่าเป็นศพ มีภาพขึ้นอึด สิ้นลมปราณแบบนั้น ถ้าเราเจริญกายคตานุสสติกรรมฐาน เห็นคนปั้บภายนอก พอเห็นเสื้อ เห็นผ้าที่ปิดบัง เห็นข้างในทันที รู้สึกว่าร่างกายภายใน ร่างกายของบุคคลคนนี้ แสนจะสกปรก ไม่มีการทรงตัว เมื่อจิตกำหนดอารมณ์อย่างนี้ทรงตัวดีแล้ว ไอ้ความเบื่อหน่ายที่เห็นคนเป็นศพ มันจะเกิดขึ้น ไม่ต้องไปซ้อมกำลังใจให้ มันมีความรู้สึกอย่างนั้น มันจะมีความรู้สึกของมันขึ้นมาทันทีทันใดว่า โอหนอ เห็นหน้าเมื่อไร เป็นศพเมื่อนั้น
เมื่อเห็นคนเป็นศพ ความรักในระหว่างเพศมันจะเกิดขึ้นได้อย่างไร หรือว่าเห็นคนเป็นส้วม อย่างพิจารณาในกายคตานุสสติกรรมฐาน เห็นหน้าคนปั๊ปเห็นผิวคนเห็นผ้าที่แต่งตัว พอเห็นเขาเดินมาปั๊บ มีความรู้สึกทันที รู้สึกว่าข้างในมันเป็นส้วม เต็มไปด้วยความสกปรก นี่ความรักมันจะเกิดขึ้นได้จากไหน จงจำไว้ให้ดีนะว่าเขาปฏิบัติกันอย่างนี้
เมื่อปฏิบัติกันอย่างนี้ แล้วก็มองต่อไปว่าร่างกายของคนศพนี้ นอกจากจะเน่าแล้วมันเป็นหรือมันตาย เวลานี้เขาเป็นคนเป็นหรือเขาเป็นคนตาย ก็มีความรู้สึกว่าเขาเป็นคนตาย ในเมื่อเขาเป็นคนตาย เรามีความต้องการในคนตายไหม เน่า ๆ เหม็น ๆ อย่างนี้เราต้องการไหม เราไม่ต้องการ
แล้วคนที่ตายไปแล้ว มีใครบ้างต้องการเอาไปเป็นสมบัติมันก็ไม่มี แล้วคนที่ตายนี่ เดิมทีเขามีสามีไหม เขามีภรรยาไหม เขามีพ่อ มีแม่ มีลูก มีหลาน มีญาติ มีพวกมีพ้องไหม เขามีสมบัติพัสถานหรือเปล่า เราก็ต้องทราบว่าคนที่เกิดมานี้ไม่มีพ่อ ไม่มีแม่ ไม่มีแน่ เขาต้องมี แล้วก็ต้องมีญาติ ทรัพย์สินมีไม่มากก็มีน้อย ถึงแม้ว่ายาจกวนิพก ก็ยังมีของใช้ของสอยเล็ก ๆ น้อย ๆ ถือว่ามีสมบัติ เราก็มานั่งนึกว่า คน ๆ นี้ เขาแบกอะไรไปได้บ้าง เมื่อเวลาที่เขาตาย แล้วก็สำหรับเราล่ะ ถ้าตายอย่างเขา เราจะนำอะไรไปได้บ้าง ทรัพย์สินทั้งหลายที่เรามีอยู่ทั้งหมดนี่ เรามีจิตยึดถือ หวงแหนว่านั่นมันเป็นเรา เป็นของเรา แล้วก็ทำไมล่ะ เวลาที่ตายไปแล้วเขาก็มีความรู้สึกเช่นเรา ทำไมเขาไม่แบกเอาไป
แม้แต่ร่างกายของเรานี้ เป็นทรัพย์สินที่เรามีความรักหวงแหนมากที่สุด เงินหรือทองที่เรารัก มันสูญเสียไป เราจะรู้สึกเสียดายบ้าง แต่ไม่ช้ามันก็คลาย แต่ว่าร่างกายของเรานี้ ใครแตะใครต้องไม่ได้ เกลียดโกรธมาก แม้แต่ใครตินิดเดียวว่าผมไม่ดี ผิวไม่สวย หน้าไม่งาม ยิ้มไม่เก๋ เพียงแค่นี้ เราก็ใกรธ โกรธเพราะอะไร เพราะว่าถือว่าไอ้ร่างกายของเรานี้มันดี นี่สิ่งทั้งหมดขึ้นชื่อว่าเป็นสมบัติที่เราจะคิดว่ามีความสำคัญที่สุดก็คือ ร่างกาย แล้วเวลานี้นี่เขาตายร่างกายเขาเป็นอย่างไร ในเมื่อตายแล้ว ชีวิตจิตใจของเขาไปไหน ตายแล้วมัวมันมีสภาพไม่สูญ นี่เราเป็นลูกศิษย์พระพุทธเจ้า เป็นลูกพระพุทธเจ้าต้องมีความรู้สึกแบบนี้ ถ้ากรรมที่เป็นกุศลดี เขาตายแล้ว เราไปสวรรค์ ไปพรหม ไปนิพพาน เป็นอารมณ์ที่เป็นอกุศลเข้ามาส่งใจ เขาก็ไปอบายภูมิไปเกิดเป็นสัตว์นรก เปรต อสุรกาย สัตว์เดรัจฉาน แล้วเรายังมีความต้องการร่างกายซึ่งเป็นปัจจัยของความทุกข์ เรายังมีความต้องการร่างกายที่เต็มไปด้วยความสกปรกโสโครก เรายังมีความต้องการที่มันจะต้องตายคือเรา คือจิตจะต้องจากมัน ในฐานะที่เราเป็นมิตรที่ดี มันต้องการกินเราให้กิน มันต้องการนอนเราให้นอน ต้องการครื่องแต่งตัวเราให้ ต้องการดูมหรศพ เราก็พาไป ต้องการเย็นเราหาเย็นมาให้ ต้องการร้อน เราหาร้อนมาให้ แต่ว่าเจ้าร่างกายนี่มันมีความกตัญญูรู้คุณของเราบ้างหรือเปล่า มันรู้ไหม เราไม่ต้องการให้มันป่วย มันป่วยไหม เราไม่ต้องการให้มันแก่ มันแก่ไหม เราไม่ต้องการให้มันตาย แล้วมันตายไหม ตายหรือไม่ตาย ดูตัวอย่างซากศพ
ในเมื่อมันไม่เชื่อเราอย่างนี้ เรายังมีความพอใจมันอีกหรือ มันเป็นของไม่ดีอย่างนี้ สำหรับอสุภกรรมฐานนี่เป็นกรรมฐานที่มีความสำคัญยิ่งอันหนึ่ง ถ้าบรรดาท่านพุทธบริษัทชายหญิง และบรรดาภิกษุสามเณร ถ้าทรงอารมณ์ในภาพของอสุภกรรมฐานให้เป็นฌาน คือติดใจอยู่เสมอ นึกถึงขึ้นมาเมื่อไร เห็นภาพนั้นอยู่เสมอ เมื่อเห็นภาพนั้นแล้วก็มาเทียบกับร่างกาย คิดว่าร่างกายของเราก็เป็นภาพนั้น พิจารณาร่างกายของเราเมื่อไร เห็นมันเน่า มันพอง มันเลอะเทอะ น้ำเหลืองไหลอยู่เสมอ เมื่อลิ้นลมปราณ มันเน่าแล้วก็แถมตายด้วย เห็นคนอื่นคนใดก็ตามที มีความรู้สึกอย่างนี้ เมื่อเห็นปั๊บ ความจริงเขาเดินได้ แต่ในใจรู้สึกว่า แหม! นี่ซากศพเคลื่อนที่เข้ามาใกล้เราอยู่แล้ว มันเป็นภาพเป็นร่างกายที่น่ารังเกียจที่สุด
เอาล่ะบรรดาท่านพุทธบริษัท เวลามันจะเลย เป็นอันว่าถ้าจิตของท่านผู้ใดเจริญพระกรรมฐาน พรงกำลังใจเป็นฌานอย่างนี้ คือเอาอสุภคือซากศพขึ้นมาเป็นกสิณให้มันทรงตัว แล้วจิตของท่านมันจะระจับจากกามฉันทะทันที จะไม่มีความรู้สึกในระหว่างเพศ แต่ทว่ายังเป็นฌานโลกีย์ ยังเอาดีไม่ได้ แต่ว่าใกล้จะดีแล้ว เอาล่ะ เวลานี้มันก็หมดเสียแล้ว นี่ขอยุติไว้แต่เพียงเท่านี้
ต่อแต่นี้ไปขอบรรคาท่านพุทธบริษัททั้งหลายตั้งกายให้ตรง ดำรงจิตให้มั่น ทรงในอิริยาบถที่ท่านต้องการ พิจารณาร่างกายตามสภาวะของซากศพก็ดี หรือว่ากำลังใจของท่านบันดาลเข้าถึงอริยมรรค อริยผล ก็ขอบรรดาท่านพุทธศาสนิกชนปฏิบัติตามนั้น จนกว่าจะถึงเวลาที่ท่านเห็นว่าสมควรจะเลิก
สวัสดี
ลิงค์ทั้งหมด https://ppantip.com/profile/8483559#topics
หนังสือ คู่มือปฎิบัติวัดท่าซุง เล่ม 1 อสุภกรรมฐาน ตอนที่ 3.2
อสุภกรรมฐาน ตอนที่ 3.2
เป็นอันว่าต่อแต่นี้ไปจงจำไว้ว่า การเจริญพระกรรมฐานที่สอนกันมาน่ะ เจาะกันอยู่เฉพาะสังโยชน์ 10 ประการไม่รู้กี่วาระ ถ้าเอาจิตจับไว้เฉพาะตรงนั้น จะไปยุ่งอะไรกับไอ้อารมณ์ต่าง ๆ ที่มันไม่เข้าเที่ยวเข้าราว นี่การบรรลุหรือไม่บรรลุได้หรือไม่ได้นี่มันอยู่ที่เรา จะไปเที่ยวนั่งถามชาวบ้านชาวเมืองเขา ถ้าเราขี้เกียจ เราเป็นคนไม่ดี จะไปบอกว่าบรรลุมันก็ไม่ได้ ถ้าคนเขาดีจะบอกว่าไม่บรรลุมันก็ไม่ได้ มันขึ้นกับเราโดยเฉพาะเท่านั้น จะมีผลดีหรือว่าผลชั่ว
ฉะนั้นขอท่านทั้งหลายเจริญพระกรรมฐาน ที่พูดมามากมาย ไม่ได้มีความประสงค์อะไร ต้องการมีความประสงค์อย่างเดียว จิตจับเฉพาะจุดเหตุ ได้แก่ เหตุ 4 ประการ คือว่าจุด 4 จุด ที่กล่าวมานี้เท่านั้น
อันดับแรกก็ดูเสียก่อนว่า เราเป็นพระโสดาบันแล้วหรือยัง จับมันแค่นี้ อารมณ์อย่างอื่นจะไปยุ่งมันทำไม นี่ความดีมันอยู่แค่นี้ ความประสงค์มันอยู่แค่นี้ ฟังกันก็ฟังกันไม่รู้วันละเท่าไร ฟังกันเป็นร้อยเป็นพันครั้งนี่ไม่มีความเข้าใจ นี่มันก็เสร็จ อย่าลืมนะ อย่าลืมว่าผู้สอนนี่ไม่ได้สนใจกับใครเป็นกรณีพิเศษ ถ้าลงสอนแบบนี้ ถ้าใครสงสัยเข้ามาล่ะก็โดนหนักทุกราย ถีอว่ามีตาเป็นตากระทู้ มีหูเป็นหูกระทะ ตามีแล้วก็ดูไม่เห็น หูมีแล้วก็ฟังไม่ได้ยิน
จงจำไว้ว่าการปฏิบัติพระกรรมฐานดูกฎของพระโสดาบัน จำมันไว้เท่านั้น สนใจไว้เฉพาะเท่านั้นว่า เราต้องการเป็นพระโสดาบัน อารมณ์อื่นอย่าไปยุ่ง เมื่ออารมณ์เข้าถึงพระโสดาบันแล้ว เราต้องก้าวเข้าไปหาพระสกิทาคามี เมื่อจบแห่งกิจพระสกิทาคามีแล้ว เราต้องก้าวเข้าไปถึงพระอนาคามี จากนั้นมุ่งหน้าเข้าไปสู่ความเป็นอรหันต์ เท่านี้มีเท่านี้เอง สอนมานี่ถ้าจะไปขีดเขียนเป็นหนังสือก็ต้องใช้รถใส่แล้วแบกกันไม่ไหว
เอาต่อแต่นี้ไปขอบรรดาท่านทั้งหลาย จงรับฟังเรื่องราวของสุภสัญญา และอสุภกรรมฐาน ตัวอย่างเมื่อคืนที่แล้วได้พูดมาแล้วว่า สำหรับพระที่ไปรักนางสิริมา เมื่อองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงทราบว่านางสิริมาตาย สมเด็จพระจอมไตรจึงให้ประกาศบรรดาพระสงฆ์ทั้งหลายว่า เวลานี้เราจะไปเยี่ยมนางสิริมา พระที่หลงรักนางสิริมาก็ดีใจว่าจะได้เห็นหน้านางสิริมาอีกครั้งหนึ่ง คราวนี้ไปพบนางสิริมาตายแล้ว องค์สมเด็จพระจอมไตรก็ทรงอธิบายตามที่กล่าวมาแล้วในเบื้องต้น คือเมื่อวันที่แล้ว นี่เราก็มานั่งนึกถึงตัวของเรา นึกตรงไหน ถ้าเรายังมีความรักในเพศ เราก็มานั่งนึกว่าร่างกายของคนก็ดี ร่างกายของสัตว์ก็ดี มันมีแต่ความสกปรกนี่ อสุภกรรมฐานเขาคิดอย่างนี้นะ ยังไม่ตายภายในมีทั้งขี้ มีทั้งยี่ยว มีทั้งน้ำเลือด น้ำเหลือง น้ำหนอง มันสะอาดหรือว่ามันสกปรก นั่งนึกมันดูตรงนี้ว่ามันสะอาดหรือสกปรก เมื่อตายไปแล้วสิ่งทั้งหลายเหล่านั้นที่คั่งค้างอยู่ภายใน มันไหลออกมา มันสะอาดหรือสกปรก ดูกันจุดนี้
แล้ววันนี้คุณอรัญบอกว่า สงสัยนิดหนึ่ง อันนี้น่าบอก ถ้าสงสัยแบบนี้ สงสัยแบบคนฉลาด สงสัยว่าคนที่เป็นโรคกระเพาะอาหาร กับคนที่เป็นโรคริดสีดวงจมูก ไม่ควรพิจารณาอสุภกรรมฐานคือว่า เมื่อคืนนี้ผมอาจจะพูดไม่ชัด หรือฟังไม่ถนัด แต่ความจริงนะท่านไม่ได้ห้ามว่า ไอ้การที่จะเข้าไปพิจารณาอสุภคือ คนตายแล้วไม่ได้ห้าม แต่ว่าอย่าเข้าไปใกล้ศพ เพราะว่าการพิจารณาคนตายนี่เขายืนใกล้ศพ ยืนให้กลิ่นเหม็นมันกระทบจมูก แล้วก็มองดูภาพลีสันวรรณะของคนตาย ตาย 2 วัน 2 วันมีสีเขียว วันที่ 3 ขึ้นอึดเริ่มขึ้น หลังจากนั้นไปขึ้นปริ่มเต็มที่ น้ำเหลืองไหล ตาปลิ้น ลิ้นจุกมีหนังแยกแตกออกไป
นี่เราก็พิจารณาว่าโอหนอ...ร่างกายของคนเราเป็นอย่างนี้ มันไม่มีอะไรดี ที่เรามีความหลงใหลใฝ่ฝัน ไปรักคนนั้น ไปชอบคนนี้ นี่ความจริงมันเป็นของสกปรก มันเป็นของไม่ดี ฉะนั้นคนที่เป็นโรคกระเพาะอาหารก็ดี คนที่เป็นโรครีคสีดวงจมูกก็ดี พิจารณาได้แต่อยู่ไกล ๆ อย่าให้เข้าไปใกล้ศพ อย่ากระทบกลิ่นเหม็น ถ้าเข้าไปกระทบกลิ่นเหม็นแล้วนี่ท้องมันจะกำเริบ อาการที่ท้องไม่ดีอยู่แล้วมันจะกำเริบ สำหรับโรคริดสีดวงจมูก กระทบกลิ่นเหม็นเข้า โรคริดสีดวงจมูกจะกำเริบ ถ้าจะพิจารณาก็อยู่ไกล ๆ กลิ่น ถ้ามันจะได้กลิ่นมั่งก็ได้กลิ่นแต่น้อย ๆ แต่ไม่ควรจะได้กลิ่นเลย
แล้ววิธีนั้นถึงคนมีร่างกายดีก็เหมือนกัน องค์สมเด็จพระทรงธรรมให้ยืนเหนือลม แต่เฉียง ๆ อย่ายืนตรง ลมที่พุ่งเข้ามาถูกตัวคนตาย ถ้าทำแบบนั้นอาการทางกลิ่นมันจะย้อนกลับเข้าไปหาเรา สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่ต้องการให้พระหรือว่าบรรดาฆราวาสที่ปฏิบัติกรรมฐาน สร้างความทรมานกายถึงเพียงนั้น พระองค์สมเด็จพระพรงธรรม์ทรงมีความรู้เรื่องอนามัยดี สมเด็จพระซินสีห์ให้ยืนเฉียง ๆ ลม ยืนด้านเหนือลม แล้วก็ยืนเฉียง ๆ เมื่อลมมาถูกกลิ่นศพก็พากลิ่นศพไหลไปทางด้านใต้ลม เราจะกระทบกลิ่นบ้างก็นิดหน่อยเท่านั้น เป็นอันว่าข้อนี้ขอให้เข้าใจ
ทีนี้ต่อไปเวลาพิจารณาศพ เขาพิจารณาศพแล้วให้จำภาพศพ จำให้ดีนะว่าจำภาพศพนั้นให้ติดตาว่า น้ำเหลืองมันไหลตรงไหน หนังมันแตกตรงไหน ซากผิวร่างกายของศพมีสภาพเป็นอย่างไง จำให้ติดตา ตอนนี้เป็นกสิณแล้วนะ จำให้ติดตา จำให้ติดใจ กลับมาถึงที่ของตน ก็มานั่งนึกถึงภาพของซากศพ นึกถึงภาพที่เห็นนั้นให้มันติดใจ นึกขึ้นมาเมื่อไรให้ปรากภูเมื่อนั้น เอามาเทียบกับร่างกายของเรา ว่าร่างกายของเราไม่ช้ามันก็มีสภาพแบบนี้ เมื่อร่างกายของบุคคลอื่นที่เรารัก ที่เราเห็นว่าสวยสดงดงาม มันก็มีสภาพแบบเดียวกัน แล้วมันน่ารักตรงไหน ใจมันก็เบื่อ เขาเรียกว่า นิพพิทาญาณ ความเบื่อหน่ายเกิดขึ้น ไอ้เรื่องการเห็นพิจารณาซากศพให้ติดใจนี่ จำเป็นอย่างยิ่ง มีความจำเป็น
เวลานี้โครงกระดูกมีอยู่ที่ อาคารกองทุน ใครอยากจะรู้ว่าร่างกายของเรามีอะไรเป็นแกน ก็มาดูโครงกระดูก พิจารณาได้ว่ามันสวยตรงไหนบ้าง นี่โครงของร่างกายให้มันติดตาแล้วก็ติดใจ มองเห็นคน มองเห็นสัตว์ มองเห็นเรา มองเห็นเขาให้มีความรู้สึกว่า ภาพคน ๆ นั้น ก็คือ ซากศพที่เราเห็น ให้มีความรู้สึกจริงใจแบบนั้นเห็นคนปั๊บนึกว่าเป็นศพ มีภาพขึ้นอึด สิ้นลมปราณแบบนั้น ถ้าเราเจริญกายคตานุสสติกรรมฐาน เห็นคนปั้บภายนอก พอเห็นเสื้อ เห็นผ้าที่ปิดบัง เห็นข้างในทันที รู้สึกว่าร่างกายภายใน ร่างกายของบุคคลคนนี้ แสนจะสกปรก ไม่มีการทรงตัว เมื่อจิตกำหนดอารมณ์อย่างนี้ทรงตัวดีแล้ว ไอ้ความเบื่อหน่ายที่เห็นคนเป็นศพ มันจะเกิดขึ้น ไม่ต้องไปซ้อมกำลังใจให้ มันมีความรู้สึกอย่างนั้น มันจะมีความรู้สึกของมันขึ้นมาทันทีทันใดว่า โอหนอ เห็นหน้าเมื่อไร เป็นศพเมื่อนั้น
เมื่อเห็นคนเป็นศพ ความรักในระหว่างเพศมันจะเกิดขึ้นได้อย่างไร หรือว่าเห็นคนเป็นส้วม อย่างพิจารณาในกายคตานุสสติกรรมฐาน เห็นหน้าคนปั๊ปเห็นผิวคนเห็นผ้าที่แต่งตัว พอเห็นเขาเดินมาปั๊บ มีความรู้สึกทันที รู้สึกว่าข้างในมันเป็นส้วม เต็มไปด้วยความสกปรก นี่ความรักมันจะเกิดขึ้นได้จากไหน จงจำไว้ให้ดีนะว่าเขาปฏิบัติกันอย่างนี้
เมื่อปฏิบัติกันอย่างนี้ แล้วก็มองต่อไปว่าร่างกายของคนศพนี้ นอกจากจะเน่าแล้วมันเป็นหรือมันตาย เวลานี้เขาเป็นคนเป็นหรือเขาเป็นคนตาย ก็มีความรู้สึกว่าเขาเป็นคนตาย ในเมื่อเขาเป็นคนตาย เรามีความต้องการในคนตายไหม เน่า ๆ เหม็น ๆ อย่างนี้เราต้องการไหม เราไม่ต้องการ
แล้วคนที่ตายไปแล้ว มีใครบ้างต้องการเอาไปเป็นสมบัติมันก็ไม่มี แล้วคนที่ตายนี่ เดิมทีเขามีสามีไหม เขามีภรรยาไหม เขามีพ่อ มีแม่ มีลูก มีหลาน มีญาติ มีพวกมีพ้องไหม เขามีสมบัติพัสถานหรือเปล่า เราก็ต้องทราบว่าคนที่เกิดมานี้ไม่มีพ่อ ไม่มีแม่ ไม่มีแน่ เขาต้องมี แล้วก็ต้องมีญาติ ทรัพย์สินมีไม่มากก็มีน้อย ถึงแม้ว่ายาจกวนิพก ก็ยังมีของใช้ของสอยเล็ก ๆ น้อย ๆ ถือว่ามีสมบัติ เราก็มานั่งนึกว่า คน ๆ นี้ เขาแบกอะไรไปได้บ้าง เมื่อเวลาที่เขาตาย แล้วก็สำหรับเราล่ะ ถ้าตายอย่างเขา เราจะนำอะไรไปได้บ้าง ทรัพย์สินทั้งหลายที่เรามีอยู่ทั้งหมดนี่ เรามีจิตยึดถือ หวงแหนว่านั่นมันเป็นเรา เป็นของเรา แล้วก็ทำไมล่ะ เวลาที่ตายไปแล้วเขาก็มีความรู้สึกเช่นเรา ทำไมเขาไม่แบกเอาไป
แม้แต่ร่างกายของเรานี้ เป็นทรัพย์สินที่เรามีความรักหวงแหนมากที่สุด เงินหรือทองที่เรารัก มันสูญเสียไป เราจะรู้สึกเสียดายบ้าง แต่ไม่ช้ามันก็คลาย แต่ว่าร่างกายของเรานี้ ใครแตะใครต้องไม่ได้ เกลียดโกรธมาก แม้แต่ใครตินิดเดียวว่าผมไม่ดี ผิวไม่สวย หน้าไม่งาม ยิ้มไม่เก๋ เพียงแค่นี้ เราก็ใกรธ โกรธเพราะอะไร เพราะว่าถือว่าไอ้ร่างกายของเรานี้มันดี นี่สิ่งทั้งหมดขึ้นชื่อว่าเป็นสมบัติที่เราจะคิดว่ามีความสำคัญที่สุดก็คือ ร่างกาย แล้วเวลานี้นี่เขาตายร่างกายเขาเป็นอย่างไร ในเมื่อตายแล้ว ชีวิตจิตใจของเขาไปไหน ตายแล้วมัวมันมีสภาพไม่สูญ นี่เราเป็นลูกศิษย์พระพุทธเจ้า เป็นลูกพระพุทธเจ้าต้องมีความรู้สึกแบบนี้ ถ้ากรรมที่เป็นกุศลดี เขาตายแล้ว เราไปสวรรค์ ไปพรหม ไปนิพพาน เป็นอารมณ์ที่เป็นอกุศลเข้ามาส่งใจ เขาก็ไปอบายภูมิไปเกิดเป็นสัตว์นรก เปรต อสุรกาย สัตว์เดรัจฉาน แล้วเรายังมีความต้องการร่างกายซึ่งเป็นปัจจัยของความทุกข์ เรายังมีความต้องการร่างกายที่เต็มไปด้วยความสกปรกโสโครก เรายังมีความต้องการที่มันจะต้องตายคือเรา คือจิตจะต้องจากมัน ในฐานะที่เราเป็นมิตรที่ดี มันต้องการกินเราให้กิน มันต้องการนอนเราให้นอน ต้องการครื่องแต่งตัวเราให้ ต้องการดูมหรศพ เราก็พาไป ต้องการเย็นเราหาเย็นมาให้ ต้องการร้อน เราหาร้อนมาให้ แต่ว่าเจ้าร่างกายนี่มันมีความกตัญญูรู้คุณของเราบ้างหรือเปล่า มันรู้ไหม เราไม่ต้องการให้มันป่วย มันป่วยไหม เราไม่ต้องการให้มันแก่ มันแก่ไหม เราไม่ต้องการให้มันตาย แล้วมันตายไหม ตายหรือไม่ตาย ดูตัวอย่างซากศพ
ในเมื่อมันไม่เชื่อเราอย่างนี้ เรายังมีความพอใจมันอีกหรือ มันเป็นของไม่ดีอย่างนี้ สำหรับอสุภกรรมฐานนี่เป็นกรรมฐานที่มีความสำคัญยิ่งอันหนึ่ง ถ้าบรรดาท่านพุทธบริษัทชายหญิง และบรรดาภิกษุสามเณร ถ้าทรงอารมณ์ในภาพของอสุภกรรมฐานให้เป็นฌาน คือติดใจอยู่เสมอ นึกถึงขึ้นมาเมื่อไร เห็นภาพนั้นอยู่เสมอ เมื่อเห็นภาพนั้นแล้วก็มาเทียบกับร่างกาย คิดว่าร่างกายของเราก็เป็นภาพนั้น พิจารณาร่างกายของเราเมื่อไร เห็นมันเน่า มันพอง มันเลอะเทอะ น้ำเหลืองไหลอยู่เสมอ เมื่อลิ้นลมปราณ มันเน่าแล้วก็แถมตายด้วย เห็นคนอื่นคนใดก็ตามที มีความรู้สึกอย่างนี้ เมื่อเห็นปั๊บ ความจริงเขาเดินได้ แต่ในใจรู้สึกว่า แหม! นี่ซากศพเคลื่อนที่เข้ามาใกล้เราอยู่แล้ว มันเป็นภาพเป็นร่างกายที่น่ารังเกียจที่สุด
เอาล่ะบรรดาท่านพุทธบริษัท เวลามันจะเลย เป็นอันว่าถ้าจิตของท่านผู้ใดเจริญพระกรรมฐาน พรงกำลังใจเป็นฌานอย่างนี้ คือเอาอสุภคือซากศพขึ้นมาเป็นกสิณให้มันทรงตัว แล้วจิตของท่านมันจะระจับจากกามฉันทะทันที จะไม่มีความรู้สึกในระหว่างเพศ แต่ทว่ายังเป็นฌานโลกีย์ ยังเอาดีไม่ได้ แต่ว่าใกล้จะดีแล้ว เอาล่ะ เวลานี้มันก็หมดเสียแล้ว นี่ขอยุติไว้แต่เพียงเท่านี้
ต่อแต่นี้ไปขอบรรคาท่านพุทธบริษัททั้งหลายตั้งกายให้ตรง ดำรงจิตให้มั่น ทรงในอิริยาบถที่ท่านต้องการ พิจารณาร่างกายตามสภาวะของซากศพก็ดี หรือว่ากำลังใจของท่านบันดาลเข้าถึงอริยมรรค อริยผล ก็ขอบรรดาท่านพุทธศาสนิกชนปฏิบัติตามนั้น จนกว่าจะถึงเวลาที่ท่านเห็นว่าสมควรจะเลิก สวัสดี
ลิงค์ทั้งหมด https://ppantip.com/profile/8483559#topics