ต่อจาก หนังสือ คู่มือปฎิบัติวัดท่าซุง เล่ม 1 อสุภกรรมฐาน ตอนที่ 2.1 https://ppantip.com/topic/43202710
อสุภกรรมฐาน ตอนที่ 2.2
แต่เวลานี้ร่างกายของนางสิริมา สิ่งที่มีความสำคัญที่สุดในร่างกาย นั่นก็คือ จิตหรือว่าอทิสสมานกาย ที่สิงอยู่ในร่างกายของนางสิริมา ออกไปจากร่างเสียแล้ว หมดผู้ควบคุม ธาตุ 4 นี้ จะทรงอยู่ได้ดีก็อาศัยผู้ควบคุม คือ จิต เวลานี้จิตของนางสิริมาเคลื่อนออกจากร่าง เมื่อธาตุ 4 ไม่มีผู้ควบคุม ธาตุแรกที่สุดที่จะต้องสลายไปนั่นก็คือธาตุลม เมื่อธาตุลมหมด สิ้นลมปราณแล้วกายก็หมดการเคลื่อนไหว ต่อมาธาตุไฟก็ดับ จะเห็นได้ว่าเมื่อสิ้นลมปราณแล้ว คนเราถ้าตาย คนก็ดี สัตว์ก็ดี เมื่อชีวิตินทรีย์ยังทรงอยู่ ร่างกายจะมีความอบอุ่น คือธาตุไฟยังทรง ธาตุน้ำยังทรง ธาตุลมยังทรง ธาตุดินก็ทรง เมื่อสิ้นชีวิตินทรีย์ธาตุลมหมดไป ธาตุไฟก็ดับ ตอนนี้ร่างกายของคนตาย ถ้าเราจะไปจับมันจะเย็นเฉียบ เมื่อธาตุไฟหมดไป ธาตุคนหมดไป เหลือแต่ธาตุดินกับธาตุน้ำ ไม่มีธาตุใฟประคับประคองดิน น้ำก็ละลายดิน สิ่งที่เราเห็นอยู่เวลานี้มีน้ำเลือดน้ำเหลืองน้ำหนอง เป็นต้น ส่งกลิ่นเหม็นฟุ้งขจรไป
สิ่งทั้งหลายเหล่านี้ที่จัดเป็นเครื่องโสโครก ไม่ได้มาจากไหน ไม่ใช่มาใหม่เมื่อคนตายแล้ว คือเป็นของเก่าของนางสิริมาที่มีอยู่ในร่างกาย เมื่อชีวิตินทรีย์ยังทรงอยู่นั้น อวัยวะต่าง ๆ ยังทำงาน ยังปกปิดไว้ ธาตุทั้ง 4 ยังประคับประคองยังสามัคคีกัน เวลานี้ธาตุลมและธาตุไฟสลายไปแล้ว ธาตุน้ำก็ละลายดิน ดินทนไม่ไหวก็ละลายตัว อันดับแรกก็อ่อนตัวลงทีละน้อย ละน้อย จนกระทั่งถึงละลายสิ่งโสโครกทั้งหลายไม่มีใครบังคับ อวัยวะต่าง ๆ ไม่มีกำลังปกปิดก็หลั่งไหลออกมา
องค์สมเด็จพระบรมศาสดาจึงทรงตรัสว่า ภิกขเว ดูกรภิกษุทั้งหลาย พวกเธอทั้งหลายจงอย่าหลงในรูปกายของตนเอง แล้วก็จงอย่าหลงในรูปกายของบุคคลอื่น ว่ามันเป็นของสวยสดงดงาม เป็นของมีความจีรังยั่งยืน คือ ตลอดกาลตลอดสมัย เนื้อแท้จริง ๆ รูปกายของคน ดูตัวอย่างนางสิริมาเป็นหญิงที่มีค่าที่สุดในสมัยนั้น มีรายได้คืนละ 1,000 กหาปณะ เท่ากับ 4 พันบาท ถ้าเดี๋ยวนี้ก็เห็นจะเป็นราคาแสนบาทต่อ 1 คืน และเวลานี้ความปรารถนาในการชุ่มชื่น และต้องการในนางสิริมาสำหรับบุคคลใดไม่มีแล้ว เพราะอะไร เพราะว่าลมปราณสิ้นไป ธาตุไฟหายไป จิตใจที่สิงสถิดอยู่ในร่างกายของนางสิริมา ก็เคลื่อนไปแล้วตามกฎของกรรม แต่ตามส่วนตามพระบาลีส่วนหนึ่งท่านกล่าวว่านางสิริมานี่ ถึงแม้ว่าจะเป็นหญิงโสเภณี แต่เธอก็เป็นพระโสดาบัน ท่านทั้งหลายถ้าฟังตรงนี้แล้วก็ลองคิดดูนะ ว่าหญิงโสเภณีนี่จะเป็นพระโสดาบันได้อย่างไร
อย่าลืมว่าพระโสดาบันนี่มีความมันคง คือเคารพในองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจริง ๆ เคารพในพระธรรมจริง เคารพในพระอริยสงฆ์จริง มีศีล 5 บริสุทธิ์ มีพระนิพพานเป็นอารมณ์ มีความรู้สึกนึกอยู่เสมอว่าเราจะตาย นี่กำลังใจของทระโสดาบันมีเท่านี้ จะว่ากันไปอีกทีก็ พระโสดาบันมีความมั่นในพระพุทธเจ้า มีความมั่นในพระธรรม มีความมั่นในพระสงฆ์ มีศีล 5 เป็นสมุจเฉท คำว่า สมุจเฉทน่ะ มีความมั่นคงในจิตแท้ พระโสดาบันยังมีการแต่งงาน ยังมีลูก ยังมีผัว ยังมีเมีย ยังมีสามีกรรยา พระโสดาบันยังมีความอยากรวย พระโสดาบันยังมีความโกรธ พระโสดาบันก็ยังมีความหลง แต่ทว่าอารมณ์ทั้งหลายเหล่านี้มีอยู่ในขอบเขตของศีล ถ้าเราจะคิดว่าหญิงโสเภณีเป็นพระโสดาบันไม่ได้ มันก็ผิด ถ้าเขาเป็นต้วยการสุจริต การเช่าเขาไป เขาไม่ได้คด ไม่ได้โกง เขาตกลงราคาซึ่งกันและกัน ศีล 5 ของเขาก็ไม่มีการจะขาด เขาไม่ได้ไปฆ่าใคร เขาไม่ให้ไปขโมยใคร หรือหลอกลวงใคร เขาไม่ได้ไปแย่งสามีของใคร เขาถือว่าเขาเป็นสินค้าประเภทหนึ่งชั่วคราว เขาไม่ได้โกหกมดเท็จว่าเขาไม่ได้เป็นหญิงโสเภณี เขาไม่ได้ดื่มสุราเมรัย เราจะเอาคำว่าว่าเสียตรงไหนมากล่าวกับหญิงโสเภณี ถ้าปฏิบัติด้วยความบริสุทธิ์
เป็นอันว่า นางสิริมาเธอก็มีลักษณะอยู่ในเกณฑ์นี้ องค์สมเด็จพระชินสีห์จึงได้ทรงรับรองว่านางเป็นพระโสดาบัน แต่ทว่าเวลานี้ค่าของนางไม่มี เมื่อก่อนนี้ยกให้ไป 1 คืน เสีย 1,000 กหาปณะ เวลานี้ยกให้เป็นสมบัติเลย เอาพันกหาปณะ ก็ไม่มีคนอยากได้ ยกให้เปล่า ๆ ก็ไม่ต้องการ ยกให้แล้วแถมเงินอีกพันกหาปณะก็ไม่มีใครปรารถนา
สมเด็จพระบรมศาสดาจึงได้ชี้ว่า ร่างกายของนางสิริมาก็ดี ร่างกายของเราเองก็ดี ร่างกายของคนทุกคนและสัตว์ทั้งหมดในโลกก็ดี มีสภาพเหมือนกัน เมื่อมีความเกิดขึ้นในเบื้องตัน ก็มีความทุกข์ทรมาน ความเสื่อมโทรมติดตามมา และในที่สุดก็พังอย่างนี้ แล้วความไม่สะอาด ความสกปรกเป็นสิ่งที่น่าเกลือด ทั้งหลายเหล่านี้มีอยู่ในร่างกายเป็นปกติ แต่ว่าอาศัยมีจิตบังคับร่างกาย อวัยวะภายในร่างกาย ทำงานทุกอย่าง ทวารจึงปิดบังไว้ ถ้าปราศจากจิตวิญญาณเมื่อไร ความสกปรกทั้งหลาย โสโครกทั้งหลาย ทั้งหมดนี้ก็จะปรากฏขึ้นแก่ตน
แล้วองค์สมเด็จพระทศพลจึงได้ตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เธอทั้งหลายจงดูนางสิริมาเป็นตัวอย่าง เมื่อสมัยที่เธอมีชีวิตเธอเป็นคนสวย แต่เวลานี้เธอตายไปแล้วเพียง 3 วัน มีค่าตรงไหนบ้าง มีใครปรารถนาบ้าง
เธอทั้งหลายจงพิจารณาร่างกายของนางสิริมาว่าตรงไหนบ้างมันสวย มีจุดไหนบ้างที่เราปรารถนาเรามีความต้องการ องค์สมเด็จพระพิชิตมารตรัสย่างนี้ คนอื่นก็เงียบ พระองค์ที่รักนางสิริมาก็สลดใจว่า โอหนอ เราเห็นนางสิริมาสวยสดงดงามกว่าใคร ๆ แต่เวลานี้นางสิริมามีรูปร่างน่ารังเกียจที่สุด และไม่เป็นจุดแห่งความปรารถนาของเราเลย เมื่อพระองค์นั้นพิจารณาไปตามกระแสพระสัทธรรมเทศนาขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า นึกถึงร่างกายของนางสิริมา นึกถึงภาพของนางสิริมาที่ยังมีชีวิต แล้วมาพิจารณาดูนางสิริมาขณะนี้ต่างกันมาก กระแสพระสัทธรรมเทศนาขององค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคนี่ตรงทุกอย่าง เมื่อพระองค์นั้นเกิดศรัทธา องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ตรัสต่อไปว่า
ภิกขเว ดูก่อน ภิกษุทั้งหลาย ร่างกายของเราก็ดี ร่างกายของบุคคลอื่นก็ดี นอกจากแต่ว่ามันจะสกปรกแล้ว มันก็ไม่มีสภาวะเป็นเรา เป็นของเรา ทั้งนี้เพราะอะไร เพราะร่างกายเป็นกฎธรรมดาอย่างหนึ่ง ที่มันมีความเกิดขึ้นในเบื้องต้น มีความแปรปรวนไปในท่ามกลาง มีการแตกสลายในที่สุด ที่เรียกกันว่าเมื่อมีเกิดขึ้นแล้ว แล้วก็ต้องมีความแก่เป็นธรรมดา ไม่สามารถจะล่วงพ้นความแก่ไปได้ ต้องมีความป่วยไข้เป็นธรรมดา ไม่สามารถจะล่วงพ้นความป่วยไข้ไปได้ และก็มีความตายเป็นธรรมตา ไม่สามารถจะล่วงพ้นความตายไปได้ ทรัพย์สินทั้งหลายที่เรามีอยู่ สิ่งที่รักอยู่ก็ต้องพลัดพรากจากกันไป ทรัพย์ทั้งหลายที่นางสิริมาหามาได้ จนกระทั่งมีตำแหน่งคล้ายมหาเศรษฐี แต่ทว่าเวลานี้นางสิริมาไม่มีสิทธิ์ที่จะปกป้อง ปกครองสมบัติทั้งหลายเหล่านั้น แม้แต่ร่างกายเป็นที่รักของนางสิริมายิ่งกว่าสิ่งใดทั้งหมด ก็ไม่ปรากฏว่านางสิริมานำไปได้
ขอบรรดาภิกษุสงฆ์ทั้งหลาย จงอย่าเมาในกายของตน จงอย่าเมาในกายของบุคคลอื่น คือจงอย่าปรารถนาตน จงมีความรู้สึกว่าร่างกายที่เราอาศัยอยู่นี้ เป็นแต่เพียงเรือนร่างที่อาศัยชั่วคราว ในที่สุด สภาวะร่างกายของเราก็จะเหมือนนางสิริมา แม้แต่ร่างกายของบุคคลอื่นที่ยืนล้อมอยู่นี่ทั้งหมด ก็จะต้องมีความปรากฎเช่นเดียวกัน
จะนั้นขอเธอทั้งหลาย ทั้งหมดนี้นั้นจงอย่าสนใจในร่างกายของเราด้วย อย่าสนใจในร่างกายของบุคคลอื่นด้วย และก็อย่าสนใจในวัตถุธาตุทั้งหลายในโลกด้วย เพราะสิ่งทั้งหลายเหล่านี้ไม่ได้ช่วยให้เราเป็นสุข ไม่ได้เป็นสมบัติอันจีรังยั่งยืนอะไรของเรา ไม่ช้าเราก็จากไป ถ้าจิตใจของเรายังหลงใหลใฝ่ฝันอยู่ในร่างกายเราก็ดี ในร่างกายของบุคคลอื่นก็ดี ในวัตถุธาตุทั้งหลายอื่นใดก็ดี ในที่สุดนี้เราก็จะต้องไม่พ้นทุกข์ จะต้องเวียนว่ายตายเกิด ประสบกับความทุกข์อย่างนี้อีก
ถ้าเราวางภาระคือ ไม่ต้องการ จิตไม่ติดอยู่ในร่างกายเราก็ดี จิตไม่ติดอยู่ในร่างกายของบุคคลอื่นก็ดี ไม่ติดอยู่ในวัตถุธาตุใด ๆ อื่นก็ดี เพราะสิ่งทั้งหลายเหล่านี้ปกติ ก็มีความสกปรก และในที่สุดเมื่อถึงเวลาสลายตัว ก็จะต้องประสบกับสภาวะเป็นอย่างนี้ ครั้นเมื่อองค์สมเด็จพระชินสีห์บรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าเทศน์จบ ความจริงเทศน์มากกว่านี้ พระองค์นั้นก็ได้บรรลุอรหัตผล เป็นพระอริยบุคคลสูงสุดในพุทธศาสนา รวมทั้งคนที่มาห้อมล้อมดูองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เวลานั้นก็มีสภาพเดียวกัน ต่างคนต่างก็เป็นพระโสดาบัน สกิทาคามี อนาคามี อรหันต์เป็นจำนวนมาก
นี่แหละบรรคาสาวกขององค์สมเด็จพระผู้มีพระภาค
เรื่องการพิจารณาศพ หรือ
อสุภสัญญา สำหรับในวันนี้นำบุคคลตัวอย่างมาเล่าสู่กันฟัง ก็การปฏิบัตินี้ต้องอาศัยเลียนแบบ ถ้าเราปฏิบัติโดยการไม่ลอกแบบ มันก็เอาดีอะไรไม่ได้ หากว่าท่านทั้งหลายฟังไปแล้วก็คิดไป พิจารณาไป จะเห็นว่าร่างกายของคนทุกคน มันมีแต่ความสกปรกโสมม หาความดีอะไรไม่ได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งอวัยวะบางส่วนที่มันหลั่ง คือว่าส่วนบางส่วนที่มันหลั่งไหลออกมาจากร่างกาย เช่น อุจจาระ ปัสสาระ น้ำเลือด น้ำเหลือง น้ำหนอง น้ำเสลด น้ำลาย เป็นต้น มันอยู่ในร่างกายของคนที่เรารัก ถ้าเรามีความรักคนประเภทนี้ ก็ชื่อว่าเรารักถุงอุจจาระเคลื่อนที่นั่นเอง
เอาละบรรดาท่านทั้งหลาย สำหรับวันนี้ ก็ขอยุติไว้แต่เพียงเท่านี้เพราะเวลาหมดแล้ว ต่อแต่นี้ไปขอบรรดาสาวกขององค์สมเด็จพระประทีปแก้ว จงพากัน ดำรงอิริยาบถตามอัธยาศัย จะใช้คำภาวนาและพิจารณาอย่างใดก็ได้ ตามอัธยาศัยของท่านจนกว่าจะเห็นว่าเวลานั้น เป็นการที่สมควรแก่เวลา
สวัสดี
ลิงค์ทั้งหมด https://ppantip.com/profile/8483559#topics
หนังสือ คู่มือปฎิบัติวัดท่าซุง เล่ม 1 อสุภกรรมฐาน ตอนที่ 2.2
อสุภกรรมฐาน ตอนที่ 2.2
แต่เวลานี้ร่างกายของนางสิริมา สิ่งที่มีความสำคัญที่สุดในร่างกาย นั่นก็คือ จิตหรือว่าอทิสสมานกาย ที่สิงอยู่ในร่างกายของนางสิริมา ออกไปจากร่างเสียแล้ว หมดผู้ควบคุม ธาตุ 4 นี้ จะทรงอยู่ได้ดีก็อาศัยผู้ควบคุม คือ จิต เวลานี้จิตของนางสิริมาเคลื่อนออกจากร่าง เมื่อธาตุ 4 ไม่มีผู้ควบคุม ธาตุแรกที่สุดที่จะต้องสลายไปนั่นก็คือธาตุลม เมื่อธาตุลมหมด สิ้นลมปราณแล้วกายก็หมดการเคลื่อนไหว ต่อมาธาตุไฟก็ดับ จะเห็นได้ว่าเมื่อสิ้นลมปราณแล้ว คนเราถ้าตาย คนก็ดี สัตว์ก็ดี เมื่อชีวิตินทรีย์ยังทรงอยู่ ร่างกายจะมีความอบอุ่น คือธาตุไฟยังทรง ธาตุน้ำยังทรง ธาตุลมยังทรง ธาตุดินก็ทรง เมื่อสิ้นชีวิตินทรีย์ธาตุลมหมดไป ธาตุไฟก็ดับ ตอนนี้ร่างกายของคนตาย ถ้าเราจะไปจับมันจะเย็นเฉียบ เมื่อธาตุไฟหมดไป ธาตุคนหมดไป เหลือแต่ธาตุดินกับธาตุน้ำ ไม่มีธาตุใฟประคับประคองดิน น้ำก็ละลายดิน สิ่งที่เราเห็นอยู่เวลานี้มีน้ำเลือดน้ำเหลืองน้ำหนอง เป็นต้น ส่งกลิ่นเหม็นฟุ้งขจรไป
สิ่งทั้งหลายเหล่านี้ที่จัดเป็นเครื่องโสโครก ไม่ได้มาจากไหน ไม่ใช่มาใหม่เมื่อคนตายแล้ว คือเป็นของเก่าของนางสิริมาที่มีอยู่ในร่างกาย เมื่อชีวิตินทรีย์ยังทรงอยู่นั้น อวัยวะต่าง ๆ ยังทำงาน ยังปกปิดไว้ ธาตุทั้ง 4 ยังประคับประคองยังสามัคคีกัน เวลานี้ธาตุลมและธาตุไฟสลายไปแล้ว ธาตุน้ำก็ละลายดิน ดินทนไม่ไหวก็ละลายตัว อันดับแรกก็อ่อนตัวลงทีละน้อย ละน้อย จนกระทั่งถึงละลายสิ่งโสโครกทั้งหลายไม่มีใครบังคับ อวัยวะต่าง ๆ ไม่มีกำลังปกปิดก็หลั่งไหลออกมา
องค์สมเด็จพระบรมศาสดาจึงทรงตรัสว่า ภิกขเว ดูกรภิกษุทั้งหลาย พวกเธอทั้งหลายจงอย่าหลงในรูปกายของตนเอง แล้วก็จงอย่าหลงในรูปกายของบุคคลอื่น ว่ามันเป็นของสวยสดงดงาม เป็นของมีความจีรังยั่งยืน คือ ตลอดกาลตลอดสมัย เนื้อแท้จริง ๆ รูปกายของคน ดูตัวอย่างนางสิริมาเป็นหญิงที่มีค่าที่สุดในสมัยนั้น มีรายได้คืนละ 1,000 กหาปณะ เท่ากับ 4 พันบาท ถ้าเดี๋ยวนี้ก็เห็นจะเป็นราคาแสนบาทต่อ 1 คืน และเวลานี้ความปรารถนาในการชุ่มชื่น และต้องการในนางสิริมาสำหรับบุคคลใดไม่มีแล้ว เพราะอะไร เพราะว่าลมปราณสิ้นไป ธาตุไฟหายไป จิตใจที่สิงสถิดอยู่ในร่างกายของนางสิริมา ก็เคลื่อนไปแล้วตามกฎของกรรม แต่ตามส่วนตามพระบาลีส่วนหนึ่งท่านกล่าวว่านางสิริมานี่ ถึงแม้ว่าจะเป็นหญิงโสเภณี แต่เธอก็เป็นพระโสดาบัน ท่านทั้งหลายถ้าฟังตรงนี้แล้วก็ลองคิดดูนะ ว่าหญิงโสเภณีนี่จะเป็นพระโสดาบันได้อย่างไร
อย่าลืมว่าพระโสดาบันนี่มีความมันคง คือเคารพในองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจริง ๆ เคารพในพระธรรมจริง เคารพในพระอริยสงฆ์จริง มีศีล 5 บริสุทธิ์ มีพระนิพพานเป็นอารมณ์ มีความรู้สึกนึกอยู่เสมอว่าเราจะตาย นี่กำลังใจของทระโสดาบันมีเท่านี้ จะว่ากันไปอีกทีก็ พระโสดาบันมีความมั่นในพระพุทธเจ้า มีความมั่นในพระธรรม มีความมั่นในพระสงฆ์ มีศีล 5 เป็นสมุจเฉท คำว่า สมุจเฉทน่ะ มีความมั่นคงในจิตแท้ พระโสดาบันยังมีการแต่งงาน ยังมีลูก ยังมีผัว ยังมีเมีย ยังมีสามีกรรยา พระโสดาบันยังมีความอยากรวย พระโสดาบันยังมีความโกรธ พระโสดาบันก็ยังมีความหลง แต่ทว่าอารมณ์ทั้งหลายเหล่านี้มีอยู่ในขอบเขตของศีล ถ้าเราจะคิดว่าหญิงโสเภณีเป็นพระโสดาบันไม่ได้ มันก็ผิด ถ้าเขาเป็นต้วยการสุจริต การเช่าเขาไป เขาไม่ได้คด ไม่ได้โกง เขาตกลงราคาซึ่งกันและกัน ศีล 5 ของเขาก็ไม่มีการจะขาด เขาไม่ได้ไปฆ่าใคร เขาไม่ให้ไปขโมยใคร หรือหลอกลวงใคร เขาไม่ได้ไปแย่งสามีของใคร เขาถือว่าเขาเป็นสินค้าประเภทหนึ่งชั่วคราว เขาไม่ได้โกหกมดเท็จว่าเขาไม่ได้เป็นหญิงโสเภณี เขาไม่ได้ดื่มสุราเมรัย เราจะเอาคำว่าว่าเสียตรงไหนมากล่าวกับหญิงโสเภณี ถ้าปฏิบัติด้วยความบริสุทธิ์
เป็นอันว่า นางสิริมาเธอก็มีลักษณะอยู่ในเกณฑ์นี้ องค์สมเด็จพระชินสีห์จึงได้ทรงรับรองว่านางเป็นพระโสดาบัน แต่ทว่าเวลานี้ค่าของนางไม่มี เมื่อก่อนนี้ยกให้ไป 1 คืน เสีย 1,000 กหาปณะ เวลานี้ยกให้เป็นสมบัติเลย เอาพันกหาปณะ ก็ไม่มีคนอยากได้ ยกให้เปล่า ๆ ก็ไม่ต้องการ ยกให้แล้วแถมเงินอีกพันกหาปณะก็ไม่มีใครปรารถนา
สมเด็จพระบรมศาสดาจึงได้ชี้ว่า ร่างกายของนางสิริมาก็ดี ร่างกายของเราเองก็ดี ร่างกายของคนทุกคนและสัตว์ทั้งหมดในโลกก็ดี มีสภาพเหมือนกัน เมื่อมีความเกิดขึ้นในเบื้องตัน ก็มีความทุกข์ทรมาน ความเสื่อมโทรมติดตามมา และในที่สุดก็พังอย่างนี้ แล้วความไม่สะอาด ความสกปรกเป็นสิ่งที่น่าเกลือด ทั้งหลายเหล่านี้มีอยู่ในร่างกายเป็นปกติ แต่ว่าอาศัยมีจิตบังคับร่างกาย อวัยวะภายในร่างกาย ทำงานทุกอย่าง ทวารจึงปิดบังไว้ ถ้าปราศจากจิตวิญญาณเมื่อไร ความสกปรกทั้งหลาย โสโครกทั้งหลาย ทั้งหมดนี้ก็จะปรากฏขึ้นแก่ตน
แล้วองค์สมเด็จพระทศพลจึงได้ตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เธอทั้งหลายจงดูนางสิริมาเป็นตัวอย่าง เมื่อสมัยที่เธอมีชีวิตเธอเป็นคนสวย แต่เวลานี้เธอตายไปแล้วเพียง 3 วัน มีค่าตรงไหนบ้าง มีใครปรารถนาบ้าง
เธอทั้งหลายจงพิจารณาร่างกายของนางสิริมาว่าตรงไหนบ้างมันสวย มีจุดไหนบ้างที่เราปรารถนาเรามีความต้องการ องค์สมเด็จพระพิชิตมารตรัสย่างนี้ คนอื่นก็เงียบ พระองค์ที่รักนางสิริมาก็สลดใจว่า โอหนอ เราเห็นนางสิริมาสวยสดงดงามกว่าใคร ๆ แต่เวลานี้นางสิริมามีรูปร่างน่ารังเกียจที่สุด และไม่เป็นจุดแห่งความปรารถนาของเราเลย เมื่อพระองค์นั้นพิจารณาไปตามกระแสพระสัทธรรมเทศนาขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า นึกถึงร่างกายของนางสิริมา นึกถึงภาพของนางสิริมาที่ยังมีชีวิต แล้วมาพิจารณาดูนางสิริมาขณะนี้ต่างกันมาก กระแสพระสัทธรรมเทศนาขององค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคนี่ตรงทุกอย่าง เมื่อพระองค์นั้นเกิดศรัทธา องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ตรัสต่อไปว่า
ภิกขเว ดูก่อน ภิกษุทั้งหลาย ร่างกายของเราก็ดี ร่างกายของบุคคลอื่นก็ดี นอกจากแต่ว่ามันจะสกปรกแล้ว มันก็ไม่มีสภาวะเป็นเรา เป็นของเรา ทั้งนี้เพราะอะไร เพราะร่างกายเป็นกฎธรรมดาอย่างหนึ่ง ที่มันมีความเกิดขึ้นในเบื้องต้น มีความแปรปรวนไปในท่ามกลาง มีการแตกสลายในที่สุด ที่เรียกกันว่าเมื่อมีเกิดขึ้นแล้ว แล้วก็ต้องมีความแก่เป็นธรรมดา ไม่สามารถจะล่วงพ้นความแก่ไปได้ ต้องมีความป่วยไข้เป็นธรรมดา ไม่สามารถจะล่วงพ้นความป่วยไข้ไปได้ และก็มีความตายเป็นธรรมตา ไม่สามารถจะล่วงพ้นความตายไปได้ ทรัพย์สินทั้งหลายที่เรามีอยู่ สิ่งที่รักอยู่ก็ต้องพลัดพรากจากกันไป ทรัพย์ทั้งหลายที่นางสิริมาหามาได้ จนกระทั่งมีตำแหน่งคล้ายมหาเศรษฐี แต่ทว่าเวลานี้นางสิริมาไม่มีสิทธิ์ที่จะปกป้อง ปกครองสมบัติทั้งหลายเหล่านั้น แม้แต่ร่างกายเป็นที่รักของนางสิริมายิ่งกว่าสิ่งใดทั้งหมด ก็ไม่ปรากฏว่านางสิริมานำไปได้
ขอบรรดาภิกษุสงฆ์ทั้งหลาย จงอย่าเมาในกายของตน จงอย่าเมาในกายของบุคคลอื่น คือจงอย่าปรารถนาตน จงมีความรู้สึกว่าร่างกายที่เราอาศัยอยู่นี้ เป็นแต่เพียงเรือนร่างที่อาศัยชั่วคราว ในที่สุด สภาวะร่างกายของเราก็จะเหมือนนางสิริมา แม้แต่ร่างกายของบุคคลอื่นที่ยืนล้อมอยู่นี่ทั้งหมด ก็จะต้องมีความปรากฎเช่นเดียวกัน
จะนั้นขอเธอทั้งหลาย ทั้งหมดนี้นั้นจงอย่าสนใจในร่างกายของเราด้วย อย่าสนใจในร่างกายของบุคคลอื่นด้วย และก็อย่าสนใจในวัตถุธาตุทั้งหลายในโลกด้วย เพราะสิ่งทั้งหลายเหล่านี้ไม่ได้ช่วยให้เราเป็นสุข ไม่ได้เป็นสมบัติอันจีรังยั่งยืนอะไรของเรา ไม่ช้าเราก็จากไป ถ้าจิตใจของเรายังหลงใหลใฝ่ฝันอยู่ในร่างกายเราก็ดี ในร่างกายของบุคคลอื่นก็ดี ในวัตถุธาตุทั้งหลายอื่นใดก็ดี ในที่สุดนี้เราก็จะต้องไม่พ้นทุกข์ จะต้องเวียนว่ายตายเกิด ประสบกับความทุกข์อย่างนี้อีก
ถ้าเราวางภาระคือ ไม่ต้องการ จิตไม่ติดอยู่ในร่างกายเราก็ดี จิตไม่ติดอยู่ในร่างกายของบุคคลอื่นก็ดี ไม่ติดอยู่ในวัตถุธาตุใด ๆ อื่นก็ดี เพราะสิ่งทั้งหลายเหล่านี้ปกติ ก็มีความสกปรก และในที่สุดเมื่อถึงเวลาสลายตัว ก็จะต้องประสบกับสภาวะเป็นอย่างนี้ ครั้นเมื่อองค์สมเด็จพระชินสีห์บรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าเทศน์จบ ความจริงเทศน์มากกว่านี้ พระองค์นั้นก็ได้บรรลุอรหัตผล เป็นพระอริยบุคคลสูงสุดในพุทธศาสนา รวมทั้งคนที่มาห้อมล้อมดูองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เวลานั้นก็มีสภาพเดียวกัน ต่างคนต่างก็เป็นพระโสดาบัน สกิทาคามี อนาคามี อรหันต์เป็นจำนวนมาก
นี่แหละบรรคาสาวกขององค์สมเด็จพระผู้มีพระภาค เรื่องการพิจารณาศพ หรือ อสุภสัญญา สำหรับในวันนี้นำบุคคลตัวอย่างมาเล่าสู่กันฟัง ก็การปฏิบัตินี้ต้องอาศัยเลียนแบบ ถ้าเราปฏิบัติโดยการไม่ลอกแบบ มันก็เอาดีอะไรไม่ได้ หากว่าท่านทั้งหลายฟังไปแล้วก็คิดไป พิจารณาไป จะเห็นว่าร่างกายของคนทุกคน มันมีแต่ความสกปรกโสมม หาความดีอะไรไม่ได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งอวัยวะบางส่วนที่มันหลั่ง คือว่าส่วนบางส่วนที่มันหลั่งไหลออกมาจากร่างกาย เช่น อุจจาระ ปัสสาระ น้ำเลือด น้ำเหลือง น้ำหนอง น้ำเสลด น้ำลาย เป็นต้น มันอยู่ในร่างกายของคนที่เรารัก ถ้าเรามีความรักคนประเภทนี้ ก็ชื่อว่าเรารักถุงอุจจาระเคลื่อนที่นั่นเอง
เอาละบรรดาท่านทั้งหลาย สำหรับวันนี้ ก็ขอยุติไว้แต่เพียงเท่านี้เพราะเวลาหมดแล้ว ต่อแต่นี้ไปขอบรรดาสาวกขององค์สมเด็จพระประทีปแก้ว จงพากัน ดำรงอิริยาบถตามอัธยาศัย จะใช้คำภาวนาและพิจารณาอย่างใดก็ได้ ตามอัธยาศัยของท่านจนกว่าจะเห็นว่าเวลานั้น เป็นการที่สมควรแก่เวลา สวัสดี
ลิงค์ทั้งหมด https://ppantip.com/profile/8483559#topics