อานาปานุสสติกรรมฐาน ตอนที่ 9.1

ท่านพระโยคาวจรทั้งหลาย สำหรับเวลานี้ท่านทั้งหลายได้พากันสมาทานศีล พากันสมาทานพระกรรมฐานแล้ว และก็ท่านทั้งหลายกำลังจะสดับคำแนะนำในการเจริญพระกรรมฐาน ก่อนที่ท่านจะสดับการเจริญพระกรรมฐาน ขอท่านทั้งหลาย จงนึกถึงคำสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ในตอนที่พระองค์ทรงประกาศไว้ในวันกลางเดือน 3 ที่เรียกกันว่า
วันมาฆบูชา วันนั้นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแนะนำว่า
“ภิกขเว ดูก่อน ภิกษุทั้งหลาย การที่เธอจะไปประกาศพระศาสนา ณ ที่ใดๆ ขอจงใช้คำสอนให้เหมือนกันทั้งหมด นั่นก็คือ
1. สัพพะปาปัสสะ อะกะระณัง เธอจงแนะนำบรรดาประชาชนทั้งหลาย ให้ละความชั่วทั้งหมด
2. กุสะลัสสูปะสัมปะทา เธอจงแนะนำให้เขาทุกคนสร้างแต่ความดี
3. สะจิตตะปะริโยทะปะนัง จงให้ทุกคนทำอารมณ์ใจให้ผ่องใส
เอตัง พุทธานะสาสะนัง องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงยืนยันว่า พระพุทธเจ้าทุกๆ พระองค์ พระองค์ตรัสอย่างนี้เหมือนกันหมด”
เป็นอันว่า คำสอนขององค์สมเด็จพระบรมสุคตที่ทรงสอนไว้นี้ ขอบรรดาท่านทั้งหลายจงจำไว้สอนตัวเอง จงอย่าคิดว่าเราจะไปเป็นครูของใคร การที่เป็นครูชาวบ้าน มันเป็นของไม่ยาก แต่ว่าเป็นครูตนเองนี่เป็นของยาก ก่อนที่เราจะเป็นครูเขา เราต้องดีเสียก่อน ดูตัวอย่างองค์สมเด็จพระชินวรคือพระพุทธเจ้า เมื่อพระองค์ทรงยังไม่สามารถจะทำลายกิเลสให้เป็นสมุจเฉทปหานเพียงใด องค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดาก็ไม่ทรงสอนคนอื่น ฉะนั้นขอท่านทั้งหลายจงจำพุทธภาษิตไว้ว่า
อัตตนา โจทยัตตานัง จงพยายามตักเดือนตนเองไว้เสมอ
สำหรับวันนี้ก็จะขอพูดถึงสกิทาคามีมรรคที่ยังค้างอยู่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งสกิทาคามีมรรคนี่ เราต้องทำกันหลายจุด และก็ต้องมีอารมณ์เข้มแข็งกว่าพระโสดาบัน สำหรับพระโสดาบันนั้นรู้สึกว่าเป็นของง่ายๆ มีอะไรไม่ยาก ที่เราไม่สามารถจะทรงกันไว้ได้ก็เพราะใจของเรามันเลว ถ้าใจของเรามันไม่เลว พระโสดาบันเหมือนกับกล้วยสุกที่ปอกแล้ว และก็ใส่ปากอยู่แล้ว เหลือแต่ว่าจะกลืนกินเมื่อไรเท่านั้น
สำหรับสกิทาคามีนี่ ความจริงเป็นอารมณ์ที่ก้าวเข้าไปสู่ความเป็น พระอรหันต์ เพราะว่ามีหลายท่านที่ได้พระโสดาบันแล้ว ก็ไม่ทราบว่าตนเองเป็นพระสกิทาคามี อนาคามีเมื่อไร นั่งมานั่งไป พิจารณามาพิจารณาไปถึงอรหัตผล มารู้สึกตนเมื่อถึงอรหันต์เสียแล้ว อันนี้มีเยอะ ท่านที่ได้ตามลำดับ เป็นพระโสดาบัน สกิทาคา อนาคา แล้วถึงอรหันต์อันนี้มีน้อย ส่วนใหญ่บางท่านกลับไม่รู้ว่าเป็นพระโสดาบันเมื่อไหร่ มารู้ตัวเอาเมื่อเป็นอรหันต์เสียแล้ว อย่างนี้มีมาก
แต่ก่อนที่จะพูดถึงอย่างอื่น ก็ขอเอาข้อปลีกย่อยเล็กน้อย แต่ว่ามีความสำคัญ มาแนะนำท่านเสียก่อน นั่นก็คือ เวลาเจริญพระกรรมฐาน เราก็จำที่จะต้องตามใจของใจ แปลกไหม คือว่าเราต้องตามใจใจ คือตามอารมณ์ที่มันต้องการในขณะนั้น ในบางขณะอารมณ์ของเราต้องการสงบสงัด มันไม่ต้องการภาวนา ก็จงอย่าฝืนภาวนา หรือว่าอย่าฝืนพิจารณา มันอยากสงัดก็ให้มันสงัดด้วยกำลังฌาน รู้ลมหายใจเข้าออก คือรู้ลมหายใจเข้าหายใจออก ถ้าจะภาวนาก็ใช้ศัพท์สั้นๆ คือใช้ศัพท์ว่า
พุทโธ เวลาหายใจเข้านึกว่า
พุท เวลาหายใจออกนึกว่า
โธ ถ้ามันไม่อยากจะขยับเขยื้อน มันอยากจะเคลื่อนไปด้านพิจารณา ก็ปล่อย อย่าฝืน ถ้าฝืนแล้วผลจะเสีย ในเมื่อมันเป็นฌาน ก่อนที่มันจะเป็นฌานเราตั้งใจไว้ยังไง ตั้งใจคิดไว้ว่า กามฉันทะ คือมีรูป เสียง กลิ่น รสและสัมผัสเราไม่พึงปรารถนา จิตมันทรงฌานมันจะมีกำลังตัดจุดนั้นของมันไปเอง ไม่ต้องไปวิตกกังวลว่า วันนี้เราไม่มีโอกาสพิจารณา ผลของการพิจารณาจะหย่อนลงไป ไม่ต้องคิด เพราะว่าจิตมันทำกิจของมันเองโดยเฉพาะอยู่แล้ว
และอีกประการหนึ่ง ถ้าวันใดหรือเวลาใดถ้าจิตมันต้องการใช้อารมณ์คิด เราก็คิดอยู่ในขอบเขตของพระกรรมฐาน อย่าคิดให้นอกลู่นอกทาง มันอยากจะคิดก็ปล่อยคิด บางทีมันก็อยากจะคิดเสียจนกระทั่งไม่อยากจะมาจับอารมณ์ทรงตัว ก็ปล่อยมัน เวลานั้นจิตมันใช้ปัญญาหรือว่าปัญญามันหลักแหลมขึ้น เพราะอำนาจจิตที่เป็นกุศล
ก่อนที่จะพูดต่อไปขอย้ำสักนิดหนึ่งว่า อารมณ์ใจของเรานี่ ให้มันทรงอยู่ในด้านของสมาธิจิต คือกิจที่ผมเคยพูดว่า เอาลัทธิของบุคคนในป่าที่เขาสอนกันมา เขาบอกว่า
มากูมุด หยุดกูแหย่ แย่กูตี หนีกูตาม ความจริงคติของเขาดี แต่ว่าเขาไปใช้ในการรบกัน ก็เป็นเรื่องของเขา ถ้าเขาทำได้อย่างนั้นจริงๆ บทชนะของเขาก็มี เพราะนั่นเป็นความฉลาดที่เราคาดไม่ถึง
มากูมุด หมายความว่า ถ้าข้าศึกมาหลบเสีย ข้าศึกก็ทำอันตรายไม่ได้
หยุดกูแหย่ นั่นหมายความว่า ข้าศึกเผลอ เราก็แหย่ เข้าโจมตีเก็บเล็กเก็บน้อย ทำลายกำลังของข้าศึก
ถ้า
แย่กูตี หมายความว่า ถ้าเขาเข้าถึงความยับเยินเมื่อไหร่ แย่ กำลังอ่อนเมื่อไร โหมกำลังให้หนัก ตีให้พับ
หนีกูตาม เมื่อเขาแพ้ตามติดประหัตประหารให้ใกล้ชิด ทำลายให้หมด
ถ้ากองทัพใดกองทัพหนึ่งใช้คติแบบนี้เป็นปกติ แล้วสามารถปฏิบัติได้ กองทัพนั้นมีทางเดียว คือ ความชนะ ท่านทั้งหลายอาจจะคิดว่าผมเอาเรื่องนี้มาพูดทำไม เราเป็นทหารอะไร ของใคร ไปรบกับใคร ผมก็ต้องตอบว่า เราเป็นทหารขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า กองทัพนี้เขาเรียกกันว่า
กองทัพธรรม มีพระพุทธเจ้าเป็นจอมทัพ เรารบกับใครยังงั้นหรือ ผมก็ขอตอบว่า
เรารบกับความชั่วคือกิเลส กิเลสก็คือความชั่วนั่นเอง เวลาที่เราจะรบกับความชั่ว กิเลสมีเท่าไรไม่ต้องคำนึงถึง กิเลสที่เราจะรบกันเวลานี้ก็คือ ความรักสวยรักงาม ซึ่งมันเป็นอารมณ์ค้านกับความเป็นจริง
คำว่าสวยว่างามในวัตถุธาตุหรือสิ่งที่มีชีวิต ในโลกนี้มันมีที่ไหน ขอท่านทั้งหลายที่รับฟัง กรุณาหาสิ่งที่มันไม่สกปรกในโลกนี้มาให้ผมดูด้วย เพราะว่าเวลานี้ ผมโง่จริงๆ โง่มาก ที่ไม่เคยเห็นคน ไม่เคยเห็นสัตว์ ไม่เคยเห็นวัตถุธาตุว่ามันสวย อันนี้ผมพูดถึงเวลานี้นะ แล้วพวกท่านทั้งหลายอย่าไปถามนะว่า เมื่อเวลาที่ก่อนหน้านี้ ยังหนุ่มวัยคะนองอยู่ เห็นไหมว่ามันสวยสดงดงามหรือสะอาด ตอนนั้นผมก็ต้องตอบว่าสวยทุกอย่างเหมือนกัน ผมก็เห็นเหมือนทุกๆ คนที่เขาเห็นว่า “สวย” เห็นสตรีเพศมีทรวดทรงดี ผิวดี วาจาอ่อนหวาน เราก็รัก รักเพราะว่าเห็นว่าเขาสวย รักเพราะเห็นว่าเขาดี เห็นวัตถุธาตุต่างๆ ที่มีสีสันวรรณะ ลักษณะทรวดทรงดี อาการดี เราก็ชอบ ผมชอบเหมือนกัน ชอบเป็น แต่ว่ามาตอนนี้ยังไงไม่ทราบ มันจะแก่ลงหรือยังไงก็ไม่ทราบ มันหมดดีไปเสียหมด ดีโดยจริยาของคน มี แต่ดีเพราะความสวยมองไม่เห็น เห็นจะเป็นเพราะแก่เกินไปตาไม่ดี แก่เกินไปหูไม่เป็นเรื่อง และแก่เกินไปกำลังใจมันต่ำ มันจึงเห็นว่าไม่ดี
เป็นอันว่าเราใช้คติของเขาว่า
มากูมุด เรามุดอยู่ที่ไหนล่ะ ตามปกติที่ผมเคยแนะนำท่าน นักปฏิบัติที่เขาจะมีผล เขามุดกันอยู่เป็นปกติ ก่อนที่จะมากูก็มุด คือว่าตามปกติเราไม่ยอมให้มันมาแล้วจึงมุด ถ้ามาก่อนแล้วมุดไม่ทัน เมื่อมุดไม่ทันก็ถูกข้าศึกโจมตี ฉะนั้นในยามปกติเราต้องมุดเสียก่อน มุดตรงไหน มุดเข้าไปอยู่ใต้กระโปรง ใต้กางเกงเขายังงั้นรึ จะมุดเข้าไปอยู่ในถ้ำในเหว มันไม่พ้นหรอกคุณ ถ้ามุดแบบนี้ หาวัตถุเป็นเครื่องกั้นเป็นที่กำบังไม่พ้น ต้องหาอารมณ์ของจิตเป็นเครื่องกั้น
มุดอันดับแรกก็คือ มุดให้จิตทรงตัวอยู่ใน
อานาปานุสสติกรรมฐาน พยายามรู้ลมเข้าลมออกอยู่เป็นปกติ ถ้าเราจะภาวนาด้วย ก็ใช้ศัพท์สั้นๆ เช่น พุทโธ เวลาหายใจเข้านึกว่า พุท เวลาหายใจออกนึกว่า โธ ทำอย่างนี้ให้มันทรงตัวอยู่ได้ตลอดวัน จนกว่าจะหมดเวลา เวลาที่มันหมดเป็นเวลาเท่าไร นั่นก็คือเวลาหลับ ถ้าตื่นขึ้นมาเมื่อไร เราก็จับลมหายใจเข้าออก ทรงคำว่า พุทโธ ในเมื่อจิตเราไม่ว่าง กิเลสตัวไหนจะเข้ามาแทรกจิต นิวรณ์ตัวไหนที่จะเข้ามาทำลายจิต มันไม่มี
วิธีมุดอย่างนี้เขาเรียกว่า
มุดกลางๆ ยังไม่หลบตัวจริง หมายความว่าเรามุดไว้เสมอ ข้าศึกจะมาทางซ้ายจะมาทางขวา จะมาในลักษณะไหนก็ช่าง ฉันมุดไว้ก่อน มุดหลบนายไว้ก่อน สำหรับข้าศึกที่จะเข้าโจมตีเราที่มีกำลังใหญ่ มันมีกำลัง 3 กองทัพ คือ
กองทัพราคะ หรือว่าโลภะ อันนี้เป็นอันเดียวกันหนึ่งกองทัพ
กองทัพโทสะ กองทัพโมหะ สามทัพนี่แหละที่มันคอยเข้าประหัตประหารเรา
มีต่อ หนังสือ คู่มือปฎิบัติวัดท่าซุง เล่ม 1 อานาปานุสสติกรรมฐาน ตอนที่ 9.2 https://ppantip.com/topic/43129672
หนังสือ คู่มือปฎิบัติวัดท่าซุง เล่ม 1 อานาปานุสสติกรรมฐาน ตอนที่ 9.1
ท่านพระโยคาวจรทั้งหลาย สำหรับเวลานี้ท่านทั้งหลายได้พากันสมาทานศีล พากันสมาทานพระกรรมฐานแล้ว และก็ท่านทั้งหลายกำลังจะสดับคำแนะนำในการเจริญพระกรรมฐาน ก่อนที่ท่านจะสดับการเจริญพระกรรมฐาน ขอท่านทั้งหลาย จงนึกถึงคำสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ในตอนที่พระองค์ทรงประกาศไว้ในวันกลางเดือน 3 ที่เรียกกันว่า วันมาฆบูชา วันนั้นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแนะนำว่า
“ภิกขเว ดูก่อน ภิกษุทั้งหลาย การที่เธอจะไปประกาศพระศาสนา ณ ที่ใดๆ ขอจงใช้คำสอนให้เหมือนกันทั้งหมด นั่นก็คือ
1. สัพพะปาปัสสะ อะกะระณัง เธอจงแนะนำบรรดาประชาชนทั้งหลาย ให้ละความชั่วทั้งหมด
2. กุสะลัสสูปะสัมปะทา เธอจงแนะนำให้เขาทุกคนสร้างแต่ความดี
3. สะจิตตะปะริโยทะปะนัง จงให้ทุกคนทำอารมณ์ใจให้ผ่องใส
เอตัง พุทธานะสาสะนัง องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงยืนยันว่า พระพุทธเจ้าทุกๆ พระองค์ พระองค์ตรัสอย่างนี้เหมือนกันหมด”
เป็นอันว่า คำสอนขององค์สมเด็จพระบรมสุคตที่ทรงสอนไว้นี้ ขอบรรดาท่านทั้งหลายจงจำไว้สอนตัวเอง จงอย่าคิดว่าเราจะไปเป็นครูของใคร การที่เป็นครูชาวบ้าน มันเป็นของไม่ยาก แต่ว่าเป็นครูตนเองนี่เป็นของยาก ก่อนที่เราจะเป็นครูเขา เราต้องดีเสียก่อน ดูตัวอย่างองค์สมเด็จพระชินวรคือพระพุทธเจ้า เมื่อพระองค์ทรงยังไม่สามารถจะทำลายกิเลสให้เป็นสมุจเฉทปหานเพียงใด องค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดาก็ไม่ทรงสอนคนอื่น ฉะนั้นขอท่านทั้งหลายจงจำพุทธภาษิตไว้ว่า อัตตนา โจทยัตตานัง จงพยายามตักเดือนตนเองไว้เสมอ
สำหรับวันนี้ก็จะขอพูดถึงสกิทาคามีมรรคที่ยังค้างอยู่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งสกิทาคามีมรรคนี่ เราต้องทำกันหลายจุด และก็ต้องมีอารมณ์เข้มแข็งกว่าพระโสดาบัน สำหรับพระโสดาบันนั้นรู้สึกว่าเป็นของง่ายๆ มีอะไรไม่ยาก ที่เราไม่สามารถจะทรงกันไว้ได้ก็เพราะใจของเรามันเลว ถ้าใจของเรามันไม่เลว พระโสดาบันเหมือนกับกล้วยสุกที่ปอกแล้ว และก็ใส่ปากอยู่แล้ว เหลือแต่ว่าจะกลืนกินเมื่อไรเท่านั้น
สำหรับสกิทาคามีนี่ ความจริงเป็นอารมณ์ที่ก้าวเข้าไปสู่ความเป็น พระอรหันต์ เพราะว่ามีหลายท่านที่ได้พระโสดาบันแล้ว ก็ไม่ทราบว่าตนเองเป็นพระสกิทาคามี อนาคามีเมื่อไร นั่งมานั่งไป พิจารณามาพิจารณาไปถึงอรหัตผล มารู้สึกตนเมื่อถึงอรหันต์เสียแล้ว อันนี้มีเยอะ ท่านที่ได้ตามลำดับ เป็นพระโสดาบัน สกิทาคา อนาคา แล้วถึงอรหันต์อันนี้มีน้อย ส่วนใหญ่บางท่านกลับไม่รู้ว่าเป็นพระโสดาบันเมื่อไหร่ มารู้ตัวเอาเมื่อเป็นอรหันต์เสียแล้ว อย่างนี้มีมาก
แต่ก่อนที่จะพูดถึงอย่างอื่น ก็ขอเอาข้อปลีกย่อยเล็กน้อย แต่ว่ามีความสำคัญ มาแนะนำท่านเสียก่อน นั่นก็คือ เวลาเจริญพระกรรมฐาน เราก็จำที่จะต้องตามใจของใจ แปลกไหม คือว่าเราต้องตามใจใจ คือตามอารมณ์ที่มันต้องการในขณะนั้น ในบางขณะอารมณ์ของเราต้องการสงบสงัด มันไม่ต้องการภาวนา ก็จงอย่าฝืนภาวนา หรือว่าอย่าฝืนพิจารณา มันอยากสงัดก็ให้มันสงัดด้วยกำลังฌาน รู้ลมหายใจเข้าออก คือรู้ลมหายใจเข้าหายใจออก ถ้าจะภาวนาก็ใช้ศัพท์สั้นๆ คือใช้ศัพท์ว่า พุทโธ เวลาหายใจเข้านึกว่า พุท เวลาหายใจออกนึกว่า โธ ถ้ามันไม่อยากจะขยับเขยื้อน มันอยากจะเคลื่อนไปด้านพิจารณา ก็ปล่อย อย่าฝืน ถ้าฝืนแล้วผลจะเสีย ในเมื่อมันเป็นฌาน ก่อนที่มันจะเป็นฌานเราตั้งใจไว้ยังไง ตั้งใจคิดไว้ว่า กามฉันทะ คือมีรูป เสียง กลิ่น รสและสัมผัสเราไม่พึงปรารถนา จิตมันทรงฌานมันจะมีกำลังตัดจุดนั้นของมันไปเอง ไม่ต้องไปวิตกกังวลว่า วันนี้เราไม่มีโอกาสพิจารณา ผลของการพิจารณาจะหย่อนลงไป ไม่ต้องคิด เพราะว่าจิตมันทำกิจของมันเองโดยเฉพาะอยู่แล้ว
และอีกประการหนึ่ง ถ้าวันใดหรือเวลาใดถ้าจิตมันต้องการใช้อารมณ์คิด เราก็คิดอยู่ในขอบเขตของพระกรรมฐาน อย่าคิดให้นอกลู่นอกทาง มันอยากจะคิดก็ปล่อยคิด บางทีมันก็อยากจะคิดเสียจนกระทั่งไม่อยากจะมาจับอารมณ์ทรงตัว ก็ปล่อยมัน เวลานั้นจิตมันใช้ปัญญาหรือว่าปัญญามันหลักแหลมขึ้น เพราะอำนาจจิตที่เป็นกุศล
ก่อนที่จะพูดต่อไปขอย้ำสักนิดหนึ่งว่า อารมณ์ใจของเรานี่ ให้มันทรงอยู่ในด้านของสมาธิจิต คือกิจที่ผมเคยพูดว่า เอาลัทธิของบุคคนในป่าที่เขาสอนกันมา เขาบอกว่า มากูมุด หยุดกูแหย่ แย่กูตี หนีกูตาม ความจริงคติของเขาดี แต่ว่าเขาไปใช้ในการรบกัน ก็เป็นเรื่องของเขา ถ้าเขาทำได้อย่างนั้นจริงๆ บทชนะของเขาก็มี เพราะนั่นเป็นความฉลาดที่เราคาดไม่ถึง
มากูมุด หมายความว่า ถ้าข้าศึกมาหลบเสีย ข้าศึกก็ทำอันตรายไม่ได้
หยุดกูแหย่ นั่นหมายความว่า ข้าศึกเผลอ เราก็แหย่ เข้าโจมตีเก็บเล็กเก็บน้อย ทำลายกำลังของข้าศึก
ถ้า แย่กูตี หมายความว่า ถ้าเขาเข้าถึงความยับเยินเมื่อไหร่ แย่ กำลังอ่อนเมื่อไร โหมกำลังให้หนัก ตีให้พับ
หนีกูตาม เมื่อเขาแพ้ตามติดประหัตประหารให้ใกล้ชิด ทำลายให้หมด
ถ้ากองทัพใดกองทัพหนึ่งใช้คติแบบนี้เป็นปกติ แล้วสามารถปฏิบัติได้ กองทัพนั้นมีทางเดียว คือ ความชนะ ท่านทั้งหลายอาจจะคิดว่าผมเอาเรื่องนี้มาพูดทำไม เราเป็นทหารอะไร ของใคร ไปรบกับใคร ผมก็ต้องตอบว่า เราเป็นทหารขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า กองทัพนี้เขาเรียกกันว่า กองทัพธรรม มีพระพุทธเจ้าเป็นจอมทัพ เรารบกับใครยังงั้นหรือ ผมก็ขอตอบว่า เรารบกับความชั่วคือกิเลส กิเลสก็คือความชั่วนั่นเอง เวลาที่เราจะรบกับความชั่ว กิเลสมีเท่าไรไม่ต้องคำนึงถึง กิเลสที่เราจะรบกันเวลานี้ก็คือ ความรักสวยรักงาม ซึ่งมันเป็นอารมณ์ค้านกับความเป็นจริง
คำว่าสวยว่างามในวัตถุธาตุหรือสิ่งที่มีชีวิต ในโลกนี้มันมีที่ไหน ขอท่านทั้งหลายที่รับฟัง กรุณาหาสิ่งที่มันไม่สกปรกในโลกนี้มาให้ผมดูด้วย เพราะว่าเวลานี้ ผมโง่จริงๆ โง่มาก ที่ไม่เคยเห็นคน ไม่เคยเห็นสัตว์ ไม่เคยเห็นวัตถุธาตุว่ามันสวย อันนี้ผมพูดถึงเวลานี้นะ แล้วพวกท่านทั้งหลายอย่าไปถามนะว่า เมื่อเวลาที่ก่อนหน้านี้ ยังหนุ่มวัยคะนองอยู่ เห็นไหมว่ามันสวยสดงดงามหรือสะอาด ตอนนั้นผมก็ต้องตอบว่าสวยทุกอย่างเหมือนกัน ผมก็เห็นเหมือนทุกๆ คนที่เขาเห็นว่า “สวย” เห็นสตรีเพศมีทรวดทรงดี ผิวดี วาจาอ่อนหวาน เราก็รัก รักเพราะว่าเห็นว่าเขาสวย รักเพราะเห็นว่าเขาดี เห็นวัตถุธาตุต่างๆ ที่มีสีสันวรรณะ ลักษณะทรวดทรงดี อาการดี เราก็ชอบ ผมชอบเหมือนกัน ชอบเป็น แต่ว่ามาตอนนี้ยังไงไม่ทราบ มันจะแก่ลงหรือยังไงก็ไม่ทราบ มันหมดดีไปเสียหมด ดีโดยจริยาของคน มี แต่ดีเพราะความสวยมองไม่เห็น เห็นจะเป็นเพราะแก่เกินไปตาไม่ดี แก่เกินไปหูไม่เป็นเรื่อง และแก่เกินไปกำลังใจมันต่ำ มันจึงเห็นว่าไม่ดี
เป็นอันว่าเราใช้คติของเขาว่า มากูมุด เรามุดอยู่ที่ไหนล่ะ ตามปกติที่ผมเคยแนะนำท่าน นักปฏิบัติที่เขาจะมีผล เขามุดกันอยู่เป็นปกติ ก่อนที่จะมากูก็มุด คือว่าตามปกติเราไม่ยอมให้มันมาแล้วจึงมุด ถ้ามาก่อนแล้วมุดไม่ทัน เมื่อมุดไม่ทันก็ถูกข้าศึกโจมตี ฉะนั้นในยามปกติเราต้องมุดเสียก่อน มุดตรงไหน มุดเข้าไปอยู่ใต้กระโปรง ใต้กางเกงเขายังงั้นรึ จะมุดเข้าไปอยู่ในถ้ำในเหว มันไม่พ้นหรอกคุณ ถ้ามุดแบบนี้ หาวัตถุเป็นเครื่องกั้นเป็นที่กำบังไม่พ้น ต้องหาอารมณ์ของจิตเป็นเครื่องกั้น
มุดอันดับแรกก็คือ มุดให้จิตทรงตัวอยู่ใน อานาปานุสสติกรรมฐาน พยายามรู้ลมเข้าลมออกอยู่เป็นปกติ ถ้าเราจะภาวนาด้วย ก็ใช้ศัพท์สั้นๆ เช่น พุทโธ เวลาหายใจเข้านึกว่า พุท เวลาหายใจออกนึกว่า โธ ทำอย่างนี้ให้มันทรงตัวอยู่ได้ตลอดวัน จนกว่าจะหมดเวลา เวลาที่มันหมดเป็นเวลาเท่าไร นั่นก็คือเวลาหลับ ถ้าตื่นขึ้นมาเมื่อไร เราก็จับลมหายใจเข้าออก ทรงคำว่า พุทโธ ในเมื่อจิตเราไม่ว่าง กิเลสตัวไหนจะเข้ามาแทรกจิต นิวรณ์ตัวไหนที่จะเข้ามาทำลายจิต มันไม่มี
วิธีมุดอย่างนี้เขาเรียกว่า มุดกลางๆ ยังไม่หลบตัวจริง หมายความว่าเรามุดไว้เสมอ ข้าศึกจะมาทางซ้ายจะมาทางขวา จะมาในลักษณะไหนก็ช่าง ฉันมุดไว้ก่อน มุดหลบนายไว้ก่อน สำหรับข้าศึกที่จะเข้าโจมตีเราที่มีกำลังใหญ่ มันมีกำลัง 3 กองทัพ คือ กองทัพราคะ หรือว่าโลภะ อันนี้เป็นอันเดียวกันหนึ่งกองทัพ กองทัพโทสะ กองทัพโมหะ สามทัพนี่แหละที่มันคอยเข้าประหัตประหารเรา
มีต่อ หนังสือ คู่มือปฎิบัติวัดท่าซุง เล่ม 1 อานาปานุสสติกรรมฐาน ตอนที่ 9.2 https://ppantip.com/topic/43129672