หนังสือ คู่มือปฎิบัติวัดท่าซุง เล่ม 1 อานาปานุสสติกรรมฐาน ตอนที่ 7.2

(ต่อจาก หนังสือ คู่มือปฎิบัติวัดท่าซุง เล่ม 1 อานาปานุสสติกรรมฐาน ตอนที่ 7.1 https://ppantip.com/topic/43122015)

อานาปานุสสติกรรมฐาน ตอนที่ 7.2

คำว่า ลืมทั้งหมด เราลืมอะไร เราลืมความโหดร้าย คืออารมณ์จิตที่ขาดความเมตตาปรานีเนี่ยลืมมันเสีย เรามีแต่อารมณ์จิตที่ประกอบไปด้วยความเมตตาปรานีเป็นสำคัญ นี่เป็นอันว่าเราลืมความโหดร้าย เราก็เกาะติดความเมตตาปรานี อย่าลืมนะครับ อันนี้เป็นศีลข้อที่ 1

ศีลข้อที่ 2 ลืมมือไว หมายถึงว่า การฉกชิงวิ่งราว การลักการขโมย การยื้อแย่งทรัพย์สินของเขา มือไวหรือใจไว ถ้าใจมันช้ามือมันก็ช้า ถ้าใจไวมือมันก็ไว ให้มันไวด้วยกัน เราลืมความมือไวในด้านความเลวเสีย ลืมใจไวในด้านความเลวเสีย ถ้าใจเราไม่ยุ่งกับความเลว มือหรือวาจามันก็ไม่เลวเหมือนกัน ทีนี้การที่จะคิดลักคิดขโมย คิดยื้อแย่ง คิดคดโกงทรัพย์สินของบุคคลอื่น เราลืมมันเสีย เรามีอารมณ์ตรงกันข้าม คือแทนที่เราจะมีความรู้สึกอย่างนั้น เราสร้างความรู้สึกเสียใหม่คือเกาะติดทานการให้ อย่าลืมนะขอรับ นี่เราลืมลัก ลืมขโมย ลืมทุจริต แต่ว่าเราเกาะติดผลของทานการให้ หวังในการสงเคราะห์เป็นสำคัญ อันนี้ทำอารมณ์ของเราให้เกาะติดตัวนี้ไว้ เรามีจิตเมตตากรุณา สงสารคนทั้งหลาย และสัตว์ทั้งหลาย สงสารเขาเหมือนกับสงสารตัวเรา อันนี้เราใช้อารมณ์เกาะติดคือแทนที่เราจะแย่งจะลักขโมยเขา เรากลับเป็นผู้ให้ ตั้งใจคิดว่าจะให้ไว้เสมอ และก็เต็มใจในการให้ถ้าเรามี ถ้าเรามีวัตถุ ไม่มีวัตถุเป็นที่ให้ เราก็ให้แรงงาน ช่วยแรงงาน ถ้าแรงงานเราไม่มีจะให้ เราก็ให้ปัญญาช่วยในการแนะนำ เป็นอันว่าเรากลับใจจากอารมณ์อยากจะได้ของเขา กลายเป็นผู้ให้ เราลืมคิดลักคิดขโมย แต่เราเกาะติดในการให้ มันก็เป็นการทำลายป้องกันความชั่ว ในด้านของศีลที่จะละเมิดศีลเสียได้ในข้อที่ 2

ข้อที่ 3 เราลืมความเป็นคนใจเร็ว คำว่าใจเร็วในที่นี้คือใจลืมคิด เห็นลูกเขา เห็นเมียเขา คนในปกครองของเขา เรามีความต้องการจะสมสู่อยู่ร่วมกันในฐานะสามีภรรยา โดยที่ไม่ได้รับอนุญาตจากท่านผู้ปกครอง หรือเจ้าของของเขา นี่เป็นความชั่วที่เราจะต้องลืม เราลืมมันเสีย อารมณ์อย่างนี้อย่าให้มีในจิตของเรา เราก็เกาะติดอารมณ์สันโดษ พอใจแต่เฉพาะคู่ตัวผัวเมียของเราเท่านั้น ไม่ปรารถนาจะไปล่วงเกิน ยื้อแย่งบุตรธิดาสามีข้าทาสหญิงชาย คนในปกครองของบุคคลผู้ใดผู้หนึ่ง คำว่า กาเม นี่ไม่ใช่เฉพาะผัวเขาเมียเขา ลูกเขา หลานเขา เหลนเขา คนใช้เขา คนในปกครองของเขา ถ้าเขายังมีผู้ปกครองอยู่ เราไม่ได้รับอนุมัติไปร่วมรัก ถึงแม้ว่าจะมีความพอใจในระหว่างซึ่งกันและกัน ก็จัดว่าเป็นโทษของกาเม นี่การประพฤติปฏิบัติข้อนี้ต้องละเอียดนิดหนึ่ง อันนี้เราก็เกาะติดสันโดษ ถ้าเราเป็นคนโสดก็พอใจในความเป็นโสด เกาะติดความเป็นโสด ต้องการจะแต่งงานก็มีความยินดี เกาะติดเฉพาะภรรยาหรือสามีของเราเท่านั้น ส่วนบุคคลอื่นใดเราไม่ต้องการ

สำหรับศีลข้อที่ 4 เราจะต้องลืมวาจา 4 สถาน ไม่มีในอารมณ์จิตของเรา คือ 1. พูดไม่จริง 2. พูดหยาบ 3. พูดยุแยงตะแคงแสะ ให้เขาแตกร้าวซึ่งกันและกัน แตกความสามัคคี 4. พูดวาจาสำรากเป็นที่สะเทือนใจของบุคคลผู้อื่นคือไร้ประโยชน์

อาการ 4 อย่างนี้เราต้องลืมมันเสีย ไม่พีงประสงค์จะนำมาใช้ มันจะมีประโยชน์เพียงใดก็ตามที ก็ถือว่ามันไม่ใช่ความปรารถนาของเรา เรามีความต้องการอย่างเดียวคือเกาะติดสัจจธรรม เกาะติดความจริง จะพูดอะไรก็ตาม จะพูดตรงต่อความเป็นจริงเสมอ แต่การพูดจริงต้องมีความฉลาด ฉลาดในการพูดจริง หมายความว่าต้องดูกาลดูสมัย ถ้าบางระยะถ้าพูดจริงไปมันจะเป็นโทษ เราก็ต้องหลบเสียนิดหน่อย แต่ไม่ถึงกับทำลายประโยชน์ของเขา เราจะต้องลืมคำหยาบที่เราเคยใช้ จะมีวาจาแต่เฉพาะวาจาอ่อนหวานเป็นที่ชื่นใจ เราจะต้องลืมวาจาที่เราจะทำให้บุคคลอื่นเขาแตกแยกซึ่งกันและกัน คือยุให้รำตำให้รั่ว ยุแยงตะแคงแสะ อันนี้ลืมมันเสีย ใช้แต่วาจาที่สร้างความสามัคคีให้เกิดขึ้น

และเราจะต้องลืมที่มีความรู้สึกว่าน้ำเมาเป็นของดี คำว่า น้ำเมา เป็นของดีมีประโยชน์เพื่อสังคม เราลืมมันเสีย เกาะติดคิดอยู่แต่ว่า น้ำเมาเป็นที่ตั้งแห่งความประมาท สุราเมระยะมัชชะปะมาทัฏฐานา เวระมะณี สุราและเมรัยก็ดี ดื่มเข้าไปแล้ว มันเป็นที่ตั้งแห่งความประมาท ทำคนให้เสียคน ทำจริยาให้เสียจริยา คิดว่าคนใดที่มีความประมาทอยู่ สมเด็จพระบรมครูท่านกล่าวว่า “เป็นคนที่ก้าวเข้าไปหาความตาย” ถ้าเราไม่ตายจากชีวิต เราก็ตายจากความดี โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ชีวิตเรามักจะรักน้อยกว่ารักความดี ฉะนั้นเราก็ต้องเกาะติดอารมณ์อย่างนี้ คือ เกาะติดอารมณ์ที่เราคิดว่าจะไม่ดื่มสุราและเมรัย และเราก็ไม่ติดมันด้วย

เป็นอันว่าจริยาทั้งหมดนี้ เป็นจริยาที่คู่ควรแก่พระโสดาบัน นอกจากนั้นเราก็ต้องมีอารมณ์เกาะติด นั่นคือเกาะติดพระนิพพานเป็นอารมณ์ เราทำทุกสิ่งทุกอย่างไม่หวังผลตอบแทนในชาติปัจจุบัน เราเกื้อกูลใคร พูดดีกับใครสงเคราะห์ใคร เขาจะมีความกตัญญูรู้คุณในเราหรือไม่ ไม่สำคัญ เราคิดเสียว่าเราทำทุกอย่าง เพื่อการเข้าถึงพระนิพพาน นี่เป็นสิ่งที่เราต้องการ เป็นอันว่าจิตเราเกาะติดพระนิพพานเป็นอารมณ์ เมื่อเราลืมความชั่วเกาะติดความดีอย่างนี้ ความจริงอารมณ์เกาะติดนี่ อารมณ์ลืมก็ดี อารมณ์เกาะติดก็ดี มันต้องมีกับนักปฏิบัติทุกท่าน อย่าไปคบค้าสมาคมกับอารมณ์ของความชั่ว ถ้าเกาะติดจริงๆแล้ว ท่านทั้งหลายไม่เกิน 1 เดือน เราได้แน่

ทีนี้เราก็หันไปมองดูภาษิตของเขามีว่า มากูมุด หยุดกูแหย่ มีงแย่กูตี หนีกูตาม ใช่หรือไม่ใช่ คงจะใช่นะ ผมก็จำไม่แน่นัก

มากูมุด หมายความว่า อารมณ์แห่งความชั่วต่างๆ ที่มันจะเข้ามาถึงใจ สมมติว่าสักครั้งหนึ่งเราลืมตัวลืมตน คิดว่าเราจะไม่ตาย คิดว่าเราเป็นคนดี คิดว่าเราไม่ชั่ว ถ้าอารมณ์อย่างนี้มันเกิดขึ้นกับใจเรา จงนึกว่านี่ศัตรูร้ายมาแล้ว ศัตรูร้ายที่ทำลายความดีมาแล้ว เมื่อมันมาเรามุดเสีย มุดไปตรงไหน เมื่อคิดว่าร่างกายเราจะไม่ตายเกิดขึ้น มันมีอารมณ์เกิดขึ้นอย่างนี้ เราก็มุดเข้าไปหามรณานุสสติกรรมฐาน คิดว่าลมปราณของเราที่ทรงอยู่นี่ เราหายใจเข้าแล้วเราไม่หายใจออกแล้วมันก็ตาย หายใจออกแล้วไม่หายใจเข้ามันก็ตาย เราจะไปเชื่อมันทำไมกับอารมณ์เลวๆ แบบนั้น เรามุดเสีย แทนที่จะยอมรับนับถือว่าเราจะไม่ตาย เราไม่ยอมคิด คิดว่าวันนี้แหละเราอาจจะต้องตาย ความตายจะมีกับเราขึ้นได้ในที่ทุกสถานทุกกาลเวลา ไม่ใช่ไปรอวันรอคืน ท่านกล่าวว่ามากูมุด

อีกตอน หยุดกูแหย่ พอหยุดกูแหย่ หมายความว่าอารมณ์ที่มีความทะนงตนไม่เกิดขี้น อารมณ์ที่คิดประทุษร้ายมีความโหดร้าย มือไวใจเร็ว พูดปดหมดสติไม่เกิดขึ้น อารมณ์ทรงความดี ทั้งศีลทั้งธรรม ทั้งมรณานุสสติกรรมฐานก็ทรงตัว การยอมรับนับถือพระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ก็มั่นคง ศีลก็มั่นคง อารมณ์เกาะพระนิพพานก็มั่นคง อันนี้เรียกว่ามันหยุด ศัตรูคือกิเลสมันหยุด เราก็แหย่ แหย่ตรงไหน แหย่โจมตีมันเข้าไป กวนมันเข้าไว้อย่าให้มันเกิดขึ้น พยายามเจริญมรณานุสสติกรรมฐาน โดยใช้ลมหายใจเป็นลมปราณเป็นที่กำหนด พยายามควบคุมอารมณ์ศีลให้ทรงตัว พยายามควบคุมอารมณ์ยอมรับนับถือด้วยปัญญาในพระพุทธเจ้า ในพระธรรม พระอริยสงฆ์ พยายามยึดพระนิพพานเป็นอารมณ์ รวมความว่า เราใช้มรณานุสสติกรรมฐาน พุทธานุสสติ สังฆานุสสติ สีลานุสสติ อุปสมานุสสติกรรมฐาน พร้อมกันไปในคราวเดียวกัน พยายามทำจิตให้มันทรงตัวอย่างยิ่งเพื่อความเป็นพระโสดาบัน

ที่นี้ แย่กูตี เมื่อเราทรงตัวได้ดีแล้วอย่างนี้ แย่กูตี หมายความว่าจับสักกายทิฎฐิในวิปัสสนาญาณขึ้นมาใช้ พิจารณาว่าร่างกายนี้มันไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา เราไม่ใช่ของมัน มันไม่ใช่ของเรา มันเป็นเพียงธาตุ 4 มาประชุมกันชั่วคราว เมื่อมันสลายตัวเราจะต้องไป แต่การไปของเรา จะไม่ไปเพื่อความเกิด แก่ เจ็บ ตาย ในภพใดๆ อีก เราจะเป็นผู้สิ้นชาติสิ้นภพ ตีโลภะ ความโลภให้พินาศไป ตีราคะ ความกำหนัดยินดีในกามารมณ์ให้พินาศไป ตีโทสะให้พินาศไป ตีโมหะให้พินาศไป การโจมตีแบบนี้ ถือว่าเข้าถึงพระโสดาบันและจิตทรงตัว ตีอันดับสำคัญให้ถึงอรหันต์เลย ไม่ต้องไปตี พระสกิทาคา อนาคา ตีให้มันจบจุด แย่กูตี

เมื่อแย่กูตี ทีนี่มันก็หนี มันหนีเราตาม หมายความว่าเราจะทรงอานาปานุสสติกรรมฐานให้เป็นฌานไว้เป็นปกติ แล้วใช้สักกายทิฎฐิในวิปัสสนาญาณ เข้าประหัตประหาร โดยจับสังโยชน์ 10 ประการเป็นเครื่องวัดอารมณ์ใจ ว่าเวลานี้สังโยชน์ตัวใดบ้างที่ยังขวางใจของเราอยู่

เอาละบรรดาสาวกของสมเด็จพระบรมครู เท่าที่พูดมานี้มองดูเวลามันก็หมด ผมคิดว่าการที่เอาจุดซอยๆ ความจริงน่าจะซอยมากกว่านี้ แต่เวลาไม่พอมาซอยกันเรื่องพระโสดาบัน คิดว่าคงไม่เกินวิสัยของท่านที่จะพึงทำได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งท่านทั้งหลายหมั่นฝึกฝนในด้านของมโนมยิทธิเป็นของดี เป็นการฝึกกำลังจิตให้มั่นคง

เอาละ ต่อจากนี้ไปขอบรรดาท่านอุบาสกอุบาสิกา บรรดาพระสงฆ์ ภิกษุสามเณรทั้งหลาย ตั้งกายให้ตรง ดำรงจิตให้มั่น กำหนดรู้ลมหายใจเข้าออก ใช้คำภาวนาและพิจารณาตามอัธยาศัย จนกว่าที่ท่านทั้งหลายจะเห็นว่าเวลานั้นเป็นการอันสมควร

แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่