(ต่อจาก คู่มือปฎิบัติวัดท่าซุง เล่ม 2 อนุสสติ 5 ตอนที่ 6.1 https://ppantip.com/topic/43306279)
อนุสสติ 5 ตอนที่ 6.2

เราก็พิจารณาไปว่าร่างกายมันไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา ร่างกายนี้ โดยนำเอาสักกายทิฏฐิ กายคตานุสสติ และอสุภกรรมฐานมาควบหาความจริง ว่าร่างกายไม่เป็นชิ้นเป็นอัน ไม่เป็นแท่งทึบ ร่างการนี้แบ่งเป็นอาการ 32 เต็มไปด้วยความสกปรกโสมม เป็นสิ่งโสโครก ถ้าเราปรารถนา ในการครองคู่มันสุขหรือเป็นทุกข์ เราอยู่ตัวคนเดียวเราก็เป็นทุกข์ ถ้าเรามีคู่ครองเราก็เพิ่มทุกข์ และใครบ้างที่จะเป็นที่พึ่งของเราไม่มี ถ้าขืนไปดึงเอากิเลส โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เขาก็มุ่งเอากิเลสใหญ่ หันเข้าไปดูราคะ ความรักในระหว่างเพศ จุดไหนบ้างที่เป็นของสวย ในเพื่อนระหว่างเพศ ไม่มี และมีใครทรงตัวในความเป็นหนุ่มเป็นสาวบ้าง ไม่มี คนแก่เราอยากจะแต่งงานด้วยไหม อายุสัก 80 ปี หนังก็ย่น หน้าก็ตกกระ ผมหงอก ฟันหัก ตาขาวโหล หลังโก่ง ทำอะไรไม่ไหว อยากจะแต่งงานด้วยไหม ถ้าเราไม่พอใจคนที่มีสภาพอย่างนี้ ก็จงนึกว่าเราก็ดี คนที่เราคิดว่าจะแต่งงานด้วยก็ดี ถ้ามีอายุถึงปานนั้นแล้ว เราจะหลีกเลี่ยงได้หรือเปล่า ใช้ปัญญาพิจารณาดูให้ดี ตอนนี้เป็นตัวปัญญา
แล้วก็มาตอนโลภะ ความโลภ อย่าลืมนะ คนถ้าเป็นพระอริยเจ้าหรือว่าท่านทั้งหลายปฏิบัติตั้งแต่ฌานโลกีย์ขึ้นมา ถ้าอารมณ์จิตเริ่มทรงฌาน หรือก้าวเข้าเป็นพระโสดาบัน สกิทาคามี อนาคามี อรหันต์ ทุกระดับนี้ ฌานโลกีย์ถ้าทรงตัวลาภจะมาก ถ้ายิ่งเป็นพระอริยเจ้าก็มีลาภมากขึ้น พระโสดาบัน สกิทาคามี อนาคามีจะรวยขึ้นตามลำดับ ถ้าถึงอรหันต์ก็รวยใหญ่ รวยตรงไหน รวยที่มันตัดโลภะ ความโลภ ทรงฌานโลกีย์จิตระงับความโลภ เป็นพระโสดาบันจิตเริ่มตัดความโลภ ไม่ใช่ระงับเฉย ๆ เริ่มตัด ถึงสกิทาคามีตัดความโลภมากขึ้น ถึงอนาคามีตัดความโลภเกือบหมด ถึงอรหันต์ความโลภไม่เหลืออยู่ในใจ เมื่อความโลภมันหมดไปลาภมันก็เกิด
พระอริยเจ้าอยู่ที่ไหน อยู่ในป่าในดงมันก็เป็นวัด และก็คงจะไม่ใช่วัดที่โกรงเกรง จะเป็นวัดที่เต็มไปด้วยความแจ่มใส ดูตัวอย่าง
หลวงปู่บุญมี ที่ดอยโมคคัลลาน์ ใกล้ดอยอินทนนท์ ที่นั่นคนขึ้นไปหาก็แสนยาก ท่านขึ้นไปอยู่ใหม่ ๆ 7-8 วัน จะมีคนเอาข้าวไปให้กินสักครั้งหนึ่ง คนเต็มไปด้วยความคับแคบของใจ แต่ในระยะต้น ระยะหลังนี่กลับมาใหม่ เมื่อจิตดีแล้ว เพียงแค่ 2 ปี วัดมีราคาเป็นล้าน คนนั้นก็อยากไปสร้างให้ คนนี้ก็อยากไปสร้างให้ แต่ว่าท่านจะเป็นพระอริยเจ้าหรือไม่นี่ผมไม่ทราบ แต่เวลาคุยกับท่าน ท่านก็คุยอยู่ข้อเดียวคือตัด
สักกายทิฏฐิ
นี่อันนี้ท่านทั้งหลายจะพึงเห็น ว่าจิตถ้าบริสุทธิ์มากเพียงใด ลาภสักการะมันก็เกิดมากเพียงนั้น เมื่อลาภสักการะเกิด ก็จงอย่าไปคิดว่าทุกคนท่านจะติดลาภสักการะ ความจริงเปล่า หัวใจท่านไม่ติด ตอนนี้แหละเราจะต้องคิด
อันดับแรก เราก็ไปจับจุดตัดกามราคะเสียก่อน เห็นว่ามันไม่เป็นประโยชน์ นี่ผมพูดตั้งแต่เริ่มปฏิบัติครั้งแรกนะครับ และต่อมาก็มองดูทรัทย์สินทั้งหลายว่า คนที่แบกทรัพย์สินทั้งหลายมากเท่าไรก็ตามที เขาก็ตาย มีทรัพย์มากก็ตาย มีทรัพย์น้อยก็ตาย จนก็ตาย รวยก็ตาย แล้วจิตใจจะไปนั่งมัวเมาอยู่ในทรัพย์สินเพื่ออะไร ทรัพย์มี ดีมีประโยชน์ ได้ทรัพย์มากเท่าไรทำทรัพย์นั้นให้เป็นสาธารณะประโยชน์ให้มากขึ้น จงอย่าเอาจิตเข้าไปติดในทรัพย์ เป็นแต่เพียงว่ารับมาแล้ว เพื่อทำประโยชน์ใหญ่ให้เป็นสาธารณะให้มากขึ้น ใจไม่เกาะ
ต่อมาอำนาจของความโกรธ ก็มานั่งดูสักกายทิฏฐิ เราโกรธแล้วเราอยากจะฆ่ากายของเขา เราอยากจะประทุษร้ายร่างกายของเขา ไอ้ร่างกายนี้เขาเองเขาก็ทรงตัวไว้ไม่ได้ เขาห้ามความแก่ไม่ได้ เขาห้ามความป่วยไม่ได้ เขาห้ามความตายไม่ได้ แล้วจะไปนั่งโกรธร่างกายของเขาด้วยเรื่องอะไร อยากประทุษร้ายเขา มันก็สร้างความชั่วให้แก่เรา เราไม่ต้องไปทรมานเขา เขาก็ทุกข์ เราไม่ต้องฆ่าเขา เขาก็ตาย ยกล้อมันไปไม่ดีกว่าหรือ เขาชั่วปล่อยเขาชั่วไปแต่ผู้เดียว เขาด่าเรา เราไม่ด่าเขา เขาเลวคนเดียว เขาแกล้งเรา เราไม่แกล้งเขา เขาเลวคนเดียว เราไม่เลว ทำอารมณ์จิตให้เป็นสุข คิดว่านั่นเขาเป็นทาสของกิเลสและตัณหา
สำหรับ
โมหะ สำหรับโมหะความหลงตัวนี้เป็นตัวสำคัญ อันดับแรกเราก็มาตัดความหลง มานั่งมองร่างกายเรา นั่งมองร่างกายของบุคคลอื่น มองดูความสกปรกของร่างกาย มองดูความเสื่อมไปของร่างกาย และดูการเดินเข้าไปหาทางสลายตัวของร่างกาย มองดูร่างกายที่มันใช้เราคือจิต ให้แสวงหาอาหารมาให้มัน กินแล้วมันก็ถ่าย ถ่ายแล้วมันก็กิน แต่ทว่ามันก็ทรุดโทรมลงไปทุกวัน มันดีหรือมันชั่ว แสดงว่าร่างกายนี้มันชั่ว เราควรจะมีร่างกายต่อไปไหม ก็ชื่อว่าเราไม่ควรจะมี
ถ้าเราจะไม่มีร่างกายต่อไปเราจะทำยังไง เราก็ต้องเป็นคนใช้ปัญญา ปัญญาของเราจะเอาอะไรมาใช้ ปัญญามันมีอยู่แล้ว แต่เหตุที่จะต้องใช้ ต้องใช้ตามแนวที่องค์สมเด็จพระประทีปแก้วทรงแนะนำ นั่นก็คือพิจารณาคำสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ตั้งแต่ต้นจนอวสาน ในที่สุดองค์สมเด็จพระพิชิตมารว่าเราสามารถเข้าใจในอริยสัจด้วยปัญญา เราเป็นอรหันต์ อริยสัจมองเห็นทุกข์ของตนเอง ทุกข์ของคนอื่น ทุกข์ของสัตว์โลกทั้งหมด ทุกข์มาจากไหน มาจากตัณหา ตัณหาคือะไร คือความอยาก เราจะตัดตัณหาเราตัดตรงไหน ตัดที่ศีลสมาธิปัญญา อันนี้เป็นคำสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
ผมขอกล่าวโดยย่อ เราก็ทรงศีล สมาธิ ปัญญาให้ครบถ้วน เมื่อศีล สมาธิ ปัญญาครบถ้วน จิตทรงตัวดีอันดับแรกเป็นฌานโลกีย์ ต่อมาก็มานั่งดูว่าพระโสดาบันทรงอะไร พระโสดาบันทรงอธิศีล และไม่ข้องในกาย เราเป็นพระโสดาบัน อนาคามีมีอะไร สกิทาคามีผมไม่พูด อนาคามีคือตัดกามฉันทะ โดยใช้กายคตานุสสติ อสุภกรรมฐาน และสักกายทิฏฐิควบกัน กายคตานุสสติ เห็นว่าร่างกายเป็นชิ้นเป็นท่อนเป็นตอน อสุภกรรมฐานเห็นว่าร่างกายสกปรก สักกายทิฏฐิไอ้สิ่งที่มันสกปรกอย่างนี้ มันไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา เราอาศัยมัน พอใจมันทำไมสำหรับความสวยงามในร่างกาย มันเป็นความสกปรก ร่างกายเรา เราก็ไม่พอใจ ร่างกายเขา เขาก็ไม่พอใจ เราก็ไม่พอใจ เป็นอันว่าไม่สนใจ อย่าลืมนะตรงนี้ต้องสู้กับอารมณ์
ถ้าเราตัดกามฉันทะเราก็หาคนสวย ถ้าชนหน้ากันเมื่อไร หรือลับหลังเขา เราเห็นว่าไม่สวยเมื่อไร เมื่อนั้นใช้ได้จิตใจไม่ผูกพัน
มาด้านโทสะ ความโกรธ พระอนาคามีตัดได้ด้วยอาศัยพรหมวิหาร 4 กับสักกายทิฏฐิควบกัน ตามที่อธิบายมาแล้ว นี่ต้องใช้ปัญญานะ จะไปนั่งภาวนาอยู่เฉย ๆ มันไม่ไป มองดูโทษของความโกรธ มองดูโทษอารมณ์ที่โกรธ มันไม่ได้เกิดประโยชน์ตามที่กล่าวมา
เมื่อถึงอนาคามีแล้ว ความจริงอรหันต์เก็บเล็กเก็บน้อยเป็นของสบาย ๆ ใช้ปัญญาว่า
รูปฌาน และ
อรูปฌาน เป็นบันได สำหรับก้าวเข้าไปสู่พระนิพพาน เราจะไม่หยุดอยู่แค่นี้
มานะ การถือตัวถือคนไปถืออะไรกันตรงไหน ถือนี่มันถือกาย หรือถือความเลว ถือชาติตระกูล ถือฐานะ ถือวิชาความรู้ ไอ้สิ่งทั้งหลายเหล่านี้มันไม่ทรงตัว ไปถืออะไรกัน คนกับสัตว์มีสภาวะเท่ากัน ถ้าเราเป็นเพื่อนกับสัตว์ได้เมื่อไร เมื่อนั้นชื่อว่าจิตเราปลดมานะได้ ถ้าเรายังเห็นสัตว์เครัจฉาน สัตว์ขี้เรื้อนเป็นที่น่ารังเกียจ เวลานั้นชื่อว่าเรายังเป็นผู้ตัดมานะไม่ได้ จำให้ดีเท่านี้นะ ทำใจให้มันลงตัว
และ
อุทธัจจะ อารมณ์ฟุ้งซ่านนี่ หนายความว่าอารมณ์เราจับพระนิพพานตรงหรือเปล่า โลภะ ความโลภมีในจิตหรือเปล่า ราคะความกำหนัดยินดีมีในอารมณ์หรือเปล่า โทสะ พยาบาท ความโกรธมีในใจหรือเปล่า จิตเรายังยึดถือว่านั่นเป็นเรา นี่เป็นของเราอยู่หรือเปล่า ถ้ายังมีอยู่ ยังตัดไม่ได้ อารมณ์ต้องเบาในสิ่งทั้งทั้งหลาย เหล่านี้ทั้งหมด จิตกำหนดเฉพาะพระนิพพานเป็นอารมณ์ อย่างนี้ชื่อว่าตัดอุทธัจจะคืออารมณ์ฟุ้งซ่านได้
แล้วก็
อวิชชา มันไม่มีอะไร อวิชชานี่แปลว่าไม่รู้ เหลือนิดเดียว อวิชชาที่อารมณ์จิตคิดว่า การทรงเป็นพระอนาคามียังดี เกิดเป็นเทวดาหรือพรหมก็หมดกัน อย่างนี้เราตัดทิ้งมันไป ตั้งใจเฉพาะพระนิพพานเป็นอารมณ์ พอจิตเข้าถึงอรหัตตผล จิตใจของเราจะมีอาการของความเบา ไม่มีความรู้สึกหนักในกรณีทั้งปวง จะมีอารมณ์โปร่ง มีใจเป็นสุข เขาจะมาในด้านไหน กามฉันทะมาก็เหลว โลภะ ความโลภเขาจะนำมาก็เหลว โทสะ ความโกรธมายั่วเย้าก็เหลว โมหะเข้ามายั่วเพียงใดก็เหลว ใจเราไม่ติด อารมณ์มันสบาย ๆ คล้ายกับว่ามือไม่เกาะอะไรทั้งหมด จิตมันโปร่งมีอารมณ์เป็นสุข เห็นคนสวยก็เหมือนกับเห็นเปรต เห็นทรัพย์สินทั้งหลายก็เหมือนกับเห็นก้อนดินเหนียว เห็นบุคคลทำให้โกรธเราก็นึกว่าเราเห็นคนบ้า เห็นร่างกายกายา ทรัพย์สินทั้งหลาย เห็นวัตถุเหมือนว่าไร้ค่า จิตใจเป็นสุข อารมณ์โปร่ง
เท่านี้แหละบรรดาท่านทั้งหลาย เป็นอาการที่การปฏิบัติตนให้เข้าถึง อรหัตตผล ผมพูดมาน่ะมันยาวเกินไป แต่ความจริงการปฏิบัติ เขาปฏิบัติกันแบบนี้ เขาลัด ๆ ประเดี๋ยวหนึ่งก็ถึง เอาล่ะท่านทั้งหลายมองดูเวลา แต่ความจริงเรื่องนี้เราย้ำกันมาเป็นปี เห็นว่าเท่านี้ก็พอ เวลาก็หมดเสียแล้ว ก็ขอยุติไว้แต่เพียงเท่านี้ สำหรับด้านอนุสสติ 5 ประการ ที่เริ่มต้นด้วยพระโสดาบันก็ขอจบไว้แต่เพียงเท่านี้
ขอความสุขสวัสดีจงมีแด่ท่านทั้งหลาย ต่อนี้ไปขอทุกท่านตั้งกายให้ตรง ดำรงจิตให้มั่น กำหนดรู้ลมหายใจเข้าหายใจออก อยู่ในอิริยาบถที่ท่านต้องการ จนกว่าจะถึงเวลานั้นที่ท่านเห็นว่าสมควร
สวัสดี
ลิงค์ทั้งหมด https://ppantip.com/profile/8483559#topics
คู่มือปฎิบัติวัดท่าซุง เล่ม 2 อนุสสติ 5 ตอนที่ 6.2
อนุสสติ 5 ตอนที่ 6.2
เราก็พิจารณาไปว่าร่างกายมันไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา ร่างกายนี้ โดยนำเอาสักกายทิฏฐิ กายคตานุสสติ และอสุภกรรมฐานมาควบหาความจริง ว่าร่างกายไม่เป็นชิ้นเป็นอัน ไม่เป็นแท่งทึบ ร่างการนี้แบ่งเป็นอาการ 32 เต็มไปด้วยความสกปรกโสมม เป็นสิ่งโสโครก ถ้าเราปรารถนา ในการครองคู่มันสุขหรือเป็นทุกข์ เราอยู่ตัวคนเดียวเราก็เป็นทุกข์ ถ้าเรามีคู่ครองเราก็เพิ่มทุกข์ และใครบ้างที่จะเป็นที่พึ่งของเราไม่มี ถ้าขืนไปดึงเอากิเลส โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เขาก็มุ่งเอากิเลสใหญ่ หันเข้าไปดูราคะ ความรักในระหว่างเพศ จุดไหนบ้างที่เป็นของสวย ในเพื่อนระหว่างเพศ ไม่มี และมีใครทรงตัวในความเป็นหนุ่มเป็นสาวบ้าง ไม่มี คนแก่เราอยากจะแต่งงานด้วยไหม อายุสัก 80 ปี หนังก็ย่น หน้าก็ตกกระ ผมหงอก ฟันหัก ตาขาวโหล หลังโก่ง ทำอะไรไม่ไหว อยากจะแต่งงานด้วยไหม ถ้าเราไม่พอใจคนที่มีสภาพอย่างนี้ ก็จงนึกว่าเราก็ดี คนที่เราคิดว่าจะแต่งงานด้วยก็ดี ถ้ามีอายุถึงปานนั้นแล้ว เราจะหลีกเลี่ยงได้หรือเปล่า ใช้ปัญญาพิจารณาดูให้ดี ตอนนี้เป็นตัวปัญญา
แล้วก็มาตอนโลภะ ความโลภ อย่าลืมนะ คนถ้าเป็นพระอริยเจ้าหรือว่าท่านทั้งหลายปฏิบัติตั้งแต่ฌานโลกีย์ขึ้นมา ถ้าอารมณ์จิตเริ่มทรงฌาน หรือก้าวเข้าเป็นพระโสดาบัน สกิทาคามี อนาคามี อรหันต์ ทุกระดับนี้ ฌานโลกีย์ถ้าทรงตัวลาภจะมาก ถ้ายิ่งเป็นพระอริยเจ้าก็มีลาภมากขึ้น พระโสดาบัน สกิทาคามี อนาคามีจะรวยขึ้นตามลำดับ ถ้าถึงอรหันต์ก็รวยใหญ่ รวยตรงไหน รวยที่มันตัดโลภะ ความโลภ ทรงฌานโลกีย์จิตระงับความโลภ เป็นพระโสดาบันจิตเริ่มตัดความโลภ ไม่ใช่ระงับเฉย ๆ เริ่มตัด ถึงสกิทาคามีตัดความโลภมากขึ้น ถึงอนาคามีตัดความโลภเกือบหมด ถึงอรหันต์ความโลภไม่เหลืออยู่ในใจ เมื่อความโลภมันหมดไปลาภมันก็เกิด
พระอริยเจ้าอยู่ที่ไหน อยู่ในป่าในดงมันก็เป็นวัด และก็คงจะไม่ใช่วัดที่โกรงเกรง จะเป็นวัดที่เต็มไปด้วยความแจ่มใส ดูตัวอย่าง หลวงปู่บุญมี ที่ดอยโมคคัลลาน์ ใกล้ดอยอินทนนท์ ที่นั่นคนขึ้นไปหาก็แสนยาก ท่านขึ้นไปอยู่ใหม่ ๆ 7-8 วัน จะมีคนเอาข้าวไปให้กินสักครั้งหนึ่ง คนเต็มไปด้วยความคับแคบของใจ แต่ในระยะต้น ระยะหลังนี่กลับมาใหม่ เมื่อจิตดีแล้ว เพียงแค่ 2 ปี วัดมีราคาเป็นล้าน คนนั้นก็อยากไปสร้างให้ คนนี้ก็อยากไปสร้างให้ แต่ว่าท่านจะเป็นพระอริยเจ้าหรือไม่นี่ผมไม่ทราบ แต่เวลาคุยกับท่าน ท่านก็คุยอยู่ข้อเดียวคือตัด สักกายทิฏฐิ
นี่อันนี้ท่านทั้งหลายจะพึงเห็น ว่าจิตถ้าบริสุทธิ์มากเพียงใด ลาภสักการะมันก็เกิดมากเพียงนั้น เมื่อลาภสักการะเกิด ก็จงอย่าไปคิดว่าทุกคนท่านจะติดลาภสักการะ ความจริงเปล่า หัวใจท่านไม่ติด ตอนนี้แหละเราจะต้องคิด
อันดับแรก เราก็ไปจับจุดตัดกามราคะเสียก่อน เห็นว่ามันไม่เป็นประโยชน์ นี่ผมพูดตั้งแต่เริ่มปฏิบัติครั้งแรกนะครับ และต่อมาก็มองดูทรัทย์สินทั้งหลายว่า คนที่แบกทรัพย์สินทั้งหลายมากเท่าไรก็ตามที เขาก็ตาย มีทรัพย์มากก็ตาย มีทรัพย์น้อยก็ตาย จนก็ตาย รวยก็ตาย แล้วจิตใจจะไปนั่งมัวเมาอยู่ในทรัพย์สินเพื่ออะไร ทรัพย์มี ดีมีประโยชน์ ได้ทรัพย์มากเท่าไรทำทรัพย์นั้นให้เป็นสาธารณะประโยชน์ให้มากขึ้น จงอย่าเอาจิตเข้าไปติดในทรัพย์ เป็นแต่เพียงว่ารับมาแล้ว เพื่อทำประโยชน์ใหญ่ให้เป็นสาธารณะให้มากขึ้น ใจไม่เกาะ
ต่อมาอำนาจของความโกรธ ก็มานั่งดูสักกายทิฏฐิ เราโกรธแล้วเราอยากจะฆ่ากายของเขา เราอยากจะประทุษร้ายร่างกายของเขา ไอ้ร่างกายนี้เขาเองเขาก็ทรงตัวไว้ไม่ได้ เขาห้ามความแก่ไม่ได้ เขาห้ามความป่วยไม่ได้ เขาห้ามความตายไม่ได้ แล้วจะไปนั่งโกรธร่างกายของเขาด้วยเรื่องอะไร อยากประทุษร้ายเขา มันก็สร้างความชั่วให้แก่เรา เราไม่ต้องไปทรมานเขา เขาก็ทุกข์ เราไม่ต้องฆ่าเขา เขาก็ตาย ยกล้อมันไปไม่ดีกว่าหรือ เขาชั่วปล่อยเขาชั่วไปแต่ผู้เดียว เขาด่าเรา เราไม่ด่าเขา เขาเลวคนเดียว เขาแกล้งเรา เราไม่แกล้งเขา เขาเลวคนเดียว เราไม่เลว ทำอารมณ์จิตให้เป็นสุข คิดว่านั่นเขาเป็นทาสของกิเลสและตัณหา
สำหรับ โมหะ สำหรับโมหะความหลงตัวนี้เป็นตัวสำคัญ อันดับแรกเราก็มาตัดความหลง มานั่งมองร่างกายเรา นั่งมองร่างกายของบุคคลอื่น มองดูความสกปรกของร่างกาย มองดูความเสื่อมไปของร่างกาย และดูการเดินเข้าไปหาทางสลายตัวของร่างกาย มองดูร่างกายที่มันใช้เราคือจิต ให้แสวงหาอาหารมาให้มัน กินแล้วมันก็ถ่าย ถ่ายแล้วมันก็กิน แต่ทว่ามันก็ทรุดโทรมลงไปทุกวัน มันดีหรือมันชั่ว แสดงว่าร่างกายนี้มันชั่ว เราควรจะมีร่างกายต่อไปไหม ก็ชื่อว่าเราไม่ควรจะมี
ถ้าเราจะไม่มีร่างกายต่อไปเราจะทำยังไง เราก็ต้องเป็นคนใช้ปัญญา ปัญญาของเราจะเอาอะไรมาใช้ ปัญญามันมีอยู่แล้ว แต่เหตุที่จะต้องใช้ ต้องใช้ตามแนวที่องค์สมเด็จพระประทีปแก้วทรงแนะนำ นั่นก็คือพิจารณาคำสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ตั้งแต่ต้นจนอวสาน ในที่สุดองค์สมเด็จพระพิชิตมารว่าเราสามารถเข้าใจในอริยสัจด้วยปัญญา เราเป็นอรหันต์ อริยสัจมองเห็นทุกข์ของตนเอง ทุกข์ของคนอื่น ทุกข์ของสัตว์โลกทั้งหมด ทุกข์มาจากไหน มาจากตัณหา ตัณหาคือะไร คือความอยาก เราจะตัดตัณหาเราตัดตรงไหน ตัดที่ศีลสมาธิปัญญา อันนี้เป็นคำสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
ผมขอกล่าวโดยย่อ เราก็ทรงศีล สมาธิ ปัญญาให้ครบถ้วน เมื่อศีล สมาธิ ปัญญาครบถ้วน จิตทรงตัวดีอันดับแรกเป็นฌานโลกีย์ ต่อมาก็มานั่งดูว่าพระโสดาบันทรงอะไร พระโสดาบันทรงอธิศีล และไม่ข้องในกาย เราเป็นพระโสดาบัน อนาคามีมีอะไร สกิทาคามีผมไม่พูด อนาคามีคือตัดกามฉันทะ โดยใช้กายคตานุสสติ อสุภกรรมฐาน และสักกายทิฏฐิควบกัน กายคตานุสสติ เห็นว่าร่างกายเป็นชิ้นเป็นท่อนเป็นตอน อสุภกรรมฐานเห็นว่าร่างกายสกปรก สักกายทิฏฐิไอ้สิ่งที่มันสกปรกอย่างนี้ มันไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา เราอาศัยมัน พอใจมันทำไมสำหรับความสวยงามในร่างกาย มันเป็นความสกปรก ร่างกายเรา เราก็ไม่พอใจ ร่างกายเขา เขาก็ไม่พอใจ เราก็ไม่พอใจ เป็นอันว่าไม่สนใจ อย่าลืมนะตรงนี้ต้องสู้กับอารมณ์
ถ้าเราตัดกามฉันทะเราก็หาคนสวย ถ้าชนหน้ากันเมื่อไร หรือลับหลังเขา เราเห็นว่าไม่สวยเมื่อไร เมื่อนั้นใช้ได้จิตใจไม่ผูกพัน
มาด้านโทสะ ความโกรธ พระอนาคามีตัดได้ด้วยอาศัยพรหมวิหาร 4 กับสักกายทิฏฐิควบกัน ตามที่อธิบายมาแล้ว นี่ต้องใช้ปัญญานะ จะไปนั่งภาวนาอยู่เฉย ๆ มันไม่ไป มองดูโทษของความโกรธ มองดูโทษอารมณ์ที่โกรธ มันไม่ได้เกิดประโยชน์ตามที่กล่าวมา
เมื่อถึงอนาคามีแล้ว ความจริงอรหันต์เก็บเล็กเก็บน้อยเป็นของสบาย ๆ ใช้ปัญญาว่า รูปฌาน และ อรูปฌาน เป็นบันได สำหรับก้าวเข้าไปสู่พระนิพพาน เราจะไม่หยุดอยู่แค่นี้
มานะ การถือตัวถือคนไปถืออะไรกันตรงไหน ถือนี่มันถือกาย หรือถือความเลว ถือชาติตระกูล ถือฐานะ ถือวิชาความรู้ ไอ้สิ่งทั้งหลายเหล่านี้มันไม่ทรงตัว ไปถืออะไรกัน คนกับสัตว์มีสภาวะเท่ากัน ถ้าเราเป็นเพื่อนกับสัตว์ได้เมื่อไร เมื่อนั้นชื่อว่าจิตเราปลดมานะได้ ถ้าเรายังเห็นสัตว์เครัจฉาน สัตว์ขี้เรื้อนเป็นที่น่ารังเกียจ เวลานั้นชื่อว่าเรายังเป็นผู้ตัดมานะไม่ได้ จำให้ดีเท่านี้นะ ทำใจให้มันลงตัว
และ อุทธัจจะ อารมณ์ฟุ้งซ่านนี่ หนายความว่าอารมณ์เราจับพระนิพพานตรงหรือเปล่า โลภะ ความโลภมีในจิตหรือเปล่า ราคะความกำหนัดยินดีมีในอารมณ์หรือเปล่า โทสะ พยาบาท ความโกรธมีในใจหรือเปล่า จิตเรายังยึดถือว่านั่นเป็นเรา นี่เป็นของเราอยู่หรือเปล่า ถ้ายังมีอยู่ ยังตัดไม่ได้ อารมณ์ต้องเบาในสิ่งทั้งทั้งหลาย เหล่านี้ทั้งหมด จิตกำหนดเฉพาะพระนิพพานเป็นอารมณ์ อย่างนี้ชื่อว่าตัดอุทธัจจะคืออารมณ์ฟุ้งซ่านได้
แล้วก็ อวิชชา มันไม่มีอะไร อวิชชานี่แปลว่าไม่รู้ เหลือนิดเดียว อวิชชาที่อารมณ์จิตคิดว่า การทรงเป็นพระอนาคามียังดี เกิดเป็นเทวดาหรือพรหมก็หมดกัน อย่างนี้เราตัดทิ้งมันไป ตั้งใจเฉพาะพระนิพพานเป็นอารมณ์ พอจิตเข้าถึงอรหัตตผล จิตใจของเราจะมีอาการของความเบา ไม่มีความรู้สึกหนักในกรณีทั้งปวง จะมีอารมณ์โปร่ง มีใจเป็นสุข เขาจะมาในด้านไหน กามฉันทะมาก็เหลว โลภะ ความโลภเขาจะนำมาก็เหลว โทสะ ความโกรธมายั่วเย้าก็เหลว โมหะเข้ามายั่วเพียงใดก็เหลว ใจเราไม่ติด อารมณ์มันสบาย ๆ คล้ายกับว่ามือไม่เกาะอะไรทั้งหมด จิตมันโปร่งมีอารมณ์เป็นสุข เห็นคนสวยก็เหมือนกับเห็นเปรต เห็นทรัพย์สินทั้งหลายก็เหมือนกับเห็นก้อนดินเหนียว เห็นบุคคลทำให้โกรธเราก็นึกว่าเราเห็นคนบ้า เห็นร่างกายกายา ทรัพย์สินทั้งหลาย เห็นวัตถุเหมือนว่าไร้ค่า จิตใจเป็นสุข อารมณ์โปร่ง
เท่านี้แหละบรรดาท่านทั้งหลาย เป็นอาการที่การปฏิบัติตนให้เข้าถึง อรหัตตผล ผมพูดมาน่ะมันยาวเกินไป แต่ความจริงการปฏิบัติ เขาปฏิบัติกันแบบนี้ เขาลัด ๆ ประเดี๋ยวหนึ่งก็ถึง เอาล่ะท่านทั้งหลายมองดูเวลา แต่ความจริงเรื่องนี้เราย้ำกันมาเป็นปี เห็นว่าเท่านี้ก็พอ เวลาก็หมดเสียแล้ว ก็ขอยุติไว้แต่เพียงเท่านี้ สำหรับด้านอนุสสติ 5 ประการ ที่เริ่มต้นด้วยพระโสดาบันก็ขอจบไว้แต่เพียงเท่านี้
ขอความสุขสวัสดีจงมีแด่ท่านทั้งหลาย ต่อนี้ไปขอทุกท่านตั้งกายให้ตรง ดำรงจิตให้มั่น กำหนดรู้ลมหายใจเข้าหายใจออก อยู่ในอิริยาบถที่ท่านต้องการ จนกว่าจะถึงเวลานั้นที่ท่านเห็นว่าสมควร สวัสดี
ลิงค์ทั้งหมด https://ppantip.com/profile/8483559#topics