อสุภกรรมฐาน ตอนที่ 4.1
ท่านพระโยคาวจรทั้งหลาย บัดนี้ท่านทั้งหลายได้พากันสมาทานศีล สมาทานพระกรรมฐานแล้ว ต่อไปก็ขอได้ไปรดตั้งใจสดับเรื่อง
อสุภกรรมฐาน สำหรับอสุภกรรมฐาน วันนี้เป็นวันจบ เมื่อวันที่แล้วมาให้แนะนำท่านทั้งหลายให้พยายาม ใช้การพิจารณาอสุภกรรมฐานให้เป็นกสิณ ถ้าบังเอิญใครเขาจะมาพูดว่า อสุภกรรมฐานเป็นกสิณไม่ได้ ก็จงอย่าเถียงกับเรา ทั้งนี้ก็แสดงว่า ท่านผู้นั้นไม่เคยเจริญอสุภกรรมฐานเป็นฌาน เลยเป็นเรื่องของเขา นี่การเจริญอสุภกรรมฐานให้เป็นกสิณ คำว่า อสุภกรรมฐาน นี่แปลว่า จิตตั้งอยู่ในอารมณ์ที่เห็นว่าทุกสิ่งทุกอย่างไม่สวยไม่งาม แล้วก็จงจำภาพของคนตาย ภาพของสัตว์ตาย ที่มีสภาพเน่าเละให้ปรากฎ
แต่ความจริง ลักษณะของอสุภกรรมฐานนี่มี 10 อย่าง จะมีอะไรบัางนั้น ขอท่านทั้งหลายตรวจค้นเอาตามตำรา เพราะว่าตำรามีอยู่ครบแล้ว ชอบแบบไหน ทำแบบนั้น ทำจนกระทั่งให้จิตใจของเราเห็นสภาวะความจำของรูปอสุภ คือคนตายมีสภาพติดใจอยู่เป็นปกติ แต่เพียงแค่ติดใจเท่านี้ ยังถือว่าใช้ไม่ได้ ถ้าจะให้ใช้ได้จริง ๆ จนกระทั่งมีความรู้สึกว่าเห็นคนก็ดี เห็นสัตว์ก็ดี ให้มีสภาพมีความรู้ว่าเหมือนสภาพกับศพที่เราเห็น
แม้แต่มาพิจารณาตัวเราเอง นึกถึงตัวเราเองก็เช่นเดียวกัน มีสภาพเหมือนกับศพที่เราเคยเห็นมา มันเป็นภาวะที่น่าเกลียดที่สุด ไม่มีอะไรจะน่ารัก ความรู้สึกอย่างนี้ให้เกิดขึ้นทุกขณะจิตที่เรานึกถึงรูป คือรูปคน หรือว่ารูปสัตว์ หรือว่าเห็นคน หรือว่าเห็นสัตว์ อย่างนี้ชื่อว่ามีอสุภกรรมฐานเป็นฌานทรงตัว และว่า พรงตัวนี้ ให้มีความรู้สึกอย่างนี้อยู่ตลอดเวลา ว่าคนก็ดี สัตว์ก็ดี ไม่มีสภาพจะน่ารักในขันธ์ 5 แต่ประการใด แต่ว่าเราจะรักเขาได้เพราะอาศัยที่มีจิตเมตตาปรานี มีความสงเศราะห์ ปรารถนาสงเคราะห์จะให้เขาเป็นสุข
นี่มันด้านหนึ่งคือเป็นธรรมะ ตัวนี้เรารักได้ แต่ว่าเราไม่ได้รักขันธ์ 5 ของเขา คิดแต่เพียงว่าในเมื่อเขามีขันธ์ 5 เรามีขันธ์ 5 คำว่า ขันธ์ 5 ก็คือร่างกาย ในเมื่อสภาวะของร่างกายมีสภาวะเป็นชากศพ แต่ทว่าชีวิตินทรีย์เขายังมีอยู่ ความสุขความทุกข์เขายังมีกับขันธ์ 5 ฉันใด ความปรารถนารักสุข เกลียดทุกข์มีฉันใด เรามีความรักมีความเมตตา สงสารเขาได้ แต่ว่าเราไม่ติดใจในรูปขันธ์ 5 ของเขาเห็นขันธ์ 5 ของเขา ขันธ์ 5 ของเรามันเน่าเละไปหมด
เมื่อมีอารมณ์เป็นจิตฌานอย่างนี้ การเจริญอสุภกรรมฐาน ถ้าท่านผู้ใดเจริญอสุภกรรมฐาน จนมีอารมณ์จิตเป็นฌานอย่างนี้ แล้วก็อารมณ์จิตของท่านตั้งอยู่ในพระโสดาบันหรือสกิทาคามี ถ้าไปเจริญด้านวิปัสสนาญาณอย่างนี้ ขอพูดตรง ๆว่าคนนั้นห่วยเต็มที ว่าเลวเต็มที ทั้งนี้เพราะอะไร เพราะอสุภกรรมฐานนี้ ถ้าทำจิตเป็นฌาน จนกระทั่งมีสภาพอารมณ์เป็นอย่างนั้น ถ้าเราน้อมจิตเข้าไปในด้านของวิปัสสนาญาณ อารมณ์แรกที่มันจะเข้าถึงก็คือพระอนาคามี นี่เป็นอารมณ์แรกเบื้องต้นนะ
โดยมากเขาไม่อยู่กันหรอก ส่วนใหญ่แล้วไม่ตั้งอยู่ในพระอนาคามี จุดที่มันจะพึงได้จริง ๆ ก็คืออรหัตผล นี่ถือว่าเป็นอารมณ์เล็กจริง ๆ แต่ว่าถึงแม้ว่าจิตตั้งอยู่ในอารมณ์เล็ก คืออนาคามีก็ยังน่าสรรเสริญ
ขอได้ไปรดจำไว้ว่า ถ้าบุคคลใดเจริญอสุภกรรมฐานเป็นฌานแล้ว จนกระทั่งจิตใจมองเห็นคนหรือว่านึกถึง ยิ่งแต่งตัวสวยเท่าไร เก๋เท่าไร ก็ยิ่งนึกสงสารมากเท่านั้น รู้สึกว่าเขาเอาอาภรณ์มาพอกสิ่งที่มันเน่าเฟะอยู่ตลอดเวลา เห็นคนเห็นหน้าเห็นผิว ไม่มีความรู้สึกมีความยินดีว่ามันสวยงาม เพราะมีสภาพเป็นซากศพ อารมณ์อย่างนี้มันเป็นตัวตัดกามฉันทะเสียแล้ว ความรู้สึกพอใจในเพศไม่มี
แต่ว่าจงระวัง ถ้าจิตเป็นฌานโลกีย์ ประเดี๋ยวเถอะมันก็โผล่ เผลอไม่ได้ เผลอกิเลสคือกามฉันทะมันโผล่ จะนั้นในมือท่านทรงจิตเป็นฌาน ไอ้ฌานนี่ถ้าทรงขึ้นมาแล้วปัญญามันดี เอาปัญญาไปใช้อะไรล่ะ ตอนนี้ก็ต้องใช้แบบพระพุทธเจ้า อย่าถือว่าสูงเกินไปนะ พระพุทธเจ้าท่านไม่ได้สอนใครว่าสูง ว่าต่ำ แบบของท่านเป็นแบบสากล จะใช้ได้กับคนทุกคน ท่านไม่ได้ทำมาโดยเฉพาะของท่าน หากว่าท่านทำมาเพื่อท่านเฉพาะแล้วก็ ท่านไม่สอนชาวบ้านหรอก คือแบบของพระพุทธเจ้าทำอย่างไร ก็คือว่า
1. พิจารณาว่าร่างกายของคนนี่มันสกปรก มันมีสภาพเป็นซากศพ เมื่อยังไม่สิ้นลมปราณมันก็สกปรก อย่างนี้เป็นกายคานุสสติกรรมฐาน ร่างกายของคนทุกคนสกปรกทั้งภายในและภายนยก อุจจาระที่อยู่ภายในก็สกปรก ปัสสาวะ น้ำเลือด น้ำเหลือง น้ำหนองทุกอย่างมันสกปรก แต่ถ้าสิ้นลมปราณแล้ว สภาพมันก็เน่าอืดน้ำเหลืองไหลแบบนี้ สิ่งที่หลั่งไหลออกมานี้มันมีสภาพสกปรก นี่ว่ากันเรื่องสกปรก ในเมื่อมันสกปรกอย่างนี้ การทรงตัวของขันธ์ 5 ที่มีอยู่ มันเป็นสุขหรือเป็นทุกข์ ถามตัวเองดูซิจะได้รู้ใจตัวเองว่า ใจโง่หรือว่าใจฉลาด การปวดอุจจาระเป็นสุขหรือเป็นทุกข์ ความหิวความกระหาย หนาวเกินไป ร้อนเกินไป ต้องเหน็ดเหนื่อยในการงานเพื่อหวังจะเลี้ยงชีพ เป็นสุขหรือเป็นทุกข์ การมีสามีภรรยา มีเพราะความโง่ หรือมีเพราะความฉลาด การมีสามีภรรยาเป็นเหตุนำมาซึ่งความสุขหรือความทุกข์ ถามใจมันเอง
ความเจ็บปวดที่เกิดมาในระหว่างร่างกายเกิดขึ้น มีร่างกายประกอบไปด้วยโรค โรคภัยไข้เจ็บ ความแก่เข้ามาถึงตัว เมื่อความทรุดโทรมของร่างกาย การเคลื่อนไหว หรือการกระทบกระทั่งกับอารมณ์ที่ชอบใจบ้าง ไม่ชอบใจบ้าง มันเป็นสุขหรือเป็นทุกข์ ถามใจมันดู จะได้รู้ว่าโง่หรือฉลาด ถ้าชาวบ้านที่เขามีความฉลาด ถ้าคนที่มีอารมณ์จิตเป็นฌาน ไม่ต้องมานั่งพิจารณาไล่เบี้ยอย่างนี้หรอก อาการทุกอย่าง ที่มีการเคลื่อนไหว เมื่อทรงกายอยู่มันเต็มไปด้วยความทุกข์ทุกอย่าง อยู่คนเดียวก็ทุกข์ อยู่ 2 คนก็ทุกข์ อยู่มากคนก็ทุกข์ มากเท่าไร ทุกข์เท่านั้น เพราะว่า นิพัทธทุกข์ ความหิวความกระหายมันเป็นทุกข์
ถ้าอยากได้ผัว อยากได้เมีย เขาว่าอยากได้ทุกข์ ทุกข์ที่ไม่มีสิ้นสุด มันจะก้าวเข้าไปสู่ความทุกข์ที่สูงขึ้นตามลำดับ เพราะอะไร ได้ผัวมาคนหนึ่ง ได้เมียมาคนหนึ่ง ก็ได้คนมาอีกฝูงหนึ่ง การต้องเอาอกเอาใจกับคนอีกฝูงหนึ่ง มันก็เพิ่มความทุกข์เป็นฝูง ๆ แล้วมีลูก มีหลาน มีเหลนออกมามันก็เพิ่มความทุกข์ ไอ้ตัวแก่มันก็ทุกข์ ความป่วยไข้ไม่สบายมันก็ทุกข์ ความตายที่จะเข้ามาถึงมันก็ทุกข์ เออ... เลิกกัน ถ้าทุกข์เสียแล้วก็ต้องลาโรง
ในเมื่อสิ่งใดก็ตาม ถ้ามันหาทุกข์มาให้เรา นี่เราจะปรารถนามันเพื่ออะไร ที่มันมีทุกข์อยู่เพราะละไร มีทุกข์เพราะมีร่างกายคือขันธ์ 5 ถ้าเราไม่เกิดมาเป็นคนเสียอย่างเดียว สภาพอย่างนี้มันจะมีกับเราได้ไหม นี่ก็ลองมาพิจารณาว่า ทำไมมันจึงทุกข์ ทุกข์เพราะตัณหา พระพุทธเจ้าท่านว่าอย่างนั้น ไอ้ตัณหา นี่แปลว่า ตัวอยาก อยากอะไร อยากมีทุกข์ อยากมาทุกข์มันมาจากไหน ชาติปี ทุกขา ความเกิดเป็นทุกข์เราอยากเกิด ชราปิ ทุกขา ความแก่เป็นทุกข์เพราะเราอยากแก่ มรณัมปิ ทุกขัง ความตายเป็นทุกธ์ เพราะเราอยากตาย ทำไมจึงอยากเกิด อยากแก่ อยากเจ็บ อยากตายเพราะว่าเราอยากหาอารมณ์ที่เป็นอกุศล มันเป็นบ่อเกิดของความเกิด คือ
1.โลภะ ความโลภ เราอยากโลภ ตะเกียกตะกายหาที่สิ้นสุดมีได้ ไม่ได้มองดูสภาพของตนว่า ไอ้ความโลภที่เราหามาได้ มันจะรวยแสนรวยขนาดไหน มันได้มาจากความทุกข์ แล้วคนที่ตายใครเขาแบกทรัพย์สินไปได้บ้าง แต่ในเมื่อขันธ์ 5 คือร่างกายมันยังทรงอยู่ ก็มีความจำเป็น มีความจำเป็นจริง ๆ ที่มันจะต้องหา เมื่อหามาแล้วก็ต้องมีความรู้สึกว่า หาเพื่อประทังชีวิต เป็นการะงับทุกขเวทนา ไม่ใช่ว่ามีเงินตั้งหมื่นล้านแสนล้าน แล้วยังไม่รู้จักพอ นั่นแหละตัวบรมโง่ที่สุด เราหามาแล้วทำงานตามหน้าที่ มีสามี มีภรรยา มีบุตร มีธิดา มีหลาน เหลน มีลูกมันมีขึ้นมาแล้วก็แล้วกันไป เพราะว่ามันมีขึ้นมาได้ เพราะอาศัยความโง่ของเราเป็นปัจจัย ถ้าเราไม่โง่เสียอย่างเดียว ไอ้ตัวอย่างนี้มันก็ไม่มี นั่นมีเพราะความอยากคือตัณหา คิดว่ามีการครองคู่เป็นของดี คิดว่าการมีลูกดี คิดว่าการมีหลานดี ไอ้อารมณ์อย่างนี้มันเป็นอารมณ์จอมโง่ มันโง่ แล้วก็แล้วกันไป เราก็เริ่มฉลาดมันเสียใหม่ คิดใหม่ว่าการมีร่างกายอย่างนี้อาศัยความโง่เป็นปัจจัย เราจะเลิกกันเสียที ไอ้การมีร่างกายแบบนี้
วิธีเลิกแบบไหน ก็เลิกโลภ ทำมาหากันเป็นปกติ ค้าขายเป็นปกติ รับราชการเป็นลูกจ้าง ทำไร่ ไถนา เป็นปกติ ตามหน้าที่ที่ต้องหาในฐานะที่มีขันธ์ 5 แต่อารมณ์ของเราจะไม่คดไม่โกงใคร ไม่ตะเกียกตะกายเกินให้มันเป็นความทุกข์ มีความรู้สึกอยู่ว่า เมื่อมีขันธ์ 5 แล้ว ต้องหากินตามหน้าที่ แต่ว่าขันธ์ 5 คือ ร่างกายของเรานี้ มันไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา มันแก่ลงไปทุกวัน ไม่ช้ามันก็จะพัง นี่ตัดเหตุของความเกิดเสีย 1 ตัว พูดให้ฟังย่อ ๆ แบบนี้นะ แล้วคิดให้มันยาว คิดให้มันเห็น คิดให้มันซึ้ง ไอ้ตัวโลภนี่น่ะ ตัวเป็นเหตุให้เกิดมาเป็นความทุกข์
ตัวที่ 2 ก็คือ
ความโกรธ ไอ้ตัวโกรธนี่ก็เพราะความโง่ มันจึงโกรธ ฉลาดจะโกรธทำไม ก็คนในโลกที่เกิดมานี่ มันไม่มีอิสรภาพ มันเป็นทาสของกิเลส ตัณหา อุปาทานและอกุศลกรรม กิเลสคือความชั่วของจิต ตัณหามีความทะยานอยากได้มาด้วยความโง่ อุปาทานยึดถือความชั่วและความโง่เป็นสรณะ อกุศลกรรม เพราะอาศัยมีความชั่วและความโง่เป็นสรณะ มีอุปาทานเป็นจุดจับ เขาจึงทำกรรม ทำแล้วพูดในแดนเหตุของความชั่ว เป็นตัวชั่วจริง ๆ
มีต่อ หนังสือ คู่มือปฎิบัติวัดท่าซุง เล่ม 1 อสุภกรรมฐาน ตอนที่ 4.1 https://ppantip.com/topic/43208797
หนังสือ คู่มือปฎิบัติวัดท่าซุง เล่ม 1 อสุภกรรมฐาน ตอนที่ 4.1
ท่านพระโยคาวจรทั้งหลาย บัดนี้ท่านทั้งหลายได้พากันสมาทานศีล สมาทานพระกรรมฐานแล้ว ต่อไปก็ขอได้ไปรดตั้งใจสดับเรื่อง อสุภกรรมฐาน สำหรับอสุภกรรมฐาน วันนี้เป็นวันจบ เมื่อวันที่แล้วมาให้แนะนำท่านทั้งหลายให้พยายาม ใช้การพิจารณาอสุภกรรมฐานให้เป็นกสิณ ถ้าบังเอิญใครเขาจะมาพูดว่า อสุภกรรมฐานเป็นกสิณไม่ได้ ก็จงอย่าเถียงกับเรา ทั้งนี้ก็แสดงว่า ท่านผู้นั้นไม่เคยเจริญอสุภกรรมฐานเป็นฌาน เลยเป็นเรื่องของเขา นี่การเจริญอสุภกรรมฐานให้เป็นกสิณ คำว่า อสุภกรรมฐาน นี่แปลว่า จิตตั้งอยู่ในอารมณ์ที่เห็นว่าทุกสิ่งทุกอย่างไม่สวยไม่งาม แล้วก็จงจำภาพของคนตาย ภาพของสัตว์ตาย ที่มีสภาพเน่าเละให้ปรากฎ
แต่ความจริง ลักษณะของอสุภกรรมฐานนี่มี 10 อย่าง จะมีอะไรบัางนั้น ขอท่านทั้งหลายตรวจค้นเอาตามตำรา เพราะว่าตำรามีอยู่ครบแล้ว ชอบแบบไหน ทำแบบนั้น ทำจนกระทั่งให้จิตใจของเราเห็นสภาวะความจำของรูปอสุภ คือคนตายมีสภาพติดใจอยู่เป็นปกติ แต่เพียงแค่ติดใจเท่านี้ ยังถือว่าใช้ไม่ได้ ถ้าจะให้ใช้ได้จริง ๆ จนกระทั่งมีความรู้สึกว่าเห็นคนก็ดี เห็นสัตว์ก็ดี ให้มีสภาพมีความรู้ว่าเหมือนสภาพกับศพที่เราเห็น
แม้แต่มาพิจารณาตัวเราเอง นึกถึงตัวเราเองก็เช่นเดียวกัน มีสภาพเหมือนกับศพที่เราเคยเห็นมา มันเป็นภาวะที่น่าเกลียดที่สุด ไม่มีอะไรจะน่ารัก ความรู้สึกอย่างนี้ให้เกิดขึ้นทุกขณะจิตที่เรานึกถึงรูป คือรูปคน หรือว่ารูปสัตว์ หรือว่าเห็นคน หรือว่าเห็นสัตว์ อย่างนี้ชื่อว่ามีอสุภกรรมฐานเป็นฌานทรงตัว และว่า พรงตัวนี้ ให้มีความรู้สึกอย่างนี้อยู่ตลอดเวลา ว่าคนก็ดี สัตว์ก็ดี ไม่มีสภาพจะน่ารักในขันธ์ 5 แต่ประการใด แต่ว่าเราจะรักเขาได้เพราะอาศัยที่มีจิตเมตตาปรานี มีความสงเศราะห์ ปรารถนาสงเคราะห์จะให้เขาเป็นสุข
นี่มันด้านหนึ่งคือเป็นธรรมะ ตัวนี้เรารักได้ แต่ว่าเราไม่ได้รักขันธ์ 5 ของเขา คิดแต่เพียงว่าในเมื่อเขามีขันธ์ 5 เรามีขันธ์ 5 คำว่า ขันธ์ 5 ก็คือร่างกาย ในเมื่อสภาวะของร่างกายมีสภาวะเป็นชากศพ แต่ทว่าชีวิตินทรีย์เขายังมีอยู่ ความสุขความทุกข์เขายังมีกับขันธ์ 5 ฉันใด ความปรารถนารักสุข เกลียดทุกข์มีฉันใด เรามีความรักมีความเมตตา สงสารเขาได้ แต่ว่าเราไม่ติดใจในรูปขันธ์ 5 ของเขาเห็นขันธ์ 5 ของเขา ขันธ์ 5 ของเรามันเน่าเละไปหมด
เมื่อมีอารมณ์เป็นจิตฌานอย่างนี้ การเจริญอสุภกรรมฐาน ถ้าท่านผู้ใดเจริญอสุภกรรมฐาน จนมีอารมณ์จิตเป็นฌานอย่างนี้ แล้วก็อารมณ์จิตของท่านตั้งอยู่ในพระโสดาบันหรือสกิทาคามี ถ้าไปเจริญด้านวิปัสสนาญาณอย่างนี้ ขอพูดตรง ๆว่าคนนั้นห่วยเต็มที ว่าเลวเต็มที ทั้งนี้เพราะอะไร เพราะอสุภกรรมฐานนี้ ถ้าทำจิตเป็นฌาน จนกระทั่งมีสภาพอารมณ์เป็นอย่างนั้น ถ้าเราน้อมจิตเข้าไปในด้านของวิปัสสนาญาณ อารมณ์แรกที่มันจะเข้าถึงก็คือพระอนาคามี นี่เป็นอารมณ์แรกเบื้องต้นนะ
โดยมากเขาไม่อยู่กันหรอก ส่วนใหญ่แล้วไม่ตั้งอยู่ในพระอนาคามี จุดที่มันจะพึงได้จริง ๆ ก็คืออรหัตผล นี่ถือว่าเป็นอารมณ์เล็กจริง ๆ แต่ว่าถึงแม้ว่าจิตตั้งอยู่ในอารมณ์เล็ก คืออนาคามีก็ยังน่าสรรเสริญ
ขอได้ไปรดจำไว้ว่า ถ้าบุคคลใดเจริญอสุภกรรมฐานเป็นฌานแล้ว จนกระทั่งจิตใจมองเห็นคนหรือว่านึกถึง ยิ่งแต่งตัวสวยเท่าไร เก๋เท่าไร ก็ยิ่งนึกสงสารมากเท่านั้น รู้สึกว่าเขาเอาอาภรณ์มาพอกสิ่งที่มันเน่าเฟะอยู่ตลอดเวลา เห็นคนเห็นหน้าเห็นผิว ไม่มีความรู้สึกมีความยินดีว่ามันสวยงาม เพราะมีสภาพเป็นซากศพ อารมณ์อย่างนี้มันเป็นตัวตัดกามฉันทะเสียแล้ว ความรู้สึกพอใจในเพศไม่มี
แต่ว่าจงระวัง ถ้าจิตเป็นฌานโลกีย์ ประเดี๋ยวเถอะมันก็โผล่ เผลอไม่ได้ เผลอกิเลสคือกามฉันทะมันโผล่ จะนั้นในมือท่านทรงจิตเป็นฌาน ไอ้ฌานนี่ถ้าทรงขึ้นมาแล้วปัญญามันดี เอาปัญญาไปใช้อะไรล่ะ ตอนนี้ก็ต้องใช้แบบพระพุทธเจ้า อย่าถือว่าสูงเกินไปนะ พระพุทธเจ้าท่านไม่ได้สอนใครว่าสูง ว่าต่ำ แบบของท่านเป็นแบบสากล จะใช้ได้กับคนทุกคน ท่านไม่ได้ทำมาโดยเฉพาะของท่าน หากว่าท่านทำมาเพื่อท่านเฉพาะแล้วก็ ท่านไม่สอนชาวบ้านหรอก คือแบบของพระพุทธเจ้าทำอย่างไร ก็คือว่า
1. พิจารณาว่าร่างกายของคนนี่มันสกปรก มันมีสภาพเป็นซากศพ เมื่อยังไม่สิ้นลมปราณมันก็สกปรก อย่างนี้เป็นกายคานุสสติกรรมฐาน ร่างกายของคนทุกคนสกปรกทั้งภายในและภายนยก อุจจาระที่อยู่ภายในก็สกปรก ปัสสาวะ น้ำเลือด น้ำเหลือง น้ำหนองทุกอย่างมันสกปรก แต่ถ้าสิ้นลมปราณแล้ว สภาพมันก็เน่าอืดน้ำเหลืองไหลแบบนี้ สิ่งที่หลั่งไหลออกมานี้มันมีสภาพสกปรก นี่ว่ากันเรื่องสกปรก ในเมื่อมันสกปรกอย่างนี้ การทรงตัวของขันธ์ 5 ที่มีอยู่ มันเป็นสุขหรือเป็นทุกข์ ถามตัวเองดูซิจะได้รู้ใจตัวเองว่า ใจโง่หรือว่าใจฉลาด การปวดอุจจาระเป็นสุขหรือเป็นทุกข์ ความหิวความกระหาย หนาวเกินไป ร้อนเกินไป ต้องเหน็ดเหนื่อยในการงานเพื่อหวังจะเลี้ยงชีพ เป็นสุขหรือเป็นทุกข์ การมีสามีภรรยา มีเพราะความโง่ หรือมีเพราะความฉลาด การมีสามีภรรยาเป็นเหตุนำมาซึ่งความสุขหรือความทุกข์ ถามใจมันเอง
ความเจ็บปวดที่เกิดมาในระหว่างร่างกายเกิดขึ้น มีร่างกายประกอบไปด้วยโรค โรคภัยไข้เจ็บ ความแก่เข้ามาถึงตัว เมื่อความทรุดโทรมของร่างกาย การเคลื่อนไหว หรือการกระทบกระทั่งกับอารมณ์ที่ชอบใจบ้าง ไม่ชอบใจบ้าง มันเป็นสุขหรือเป็นทุกข์ ถามใจมันดู จะได้รู้ว่าโง่หรือฉลาด ถ้าชาวบ้านที่เขามีความฉลาด ถ้าคนที่มีอารมณ์จิตเป็นฌาน ไม่ต้องมานั่งพิจารณาไล่เบี้ยอย่างนี้หรอก อาการทุกอย่าง ที่มีการเคลื่อนไหว เมื่อทรงกายอยู่มันเต็มไปด้วยความทุกข์ทุกอย่าง อยู่คนเดียวก็ทุกข์ อยู่ 2 คนก็ทุกข์ อยู่มากคนก็ทุกข์ มากเท่าไร ทุกข์เท่านั้น เพราะว่า นิพัทธทุกข์ ความหิวความกระหายมันเป็นทุกข์
ถ้าอยากได้ผัว อยากได้เมีย เขาว่าอยากได้ทุกข์ ทุกข์ที่ไม่มีสิ้นสุด มันจะก้าวเข้าไปสู่ความทุกข์ที่สูงขึ้นตามลำดับ เพราะอะไร ได้ผัวมาคนหนึ่ง ได้เมียมาคนหนึ่ง ก็ได้คนมาอีกฝูงหนึ่ง การต้องเอาอกเอาใจกับคนอีกฝูงหนึ่ง มันก็เพิ่มความทุกข์เป็นฝูง ๆ แล้วมีลูก มีหลาน มีเหลนออกมามันก็เพิ่มความทุกข์ ไอ้ตัวแก่มันก็ทุกข์ ความป่วยไข้ไม่สบายมันก็ทุกข์ ความตายที่จะเข้ามาถึงมันก็ทุกข์ เออ... เลิกกัน ถ้าทุกข์เสียแล้วก็ต้องลาโรง
ในเมื่อสิ่งใดก็ตาม ถ้ามันหาทุกข์มาให้เรา นี่เราจะปรารถนามันเพื่ออะไร ที่มันมีทุกข์อยู่เพราะละไร มีทุกข์เพราะมีร่างกายคือขันธ์ 5 ถ้าเราไม่เกิดมาเป็นคนเสียอย่างเดียว สภาพอย่างนี้มันจะมีกับเราได้ไหม นี่ก็ลองมาพิจารณาว่า ทำไมมันจึงทุกข์ ทุกข์เพราะตัณหา พระพุทธเจ้าท่านว่าอย่างนั้น ไอ้ตัณหา นี่แปลว่า ตัวอยาก อยากอะไร อยากมีทุกข์ อยากมาทุกข์มันมาจากไหน ชาติปี ทุกขา ความเกิดเป็นทุกข์เราอยากเกิด ชราปิ ทุกขา ความแก่เป็นทุกข์เพราะเราอยากแก่ มรณัมปิ ทุกขัง ความตายเป็นทุกธ์ เพราะเราอยากตาย ทำไมจึงอยากเกิด อยากแก่ อยากเจ็บ อยากตายเพราะว่าเราอยากหาอารมณ์ที่เป็นอกุศล มันเป็นบ่อเกิดของความเกิด คือ
1.โลภะ ความโลภ เราอยากโลภ ตะเกียกตะกายหาที่สิ้นสุดมีได้ ไม่ได้มองดูสภาพของตนว่า ไอ้ความโลภที่เราหามาได้ มันจะรวยแสนรวยขนาดไหน มันได้มาจากความทุกข์ แล้วคนที่ตายใครเขาแบกทรัพย์สินไปได้บ้าง แต่ในเมื่อขันธ์ 5 คือร่างกายมันยังทรงอยู่ ก็มีความจำเป็น มีความจำเป็นจริง ๆ ที่มันจะต้องหา เมื่อหามาแล้วก็ต้องมีความรู้สึกว่า หาเพื่อประทังชีวิต เป็นการะงับทุกขเวทนา ไม่ใช่ว่ามีเงินตั้งหมื่นล้านแสนล้าน แล้วยังไม่รู้จักพอ นั่นแหละตัวบรมโง่ที่สุด เราหามาแล้วทำงานตามหน้าที่ มีสามี มีภรรยา มีบุตร มีธิดา มีหลาน เหลน มีลูกมันมีขึ้นมาแล้วก็แล้วกันไป เพราะว่ามันมีขึ้นมาได้ เพราะอาศัยความโง่ของเราเป็นปัจจัย ถ้าเราไม่โง่เสียอย่างเดียว ไอ้ตัวอย่างนี้มันก็ไม่มี นั่นมีเพราะความอยากคือตัณหา คิดว่ามีการครองคู่เป็นของดี คิดว่าการมีลูกดี คิดว่าการมีหลานดี ไอ้อารมณ์อย่างนี้มันเป็นอารมณ์จอมโง่ มันโง่ แล้วก็แล้วกันไป เราก็เริ่มฉลาดมันเสียใหม่ คิดใหม่ว่าการมีร่างกายอย่างนี้อาศัยความโง่เป็นปัจจัย เราจะเลิกกันเสียที ไอ้การมีร่างกายแบบนี้
วิธีเลิกแบบไหน ก็เลิกโลภ ทำมาหากันเป็นปกติ ค้าขายเป็นปกติ รับราชการเป็นลูกจ้าง ทำไร่ ไถนา เป็นปกติ ตามหน้าที่ที่ต้องหาในฐานะที่มีขันธ์ 5 แต่อารมณ์ของเราจะไม่คดไม่โกงใคร ไม่ตะเกียกตะกายเกินให้มันเป็นความทุกข์ มีความรู้สึกอยู่ว่า เมื่อมีขันธ์ 5 แล้ว ต้องหากินตามหน้าที่ แต่ว่าขันธ์ 5 คือ ร่างกายของเรานี้ มันไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา มันแก่ลงไปทุกวัน ไม่ช้ามันก็จะพัง นี่ตัดเหตุของความเกิดเสีย 1 ตัว พูดให้ฟังย่อ ๆ แบบนี้นะ แล้วคิดให้มันยาว คิดให้มันเห็น คิดให้มันซึ้ง ไอ้ตัวโลภนี่น่ะ ตัวเป็นเหตุให้เกิดมาเป็นความทุกข์
ตัวที่ 2 ก็คือ ความโกรธ ไอ้ตัวโกรธนี่ก็เพราะความโง่ มันจึงโกรธ ฉลาดจะโกรธทำไม ก็คนในโลกที่เกิดมานี่ มันไม่มีอิสรภาพ มันเป็นทาสของกิเลส ตัณหา อุปาทานและอกุศลกรรม กิเลสคือความชั่วของจิต ตัณหามีความทะยานอยากได้มาด้วยความโง่ อุปาทานยึดถือความชั่วและความโง่เป็นสรณะ อกุศลกรรม เพราะอาศัยมีความชั่วและความโง่เป็นสรณะ มีอุปาทานเป็นจุดจับ เขาจึงทำกรรม ทำแล้วพูดในแดนเหตุของความชั่ว เป็นตัวชั่วจริง ๆ
มีต่อ หนังสือ คู่มือปฎิบัติวัดท่าซุง เล่ม 1 อสุภกรรมฐาน ตอนที่ 4.1 https://ppantip.com/topic/43208797