อนุสสติ 5 ตอนที่ 5.1

ท่านพระโยคาวจรทั้งหลาย และบรรดาพระภิกษุสามเณรทั้งหลาย สำหรับเวลานี้ ท่านทั้งหลายได้พากันสมาทานพระกรรมฐาน สมาทานศีลแล้ว วันนี้จะได้ศึกษาในเรื่องของ
อนาคามีผล สำหรับวันก่อนได้น้อมนำเอาอารมณ์ตั้งแต่พระโสดา สกิทาคามี โดยเฉพาะอย่างยิ่งพระโสดาบันก็ตั้งแต่สัตตักขัตตุง โกลังโกละ เอกพิชี และสกิทาคามีมาพูด สำหรับวันนี้จะนำเอาอารมณ์ของพระอนาคามีมาพูด แต่ก่อนที่จะพูดอารมณ์ของพระอนาคามี ความจริงถ้าอารมณ์จิตของบรรดาท่านทั้งหลายเข้าถึงพระสกิทาคามีแล้ว การทรงอารมณ์ของพระอนาคามีผลเป็นของไม่ยาก เพราะว่าเป็นการศึกษามาตามลำดับ
แต่ว่าก่อนที่จะพูดในอารมณ์ของพระอนาคามี ก็จะขอน้อมนำเอาวิธีปฏิบัติ ที่องค์สมเด็จพระทรงสวัสดิโสภาคย์สอนไว้ มาแนะนำกันเสียก่อน แต่ว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องสำคัญ ถ้าปฏิบัติไม่ถูกหลัก ไม่ถูกเกณฑ์ ไม่ถูกแผน ผลแห่งการบรรลุมันก็ไม่มี วีธีปฏิบัติที่ปฏิบัติได้กันมา จะต้องทำแบบนี้ ไปดูในวิปัสสนาญาณ 9 ข้อที่ 8 ท่านเรียกว่า
สังขารุเปกขาญาณ แต่ว่าข้อที่ 9 นั้นท่านเรียกว่า
สัจจานุโลมิกญาณ คำว่า สัจจานุโลมิกญาณนั้น ไม่มีญาณเฉพาะสำหรับตน เป็นการปฏิบัติ คือคำนึงจิตหรือพิจารณาย้อนไปย้อนมา สมมุติว่าท่านทั้งหลายกำลังเจริญสมาธิจิต เริ่มตั้งแต่ ขณิกสมาธิ อุปจารสมาธิ หรือว่าถือนิมิตในกสิณ เช่น เราเคยเจริญอานาปานุสสติ หรืออนุสสติมาก่อน แล้วก็ไปจับพุทธานุสสติ หรือไปจับธัมมานุสสติ สังฆานุสสติ สีลานุสสติ จาคานุสสติ หรือว่าเล่นกสิณกองใดกองหนึ่ง วิธีปฏิบัติเขาทำแบบนี้
พอเริ่มต้นเข้ามา เขาต้องจับอารมณ์ต้นก่อน เช่น เจริญอานาปานุสสติก่อน ก็ต้องจับอานาปานุสสติ ให้มีอารมณ์ถึงที่สุดที่เราได้มาแล้ว แล้วก็ปล่อยอารมณ์จิตให้มันทรงอยู่ในอารมณ์นั้นให้สบาย เมื่อจิตมีความสบายถึงที่สุด ทรงอารมณ์ถึงที่สุด แล้วก็เคลื่อนไปจับกองที่ 2 กองที่ 3 กองที่ 4 กองที่ 5 ตามลำดับ แต่ละกองนั้น ๆ ก่อนที่จะเคลื่อนไป ให้จิตเข้าถึงจุดสูงสุดตามกรรมฐานกองต้นเสียก่อน เมื่อจับไปตามลำดับถึงที่สุดแล้ว จึงค่อยทำต่อกองที่ทำต่อใหม่ กองที่ทำต่อใหม่นั้น เราจะใช้เวลาเพียงนิดเดียว อารมณ์ก็จะทรงตัว
ทั้งนี้เพราะว่ากรรมฐานทั้ง 40 กองก็ดี มหาสติปัฏฐานสูตรก็ดี มีอารมณ์เหมือนกัน เช่น เราทรงสมาธิจิตในด้านอานาปานุสสติถึงฌาน 4 หรือว่าฌาน 1 หรือฌาน 2 หรือฌาน 3 ก็ตาม เริ่มต้นเราก็จับอานาปานุสสติให้เข้าทรงฌานถึงที่สุดตามที่เราจะพึงทำได้ในวันนั้น เราปล่อยจิดให้ทรงอยู่ ให้อารมณ์สบาย เมื่อจิตเป็นสุขดีแล้ว ขยับเข้าไปกองที่ 2 หรือกองที่ 3 แต่ละกองจะใช้เวลาไม่เกิน 1 นาที อารมณ์ก็จะทรงตัวตามนั้น
เป็นอันว่าถ้าทำอย่างนี้ ก็ชื่อว่าเราใช้วิธี
สัจจานุโลมิกญาณ อนุโลมคือเดินตั้งแต่ต้นเข้าไปถึงปลาย บางทีจับตั้งแต่ปลายเข้ามาหาต้น จิตทรงอารมณ์ได้ตามปกติ สม่ำเสมอกันทุกจุด อย่างนี้จะมีอารมณ์ไม่เคลื่อนจากสมาธิทุกกอง ไม่ใช่ทำกองนี้ได้ ไปกองหน้าทิ้งกองหลัง อันนี้ไช้ไม่ได้ เขาต้องเก็บไปตั้งแต่ต้น ถ้าหากว่าสมมุติว่าทุกท่านทรงกรรมฐาน ทั้งหมดได้ 40 กอง เวลาเราจับตั้งแต่ต้น 1 ถึง 40 มิต้องใช้เวลาตลอดคืนหรือ ผมก็จะขอตอบให้ท่านทราบ ว่าอย่างช้าที่สุดกรรมฐาน 40 กองนี้ เราจะเรียงตามลำดับให้ทรงฌานถึงที่สุด ไม่เกิน 15 นาที แต่ผมว่ามันไม่ถึงนะ ผมไม่เคยทำถึงนี่ เมื่อกองแรกเราคล่อง กองอื่น ๆ มันก็เหมือนกัน
กรรมฐาน 40 กอง ถ้าจะเปรียบกับเรากินข้าว ถ้าเราเคยกินข้าวด้วยมือ เขามาให้กินข้าวด้วยช้อน มันก็เป็นของไม่ยาก ถ้าเคยกินข้าวด้วยช้อนสังกะสี เปลี่ยนมาเป็นช้อนส้อมมันก็ไม่หนัก มันจะเกะกะอยู่นิดเดียว ข้อนี้ฉันใด แม้การเจริญพระกรรมฐานซึ่งมีการเปลี่ยนอารมณ์ก็เหมือนกัน การเปลี่ยนอารมณ์เข้าไปหาอารมณ์แต่ละกอง แต่ทว่าอารมณ์จริง ๆ คือสมาธิ มันอันเดียวกัน นี่จุดหนึ่งนะครับ
และอีกจุดหนึ่ง ถ้าเราจะเดินด้านวิปัสสนาญาณ เวลานี้จะพูดกันถึงพระอนาคามี แต่ทว่าก่อนที่เราจะใช้อารมณ์จับพระอนาคามีในเวลาสงัด หรือเวลาไหนก็ตาม เราก็ต้องนั่งไล่เบี้ยมาตั้งแต่พระโสดาบันก่อน คำว่าไล่เบี้ยมานี่เป็นการสอบสวนอารมณ์จิตของเรา ว่าอารมณ์จิตเดิมที่เราไล่เบี้ยมาตั้งแต่พระโสดาบันน่ะ มันทรงตัวแล้วหรือเปล่า ถ้าพระโสดาบันกับสกิทาคามียังไม่ทรงตัว เราก็อย่าเพิ่งไปยุ่งกับอนาคามีผล หรือว่าจะเป็นอนาคามีมรรค ต้องจับตั้งแต่พระโสดาบันขึ้นไปตามขั้นตามระยะ มีอารมณ์ทรงตัว เห็นว่าจิตทรงแน่แล้ว จึงจะก้าวเข้าไปสู่ข้อหน้าต่อไป ทั้งนี้เราใช้วีธีสัจจานุโลมิกญาณ อันดับแรกเริ่มต้นเมื่อหาที่สงัดได้ คำว่าที่สงัต มันจะสงัดเสียง หรือไม่สงัดก็ช่างมัน แต่ว่าทำใจของเราให้สงัดในนิวรณ์
ตามที่พระพุทธเจ้าตรัสว่า บรรดาพระสมณะอยู่ที่ไหน ที่นั่นย่อมเป็นที่สงัด คือมีพราหมณ์ถามพระพุทธเจ้าว่า พระอริยเจ้าทั้งหลายต้องการที่สงัดใช่ไหม คือว่าต้องการอยู่ในป่าชัฏ ต้องการอยู่ในป่าช้า ต้องการอยู่ในเขา ต้องการอยู่ในบ้านที่ปราศจากผู้คน แต่องค์สมเด็จพระทศพลบรมศาสดากลับตรัสว่า พราหมณะ ดูก่อนพราหมณ์ พระอริยเจ้าจะอยู่ในป่าก็ดี อยู่บนยอดเขาก็ดี อยู่ในถ้ำก็ดี อยู่ป่าช้าก็ดี อยู่ป่าชัฏก็ดี อยู่บ้านว่างจากคนก็ดี หรือว่าอยู่ในบ้านก็ดี อยู่กลางเมืองก็ดี อยู่กลางสนามหลวงก็ดี พระอริยเจ้าทั้งหมดนี้ย่อมมีอารมณ์สงัด ไม่ว่าที่ใดสงัดหมด เพราะว่าอารมณ์ของทุกท่านสงัดจากกิเลสเสียแล้ว
นี่เป็นอันว่า คำว่า สถานที่สงัด คือเราใช้อารมณ์สงัด จะไปนั่งคิดว่าที่นั่นต้องไม่มีเสียง ที่นี่ต้องไม่มีเสียง เราคิดหรือว่า เวลาที่เราจะตายน่ะ เราจะหาที่สงัดได้ เราต้องพร้อมใจไว้เสมอว่า เวลาที่เราจะตาย อาจจะมีเสียงเครื่องขยายเสียงทั้งด้านข้าง ด้านซ้าย และด้านขวา ใกล้ ๆ เราอาจจะมีใครกำลังทะเลาะกันอยู่ก็ได้ หรืออาจจะมีใครเขามานั่งด่าเราอยู่ใกล้ ๆ ก็ได้ เราต้องตรียมใจไว้ ถ้าอาการอย่างนั้นนั้นมันปรากฏ เราจะไม่เอาจิตของเราเข้าไปยุ่งกับเสียงกับอารมณ์ต่าง ๆ ทำจิตของเราให้สงัดจากเสียง เรื่องของเขาก็เรื่องของเขา เรื่องเราก็เรื่องของเรา
นี่เป็นอันว่าที่สงัดของเรา ไม่ใช่หมายความว่าสงัดเสียง ไม่ใช่หมายว่าความสงัดจากอาการกายกรรม คือการทำงานต่าง ๆ ที่สงัดของเรา คือใช้อารมณ์จิตสงัดจากนิวรณ์ 5 ประการ และก็สงัดจากกิเลสด้วย
จำให้ดีนะครับ ต้องถอยหน้าถอยหลัง เล่นกันไปแบบนี้ให้มันช่ำมันซอง ตอนนี้เราจะก้าวเข้าไปสู่
พระอนาคามีผล เราก็มานั่งนึกดูตอนต้น ว่าโอหนอเวลานี้เรามีความเสียดายอะไรบ้าง ถ้าพ่อเราจะตาย แม่เราจะตาย เมียเราจะตาย ผัวเราจะตาย ลูกเราจะตาย เพื่อนเราจะตาย ตัวเราจะตาย ของของเราต้องสลายไป เรามีความรู้สึกว่าห่วงใยจุดใดบ้าง ถ้าปรากฏว่ามีอารมณ์ยังห่วงอยู่ สมมุติว่าคิดว่าถ้าเขาจะตาย เราจะร้องไห้ เราจะเสียใจ เราจะมีอารมณ์ว้าเหว่ ถ้าเราจะตาย เราสงสารคนที่อยู่ข้างหลัง ไม่มีใครประคับประคอง ไม่มีใครเลี้ยงดูเกื้อหนุนเธอให้มีความสุข ถ้าอารมณ์ยังมีอย่างนี้ก็เสร็จ ต้องใช้อารมณ์จิตใช้ปัญญาต่อว่าจิต ว่าเอ็งนี่มันเลวเกินไป ทำไมเอ็งลืมความจริงเสียแล้วหรือ ว่าคนทุกคน สัตว์ทั้งหมด วัตถุธาตุทั้งหมด มันมีอนิจจังเป็นเบื้องต้น อันดับแรกมันไม่มีความทรงตัวคือไม่เที่ยง และก็มีการสลายตัวไปในที่สุด ทำไมเธอไม่รักษาสัจธรรมอันนี้ไว้
สัจจานุโลมิกญาณ คือ อนุโลมถอยหน้าถอยหลังด้วยอริยสัจ อริยสัจคือของจริงที่พระอริยเจ้าทรงไว้ จงเตือนใจว่าเจ้าจงอย่าลืมความจริงว่าญาติผู้ใหญ่ของเรามี ถอยหลังไปตามลำดับนับหาที่สุดไม่ได้ แต่ว่าญาติทุกคนของเราท่านไม่มี เวลานี้บางคนมีชื่อแต่ไม่มีตัว และก็ส่วนใหญ่ทั้งหมดหายไปทั้งตัวและชื่อ คือนั่นท่านตาย และเราจะทรงอยู่ได้ยังไง ท่านทั้งหลายเหล่านั้นเวลาตายท่านห่วงเรารึเปล่า ท่านอาจจะห่วง และอาการห่วงนั้นมีประโยชน์อะไรสำหรับเราบ้าง เมื่อท่านตายไปแล้ว ประโยชน์ที่ดีจริง ๆ ตามสัจธรรมนั่นก็คือว่า ท่านเป็นผู้ใหญ่เป็นต้นตระกูลของเรา แต่ท่านก็ตาย ในเมื่อต้นตระกูลดายแล้ว ไอ้ปลายตระกูลมันจะทรงอยู่ได้ยังไง มันก็ต้องมีสภาวะการตายเหมือนกัน นี่เป็นยังงี้ คิดให้มันลงตัว
(มีต่อ คู่มือปฎิบัติวัดท่าซุง เล่ม 2 อนุสสติ 5 ตอนที่ 5.2 https://ppantip.com/topic/43304517)
คู่มือปฎิบัติวัดท่าซุง เล่ม 2 อนุสสติ 5 ตอนที่ 5.1
ท่านพระโยคาวจรทั้งหลาย และบรรดาพระภิกษุสามเณรทั้งหลาย สำหรับเวลานี้ ท่านทั้งหลายได้พากันสมาทานพระกรรมฐาน สมาทานศีลแล้ว วันนี้จะได้ศึกษาในเรื่องของ อนาคามีผล สำหรับวันก่อนได้น้อมนำเอาอารมณ์ตั้งแต่พระโสดา สกิทาคามี โดยเฉพาะอย่างยิ่งพระโสดาบันก็ตั้งแต่สัตตักขัตตุง โกลังโกละ เอกพิชี และสกิทาคามีมาพูด สำหรับวันนี้จะนำเอาอารมณ์ของพระอนาคามีมาพูด แต่ก่อนที่จะพูดอารมณ์ของพระอนาคามี ความจริงถ้าอารมณ์จิตของบรรดาท่านทั้งหลายเข้าถึงพระสกิทาคามีแล้ว การทรงอารมณ์ของพระอนาคามีผลเป็นของไม่ยาก เพราะว่าเป็นการศึกษามาตามลำดับ
แต่ว่าก่อนที่จะพูดในอารมณ์ของพระอนาคามี ก็จะขอน้อมนำเอาวิธีปฏิบัติ ที่องค์สมเด็จพระทรงสวัสดิโสภาคย์สอนไว้ มาแนะนำกันเสียก่อน แต่ว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องสำคัญ ถ้าปฏิบัติไม่ถูกหลัก ไม่ถูกเกณฑ์ ไม่ถูกแผน ผลแห่งการบรรลุมันก็ไม่มี วีธีปฏิบัติที่ปฏิบัติได้กันมา จะต้องทำแบบนี้ ไปดูในวิปัสสนาญาณ 9 ข้อที่ 8 ท่านเรียกว่า สังขารุเปกขาญาณ แต่ว่าข้อที่ 9 นั้นท่านเรียกว่า สัจจานุโลมิกญาณ คำว่า สัจจานุโลมิกญาณนั้น ไม่มีญาณเฉพาะสำหรับตน เป็นการปฏิบัติ คือคำนึงจิตหรือพิจารณาย้อนไปย้อนมา สมมุติว่าท่านทั้งหลายกำลังเจริญสมาธิจิต เริ่มตั้งแต่ ขณิกสมาธิ อุปจารสมาธิ หรือว่าถือนิมิตในกสิณ เช่น เราเคยเจริญอานาปานุสสติ หรืออนุสสติมาก่อน แล้วก็ไปจับพุทธานุสสติ หรือไปจับธัมมานุสสติ สังฆานุสสติ สีลานุสสติ จาคานุสสติ หรือว่าเล่นกสิณกองใดกองหนึ่ง วิธีปฏิบัติเขาทำแบบนี้
พอเริ่มต้นเข้ามา เขาต้องจับอารมณ์ต้นก่อน เช่น เจริญอานาปานุสสติก่อน ก็ต้องจับอานาปานุสสติ ให้มีอารมณ์ถึงที่สุดที่เราได้มาแล้ว แล้วก็ปล่อยอารมณ์จิตให้มันทรงอยู่ในอารมณ์นั้นให้สบาย เมื่อจิตมีความสบายถึงที่สุด ทรงอารมณ์ถึงที่สุด แล้วก็เคลื่อนไปจับกองที่ 2 กองที่ 3 กองที่ 4 กองที่ 5 ตามลำดับ แต่ละกองนั้น ๆ ก่อนที่จะเคลื่อนไป ให้จิตเข้าถึงจุดสูงสุดตามกรรมฐานกองต้นเสียก่อน เมื่อจับไปตามลำดับถึงที่สุดแล้ว จึงค่อยทำต่อกองที่ทำต่อใหม่ กองที่ทำต่อใหม่นั้น เราจะใช้เวลาเพียงนิดเดียว อารมณ์ก็จะทรงตัว
ทั้งนี้เพราะว่ากรรมฐานทั้ง 40 กองก็ดี มหาสติปัฏฐานสูตรก็ดี มีอารมณ์เหมือนกัน เช่น เราทรงสมาธิจิตในด้านอานาปานุสสติถึงฌาน 4 หรือว่าฌาน 1 หรือฌาน 2 หรือฌาน 3 ก็ตาม เริ่มต้นเราก็จับอานาปานุสสติให้เข้าทรงฌานถึงที่สุดตามที่เราจะพึงทำได้ในวันนั้น เราปล่อยจิดให้ทรงอยู่ ให้อารมณ์สบาย เมื่อจิตเป็นสุขดีแล้ว ขยับเข้าไปกองที่ 2 หรือกองที่ 3 แต่ละกองจะใช้เวลาไม่เกิน 1 นาที อารมณ์ก็จะทรงตัวตามนั้น
เป็นอันว่าถ้าทำอย่างนี้ ก็ชื่อว่าเราใช้วิธี สัจจานุโลมิกญาณ อนุโลมคือเดินตั้งแต่ต้นเข้าไปถึงปลาย บางทีจับตั้งแต่ปลายเข้ามาหาต้น จิตทรงอารมณ์ได้ตามปกติ สม่ำเสมอกันทุกจุด อย่างนี้จะมีอารมณ์ไม่เคลื่อนจากสมาธิทุกกอง ไม่ใช่ทำกองนี้ได้ ไปกองหน้าทิ้งกองหลัง อันนี้ไช้ไม่ได้ เขาต้องเก็บไปตั้งแต่ต้น ถ้าหากว่าสมมุติว่าทุกท่านทรงกรรมฐาน ทั้งหมดได้ 40 กอง เวลาเราจับตั้งแต่ต้น 1 ถึง 40 มิต้องใช้เวลาตลอดคืนหรือ ผมก็จะขอตอบให้ท่านทราบ ว่าอย่างช้าที่สุดกรรมฐาน 40 กองนี้ เราจะเรียงตามลำดับให้ทรงฌานถึงที่สุด ไม่เกิน 15 นาที แต่ผมว่ามันไม่ถึงนะ ผมไม่เคยทำถึงนี่ เมื่อกองแรกเราคล่อง กองอื่น ๆ มันก็เหมือนกัน
กรรมฐาน 40 กอง ถ้าจะเปรียบกับเรากินข้าว ถ้าเราเคยกินข้าวด้วยมือ เขามาให้กินข้าวด้วยช้อน มันก็เป็นของไม่ยาก ถ้าเคยกินข้าวด้วยช้อนสังกะสี เปลี่ยนมาเป็นช้อนส้อมมันก็ไม่หนัก มันจะเกะกะอยู่นิดเดียว ข้อนี้ฉันใด แม้การเจริญพระกรรมฐานซึ่งมีการเปลี่ยนอารมณ์ก็เหมือนกัน การเปลี่ยนอารมณ์เข้าไปหาอารมณ์แต่ละกอง แต่ทว่าอารมณ์จริง ๆ คือสมาธิ มันอันเดียวกัน นี่จุดหนึ่งนะครับ
และอีกจุดหนึ่ง ถ้าเราจะเดินด้านวิปัสสนาญาณ เวลานี้จะพูดกันถึงพระอนาคามี แต่ทว่าก่อนที่เราจะใช้อารมณ์จับพระอนาคามีในเวลาสงัด หรือเวลาไหนก็ตาม เราก็ต้องนั่งไล่เบี้ยมาตั้งแต่พระโสดาบันก่อน คำว่าไล่เบี้ยมานี่เป็นการสอบสวนอารมณ์จิตของเรา ว่าอารมณ์จิตเดิมที่เราไล่เบี้ยมาตั้งแต่พระโสดาบันน่ะ มันทรงตัวแล้วหรือเปล่า ถ้าพระโสดาบันกับสกิทาคามียังไม่ทรงตัว เราก็อย่าเพิ่งไปยุ่งกับอนาคามีผล หรือว่าจะเป็นอนาคามีมรรค ต้องจับตั้งแต่พระโสดาบันขึ้นไปตามขั้นตามระยะ มีอารมณ์ทรงตัว เห็นว่าจิตทรงแน่แล้ว จึงจะก้าวเข้าไปสู่ข้อหน้าต่อไป ทั้งนี้เราใช้วีธีสัจจานุโลมิกญาณ อันดับแรกเริ่มต้นเมื่อหาที่สงัดได้ คำว่าที่สงัต มันจะสงัดเสียง หรือไม่สงัดก็ช่างมัน แต่ว่าทำใจของเราให้สงัดในนิวรณ์
ตามที่พระพุทธเจ้าตรัสว่า บรรดาพระสมณะอยู่ที่ไหน ที่นั่นย่อมเป็นที่สงัด คือมีพราหมณ์ถามพระพุทธเจ้าว่า พระอริยเจ้าทั้งหลายต้องการที่สงัดใช่ไหม คือว่าต้องการอยู่ในป่าชัฏ ต้องการอยู่ในป่าช้า ต้องการอยู่ในเขา ต้องการอยู่ในบ้านที่ปราศจากผู้คน แต่องค์สมเด็จพระทศพลบรมศาสดากลับตรัสว่า พราหมณะ ดูก่อนพราหมณ์ พระอริยเจ้าจะอยู่ในป่าก็ดี อยู่บนยอดเขาก็ดี อยู่ในถ้ำก็ดี อยู่ป่าช้าก็ดี อยู่ป่าชัฏก็ดี อยู่บ้านว่างจากคนก็ดี หรือว่าอยู่ในบ้านก็ดี อยู่กลางเมืองก็ดี อยู่กลางสนามหลวงก็ดี พระอริยเจ้าทั้งหมดนี้ย่อมมีอารมณ์สงัด ไม่ว่าที่ใดสงัดหมด เพราะว่าอารมณ์ของทุกท่านสงัดจากกิเลสเสียแล้ว
นี่เป็นอันว่า คำว่า สถานที่สงัด คือเราใช้อารมณ์สงัด จะไปนั่งคิดว่าที่นั่นต้องไม่มีเสียง ที่นี่ต้องไม่มีเสียง เราคิดหรือว่า เวลาที่เราจะตายน่ะ เราจะหาที่สงัดได้ เราต้องพร้อมใจไว้เสมอว่า เวลาที่เราจะตาย อาจจะมีเสียงเครื่องขยายเสียงทั้งด้านข้าง ด้านซ้าย และด้านขวา ใกล้ ๆ เราอาจจะมีใครกำลังทะเลาะกันอยู่ก็ได้ หรืออาจจะมีใครเขามานั่งด่าเราอยู่ใกล้ ๆ ก็ได้ เราต้องตรียมใจไว้ ถ้าอาการอย่างนั้นนั้นมันปรากฏ เราจะไม่เอาจิตของเราเข้าไปยุ่งกับเสียงกับอารมณ์ต่าง ๆ ทำจิตของเราให้สงัดจากเสียง เรื่องของเขาก็เรื่องของเขา เรื่องเราก็เรื่องของเรา
นี่เป็นอันว่าที่สงัดของเรา ไม่ใช่หมายความว่าสงัดเสียง ไม่ใช่หมายว่าความสงัดจากอาการกายกรรม คือการทำงานต่าง ๆ ที่สงัดของเรา คือใช้อารมณ์จิตสงัดจากนิวรณ์ 5 ประการ และก็สงัดจากกิเลสด้วย
จำให้ดีนะครับ ต้องถอยหน้าถอยหลัง เล่นกันไปแบบนี้ให้มันช่ำมันซอง ตอนนี้เราจะก้าวเข้าไปสู่ พระอนาคามีผล เราก็มานั่งนึกดูตอนต้น ว่าโอหนอเวลานี้เรามีความเสียดายอะไรบ้าง ถ้าพ่อเราจะตาย แม่เราจะตาย เมียเราจะตาย ผัวเราจะตาย ลูกเราจะตาย เพื่อนเราจะตาย ตัวเราจะตาย ของของเราต้องสลายไป เรามีความรู้สึกว่าห่วงใยจุดใดบ้าง ถ้าปรากฏว่ามีอารมณ์ยังห่วงอยู่ สมมุติว่าคิดว่าถ้าเขาจะตาย เราจะร้องไห้ เราจะเสียใจ เราจะมีอารมณ์ว้าเหว่ ถ้าเราจะตาย เราสงสารคนที่อยู่ข้างหลัง ไม่มีใครประคับประคอง ไม่มีใครเลี้ยงดูเกื้อหนุนเธอให้มีความสุข ถ้าอารมณ์ยังมีอย่างนี้ก็เสร็จ ต้องใช้อารมณ์จิตใช้ปัญญาต่อว่าจิต ว่าเอ็งนี่มันเลวเกินไป ทำไมเอ็งลืมความจริงเสียแล้วหรือ ว่าคนทุกคน สัตว์ทั้งหมด วัตถุธาตุทั้งหมด มันมีอนิจจังเป็นเบื้องต้น อันดับแรกมันไม่มีความทรงตัวคือไม่เที่ยง และก็มีการสลายตัวไปในที่สุด ทำไมเธอไม่รักษาสัจธรรมอันนี้ไว้
สัจจานุโลมิกญาณ คือ อนุโลมถอยหน้าถอยหลังด้วยอริยสัจ อริยสัจคือของจริงที่พระอริยเจ้าทรงไว้ จงเตือนใจว่าเจ้าจงอย่าลืมความจริงว่าญาติผู้ใหญ่ของเรามี ถอยหลังไปตามลำดับนับหาที่สุดไม่ได้ แต่ว่าญาติทุกคนของเราท่านไม่มี เวลานี้บางคนมีชื่อแต่ไม่มีตัว และก็ส่วนใหญ่ทั้งหมดหายไปทั้งตัวและชื่อ คือนั่นท่านตาย และเราจะทรงอยู่ได้ยังไง ท่านทั้งหลายเหล่านั้นเวลาตายท่านห่วงเรารึเปล่า ท่านอาจจะห่วง และอาการห่วงนั้นมีประโยชน์อะไรสำหรับเราบ้าง เมื่อท่านตายไปแล้ว ประโยชน์ที่ดีจริง ๆ ตามสัจธรรมนั่นก็คือว่า ท่านเป็นผู้ใหญ่เป็นต้นตระกูลของเรา แต่ท่านก็ตาย ในเมื่อต้นตระกูลดายแล้ว ไอ้ปลายตระกูลมันจะทรงอยู่ได้ยังไง มันก็ต้องมีสภาวะการตายเหมือนกัน นี่เป็นยังงี้ คิดให้มันลงตัว
(มีต่อ คู่มือปฎิบัติวัดท่าซุง เล่ม 2 อนุสสติ 5 ตอนที่ 5.2 https://ppantip.com/topic/43304517)