คู่มือปฎิบัติวัดท่าซุง เล่ม 2 อนุสสติ 5 ตอนที่ 6.1

อนุสสติ 5 ตอนที่ 6.1

โอกาสนี้บรรดาท่านสาธุชนพุทธบริษัท และพระโยคาวจรทั้งหลาย ได้พากันสมาทานศีล พากันสมาทานพระกรรมฐานแล้ว ต่อแต่นี้ไปขอท่านทั้งหลายโปรดตั้งใจสดับคำ การศึกษาซึ่งจะแนะนำในด้าน อรหัตตผล สำหรับภาคนี้เป็นภาคของ พระอรหัตตผล ท่านทั้งหลายคงจะยังไม่ลืม ว่าที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสว่า สำหรับพระโสดาบันกับพระสกิทาคามีเป็นผู้ทรง อธิศีล คือมีสมาธิเล็กน้อย มีปัญญาเล็กน้อย แต่ทว่าเป็นผู้มีความมั่นคงในศีล สำหรับพระอนาคามีเป็นผู้ทรง อธิจิต นี่หมายความว่าศีลของท่านบริสุทธิ์ถึงศีล 8 และก็มีจิตทรงสมาธิมั่นคงถึงฌาน 4 อย่าลืมว่าจริยาคือ อาการของพระอนาคามี ท่านผู้ทรงความเป็นพระอนาคามีนั้นจะมีศีล 8 เป็นปกติ จะสมาทานหรือไม่สมาทานไม่มีความสำคัญ ผู้มีศีลไม่ได้หมายถึงว่าจะต้องนั่งสมาทานกันทั้งวันทั้งคืน ศีลที่จะมีจริง ๆ อยู่ที่ตัวเว้น เราไม่สมาทานเลย แต่ว่าเราเว้น ที่เรียกกันว่า วิรัติ คำว่า วิรัติ แปลว่า เว้น เว้นจากความชั่ว 5 ประการชื่อว่าเป็นผู้มีศีล 5 เว้นจากความชั่ว 8 ประการ ชื่อว่าเป็นผู้มีศีล 8

ฉะนั้นท่านที่ทรงความเป็นพระอนาคามี จะมีศีล 8 เป็นปกติ เพราะว่าเป็นศีลพรหมจรรย์ จะเห็นว่าพระอนาคามีหมดกามฉันทะ หมดความโกรธพยาบาทและปฏิฆะ คืออารมณ์ที่ไม่พอใจ อารมณ์ที่สะสุดใจให้ไม่สบายเกิดขึ้น เป็นความขัดข้องไม่มีในพระอนาคามี

สำหรับพระอรหันต์เป็นผู้ทรง อธิปัญญา รวมความว่าพระอรหันต์นี้ทรงครบศีลก็บริสุทธิ์ สมาธิก็ทรงตัวตั้งมั่น ปัญญาก็รอบรู้จริง ๆ สำหรับการปฏิบัติ เท่าที่ผมอธิบายมารู้สึกว่ามันเยิ่นเย้อเกินไป แต่ว่านั่นเป็นแนวแห่งคำสอน วิธีปฏิบัติจริงๆ นี่ไม่มีใครเขามุ่งพระโสดาบัน สกิทาคามี อนาคามี เมื่อขึ้นกันจริง ๆ ก็มุ่งอรหัตตผลกันเลย แต่ว่าการมุ่งอรหัตตผลนี่ เขาถือว่าอย่างเลวที่สุดจิตจะจับไว้เฉพาะพระโสดาบันก่อนเป็นอันดับแรก เพราะว่าเป็นของง่าย

ความจริงการทรงพระโสดาบัน ไม่มีอะไรจะยาก เพียงทรงศีลบริสุทธิ์ ถ้าศีลไม่บริสุทธิ์เราก็เป็นมนุษย์ไม่ได้อยู่แล้ว ถ้าร่างกายเป็นมนุษย์ เขาก็ถือว่า มนุสสเปโต คือร่างกายเป็นมนุษย์แต่ใจเป็นเปรต มนุสสติรัจฉาโน ร่างกายเป็นมนุษย์แต่ทว่า จิตใจเป็นสัตว์เดรัจฉาน มนุสสนิรโย ร่างกายเป็นมนุษย์แต่จิตใจเป็นสัตว์นรก ตายแล้วก็ไปตามนั้น คำว่า มนุษย์ แปลว่า ผู้มีใจสูง หมายความถึงว่าบุคคลนั้นเป็นผู้ทรงศีล 5 หรือว่าทรงกรรมบถ 10 โดยเฉพาะอย่างยิ่งท่านถือว่า ผู้ใดทรงกรรมบถ 10 ผู้นั้นมีความเป็นมนุษย์สมบูรณ์ เพราะว่ากรรมบถ 10 เป็นธรรมให้บุคคลไปเกิดเป็นมนุษย์

เป็นอันว่าตอนนี้เรามาพูดกันถึงอรหัตตผล ก็ขอย้อนต้นไปถึงปลาย อันดับแรกการที่จะเข้ามาเจริญพระกรรมฐาน ก็ต้องใช้อารมณ์อย่างหนึ่งที่เราทิ้งไม่ได้ แม้แต่องค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดา เป็นพระพุทธเจ้าแล้วท่านยังไม่ละ พระอรหันต์ทุกองค์ที่ทรงความเป็นอรหันต์แล้วยังไม่ละ นั้นก็คือสมถภาวนา 3 ประการ ได้แก่

1. อานาปานุสสติกรรมฐาน การกำหนดรู้ลมหายใจเข้าออก เพื่อความอยู่เป็นสุขของเรา เพราะเป็นการระงับทุกขเวทนา
และประการที่ 2. กายคตานุสสติ สำหรับสมถะ พิจารณาเห็นว่าร่างกายมันเป็นของสกปรกโสโครกไม่ทรงตัว
ประการที่ 3. ขอแถมนิด พระอรหันต์ก็ดี พระพุทธเจ้าก็ดี ไม่ลืมความตาย
ตามที่องค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดาตรัสกับพระอานนท์ ว่าอานันทะดูก่อนอานนท์ เธอนึกถึงความตายวันละกี่ครั้ง พระอานนท์ทูลองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าว่า ข้าพระพุทธเจ้านึกถึงความตายวันหนึ่งประมาณ 7 ครั้ง พระพุทธเจ้าตรัสว่า อานันทะ ดูก่อนอานนท์ เธอนึกถึงความตายห่างเกินไป สำหรับตถาคตนี้ นึกถึงความตายทุกลมหายใจเข้าออก

ตอนนี้จำกันได้แล้วหรือยัง ว่าพื้นฐานที่จะทรงให้เราเป็นพระอริยเจ้าได้ ต้องทรงสมถะเป็นประจำ นั่นก็คือ
1. อานาปานุสสติกรรมฐาน การกำหนดรู้ลมหายใจเข้าออกเป็นปกติ
2. กายคตานุสสติ เห็นว่าร่างการนี้ไม่ทรงตัว แบ่งเป็นอาการ 32 ควบกับอสุภกรรมฐานมีความสกปรกเป็นปกติ
3. นึกถึงความตายเป็นอารมณ์ มีความรู้สึกว่าเราจะต้องตายเดี๋ยวนี้อยู่เสมอ ความประมาทมันก็ไม่มี

เป็นอันว่าถ้าบรรดาท่านทั้งหลายทรงอารมณ์ทั้ง 3 ประการนี้ทรงตัว คำว่าทรงตัวท่านเรียกกันว่าเป็นฌาน คำว่าฌานผมถือว่าคืออารมณ์ชิน อารมณ์นี้ทรงอยู่เป็นปกติในใจของเรา ถ้าทรงอารมณ์ทั้ง 3 ประการนี้ได้เป็นปกติ ถ้าท่านจะเป็นพระโสดาบัน ท่านก็เป็นได้ภายใน 7 วัน ถ้ามุ่งจะเป็นพระสกิทาคามี ผมว่าไม่เกิน 15 วัน ถ้ามุ่งจะเป็นพระอนาคามี ผมก็คิดว่าในเกิน 1 เดือน ถ้ามุ่งจะเป็นพระอรหันต์ ผมว่าไม่เกิน 7 เดือนเป็นอย่างมาก เพราะอะไรก็ลองคิดดูว่า คนเราถ้าลองคิดว่าเราจะต้องตาย แล้วก็มานั่งพิจารณาในด้านวิปัสสนาญาณ ว่าการทรงชีวิตอยู่นี่มันเป็นสุขหรือเป็นทุกข์ ใช้ปัญญา อย่าใช้แต่สมถะ นั่งหลับหูหลับตากันวันยังค่ำ คืนยันรุ่ง โดยไม่ได้ใช้ปัญญา ไม่ใช้อาการสัมผัส ไม่ใช้ตาสัมผัส ไม่ใช้หูสัมผัส ไม่ใช้กายสัมผัสไปนั่งเงียบอยู่ในเขาลำเนาป่า อยู่แต่ในห้องโดยเฉพาะ ก็คิดว่าจิตของตนบริสุทธิ์ เพราะว่าไม่กระทบกระทั่งกับอารมณ์ที่เป็นอนิฏฐารมณ์ ไม่ต่อสู้กับความจริง ในที่สุดก็จะเป็นแบบท่านพระผู้ถูกควายเขาอ่อนขวิด เมื่อเข้ามากระทบกับกับอารมณ์จริง ๆ แล้วมันก็จะทนไม่ไหว

ฉะนั้นการปฏิบัติจะเป็นด้านสมถะก็ดี วิปัสสนาก็ดี หวังเป็นผู้ทรงฌานโลกีย์ก็ดี ฌานโลกุตตระก็ดี เขาต้องสู้กับความจริง ไม่ใช่หนีความจริง ฉะนั้นเราจะต้องมีอารมณ์สัมผัสอยู่เสมอ จะต้องไม่ประมาทในชีวิต คิดว่าเราดี ความเป็นอรหันต์มีอยู่ตรงไหน

อันดับแรกองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงสอน ให้พิจารณาสักกายทิฏฐิ ความจริงตัดตรงนี้ตรงเดียวแห่งเดียว ไม่ใช่ตัดที่ไหน สักกายทิฏฐิ พิจารณาร่างกายคือขันธ์ 5 ว่า รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ทั้ง 5 อย่างนี้ไม่มีอะไรเป็นเรา เป็นของเรา เราไม่มีในขันธ์ 5 ขันธ์ 5 ไม่มีในเรา ที่ว่าขันธ์ 5 ไม่มีในเรา ไปลงกับสมถะคำที่เรียกว่าตาย สมถะเห็นว่ากายตาย วิปัสสนาเห็นว่ากายพัง เราไม่มีอำนาจควบคุมกายให้ทรงตัว กายมันจะแก่เราห้ามแก่ไม่ได้ กายมันจะป่วยเราห้ามป่วยไม่ได้ กายมันจะตายเราห้ามตายไม่ได้ เขาทำกันยังไง วิธีทำเขาใช้ปัญญา นั่งอยู่ ยืนอยู่ เดินอยู่ นอนอยู่ ทำกิจการงานอยู่ มีความรู้สึกอยู่เสมอ ว่านี่คนที่มีอิริยาบถอย่างเรา ๆ นี่ ท่านตายไปแล้วนับไม่ถ้วน ในสถานที่ที่เรานั่งอยู่นี้ เรายืนอยู่ เราเดินอยู่หรือเราอาศัยอยู่ ในสถานที่ที่ตรงนี้เคยมีคนตายแล้ว สัตว์ตายแล้วนั้บไม่ถ้วน

ถ้าหากว่าเราตายแล้วเกิดมันจะมีผลอะไร ดูผลของการเกิด เกิดอยู่ในท้องแม่ก็ทุกข์ ออกมาจากท้องแม่เป็นเด็กช่วยตัวเองไม่ได้ก็ทุกข์ เป็นเด็กโตขึ้นไปหน่อยทุกสิ่งทุกอย่างต้องอาศัยพ่ออาศัยแม่ อาการที่เราอาศัยท่าน ท่านมีเมตตาก็จริงแหล่ แต่ทว่าสิ่งที่เราปรารถนามันไม่ค่อยจะสมหวัง เราก็เป็นทุกข์ โตขึ้นมาแล้วพ้นจากอกพ่ออกแม่ ก็ต้องประกอบก็จะการงานหนัก งานทุกอย่างเป็นปัจจัยของความทุกข์ เรามีคู่ครอง ไม่ใช่ว่าเราจะเปลื้องความทุกข์ เราก็ไปดึงเอาความทุกข์เข้ามา มีลูกมีหลานมากเท่าไรทุกข์มากเท่านั้น เราก็แก่ไปทุกวัน ถ้าหากว่าเรายังดิ้นรนเพื่อการเกาะ มันก็ต้องเกิด เกิดเมื่อไรทุกข์เมื่อนั้น เกิดเป็นคนเป็นมนุษย์ยังดีกว่าเกิดในอบายภูมิ ถ้าเกิดเป็นสัตว์นรก เป็นเปรต เป็นอสุรกาย เป็นสัตว์เดรัจฉาน ก็ทุกข์ยิ่งกว่าความเป็นคน ไปเกิดเป็นเทวดาหรือพรหมก็พักทุกข์ชั่วคราว หมดบุญวาสนาบารมีก็ต้องกลับมาทุกข์กันใหม่

(มีต่อ  คู่มือปฎิบัติวัดท่าซุง เล่ม 2 อนุสสติ 5 ตอนที่ 6.2 https://ppantip.com/topic/43306288)
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่