บทความเรื่อง "คุณกำลังปฏิบัติตนเพื่อความเป็นพระอริยะเจ้าในระดับใด?"


โลภะ แปลว่า ความโลภ ความอยากได้ เป็นเป็นกิเลสอย่างหนึ่งในบรรดากิเลสใหญ่ 3 อย่างคือ โลภะ, โทสะ, โมหะ

โลภะ เกิดจากตัณหาคือความทะยานอยากได้ เมื่อเกิดขึ้นแล้วทำให้จิตหิวโหยอยากได้ เกิดความดิ้นรน อยู่ไม่เป็นสุข
หากหยุดยั้งไม่ได้ก็จะเป็นต้นเหตุให้ดิ้นรนแสวงหาสิ่งที่อยากได้มาสนองความต้องการ

ส่วนความอยากในเรื่องดีๆ เขาเรียกว่า "ธรรมฉันทะ" ก็คือ ความพอใจในธรรม (เป็นความพอใจในเรื่องที่เป็นกุศล) จึงไม่ถือว่าเป็นกิเลส
เช่น อยากจะได้ฌานสมาบัติ, อยากจะเป็นพระอริยะเจ้า, อยากจะเป็นเทวดาหรือนางฟ้า, อยากจะเป็นพรหม, อยากจะเข้านิพพาน ฯลฯ

และแน่นอนว่า ความอยากได้เครื่องสำอางค์ใหม่ๆอยู่เสมอ และต้องดิ้นรนหามาให้ตัวเองให้ได้ นี่ก็คือ โลภะ ความโลภ ความอยากได้ แน่นอน

แต่ถ้าจะวิเคราะห์ว่าการกระทำของคุณเจ้าของกระทู้นั้นผิดทางธรรมอยู่หรือไม่? ก็ต้องถามว่าคุณหวังความเป็นพระอริยะจ้าในระดับใดอยู่?

ถ้าคุณหวังความเป็นพระอนาคามี หรือพระอรหันต์ การมีความโลภแบบนี้ ย่อมผิดทางของการบรรลุธรรมเป็นพระอนาคามี หรือพระอรหันต์ แน่

แต่ถ้าคุณหวังแค่ความเป็นพระโสดาบัน ความอยากจะได้เครื่องสำอางค์ใหม่ๆอยู่เสมอ ยังไม่ถือว่าเป็นการผิดทางธรรมแต่ประการใด
เพราะพระโสดาบัน ยังมีแค่ศีล5บริสุทธิ์เท่านั้น การกระทำทุกอย่างอยู่ในกรอบของศีล ไม่ได้ถึงขั้นตัดกามฉันทะ และปฏิฆะ ได้อย่างพระอนาคามี
(คุณจะเอาเงินที่ตัวเองหามาได้อย่างชอบธรรมซื้อเครื่องสำอางค์มากมายเท่าไรก็ได้ ตามแต่ใจอยากของคุณ)



พระโสดาบันนั้น ยังมีครอบครัวได้ ยังมีสามีได้และมีลูกได้ เพราะพระโสดาบันนั้น ยังตัดกามฉันทะไม่ได้ และ ยังตัดโทสะไม่ได้ อย่างพระอนาคามี
พระโสดาบันนั้น ปฏิบัติตนอยู่ในกรอบของศีล5 เคร่งครัดในศีลอย่างยิ่ง พอใจแต่ในคู่ครองของตนเอง ยินดีในทรัพย์สินที่ตัวเองหามาได้อย่างชอบธรรม

การยินดีในทรัพย์สินที่ตัวเองหามาได้อย่างชอบธรรมนั้น ไม่ได้เป็นการผิดศีล (คุณจะร่ำรวยจากการทำงานสุจริตของตนเองมากเท่าไร ก็สามารถทำได้)
เพราะฉนั้นคุณจะซื้อเครื่องสำอางค์ใหม่ๆให้กับตนเองได้อยู่เรื่อยๆ ตราบเท่าที่เงินนั้นเป็นของคุณเอง ไม่เบียดเบียนใคร

เพราะว่าคุณเป็นแค่ผู้ที่หวังความเป็นพระโสดาบัน และ ปฏิบัติตนเพื่อหวังความเป็นพระโสดาบันเท่านั้น
คุณไม่ได้หวังความเป็นพระอนาคามีหรือพระอรหันต์ในชาตินี้เสียหน่อย ถึงจะต้องมาตัดละอะไรให้มันหมดจดไปซะทุกอย่าง
(เคร่งเกินระดับของตนเอง)



เพราะฉนั้น....

ไม่ใช่ว่าจะยกเอาอารมณ์ของพระอรหันต์ผู้หมดจดจากกิเลส ที่สามารถตัด โลภะ, โทสะ, โมหะ ได้หมดจด ยกเอามาเปรียบเทียบกับทุกคนไป
(ไม่ใช่ว่าเอะอะอะไร ก็จะยกเอาอารมณ์ไร้ตัว-ไร้ตน ที่ตัดกิเลสได้หมดจดของพระอรหันต์ มาเปรียบเทียบกับทุกคน หรือยกให้คนทุกคนถือเหมือนๆกันหมด)

มีคนไม่น้อยที่ไม่รู้รายละเอียดของอารมณ์พระอริยะเจ้าในแต่ละระดับ ว่าพระอริยะเจ้าในแต่ละระดับนั้นมีอารมณ์อย่างไรบ้าง และถือเคร่งในจุดใดบ้าง
เวลามาตอบในเรื่องพวกนี้ จึงมักจะโบ้ยตีความรวบไปทั้งหมด ว่าถ้ายังมีอารมณ์แบบนั้น-แบบนี้ อยู่ ก็แสดงว่าปฏิบัติธรรมผิดทางแล้ว

แต่ความจริงแล้ว การที่เราจะวิเคราะห์ว่าชาวบ้านคนใดมีการปฏิบัติธรรมที่ผิดทางอยู่หรือไม่
ให้ดูว่าเขากำลังปฏิบัติตนเพื่อความเป็นพระอริยะเจ้าในระดับใดอยู่? และเขาได้ทำผิดเงื่อนไขสังโยชน์ในระดับนั้นอยู่หรือไม่?

เพราะพระอริยะเจ้าในแต่ละระดับ มีการเข้าถึงธรรมที่ต่างกัน จึงมีการเคร่งศีล-เคร่งธรรม ในแต่ละระดับที่ไม่เหมือนกัน-ไม่เท่ากัน
การกระทำใดที่ผิดทางของผู้ที่หวังความเป็นพระอรหันต์ แต่การกระทำนั้นอาจจะไม่ผิดทางสำหรับผู้ที่หวังแค่ความเป็นพระโสดาบัน
(อย่างเช่นเรื่องที่ พระโสดาบันยังนอนกับภรรยาของตนเองได้อยู่ ไม่ได้ถือว่าเป็นการผิดศีล-ผิดธรรม แต่ประการใด เพราะเขาไม่ได้นอนกับเมียคนอื่น)
ไม่ใช่ว่าจะยกเอาอารมณ์ตัดละกิเลสได้หมดจดของพระอรหันต์ ไปยกให้ฆราวาสที่ยังไม่ได้เป็นแม้แต่พระโสดาบัน มาถือ เพราะมันหนักเกินไป

เพราะฉนั้น ถ้าเรามุ่งหวังจะบรรลุธรรมเป็นพระอริยะเจ้าในระดับใด ก็ให้ดูเงื่อนไขและขอบเขตของการตัดละกิเลสสังโยชน์ในระดับนั้นๆเป็นหลัก
เราจะได้ไม่สับสน ไม่มั่ว ไม่หลงทาง




มีหลายๆคน ที่มักจะตั้งคำถามสงสัยอยู่เสมอๆว่า พระโสดาบันนั้นยังมีอะไรกับภรรยาของตัวเองได้อยู่หรือเปล่า?

สำหรับฆราวาสที่ปฏิบัติตนเพื่อความเป็นพระโสดาบันนั้น.....

การมีเพศสัมพันธ์กับคู่ครองของตนเอง ไม่ได้ถือว่าเป็นเรื่องที่ผิดอันใด เป็นแค่เรื่องปกติธรรมดาๆ สำหรับฆราวาสที่ปฏิบัติตนเพื่อความเป็นพระโสดาบัน
(เพราะพระโสดาบันยังตัดกามไม่ได้ และไม่ได้ถือศีล8 และยังไม่ได้ปฏิบัติตนเพื่อความเป็นพระอนาคามี หรือพระอรหันต์ ถึงจะต้องมาห้ามในเรื่องนี้)

จนต่อเมื่อจิตของคุณพอใจในการปฏิบัติตนเพื่อความเป็นพระอนาคามี คุณก็จะพอใจในการถือครองศีลที่มากข้อยิ่งๆขึ้นไปเรื่อยๆเอง
จึงเริ่มจะอยู่แยกบ้าน แยกห้องนอนกับภรรยา และไม่ยุ่งเกี่ยวทางกายกับภรรยาอีกโดยอัตโนมัติ (ด้วยความเต็มใจของคุณเอง)

การพูดถึงเรื่องลำดับการ เคร่งศีล-เคร่งธรรม จะพูดไต่เป็นระดับๆ เหมือนๆการเรียงลำดับของพระอริยะเจ้าเป็นหลักเสมอ

เพราะฉนั้น "ถ้าคุณกำลังปฏิบัติตนเพื่อความเป็นพระอริยะเจ้าในระดับใด คุณก็วางอารมณ์ในการถือศีลแค่ในระดับนั้น" ก็เพียงพอ ไม่ต้องคิดมากเกินนั้น

ไม่ต้องไปเอาอารมณ์ในการถือศีลที่สูงเกิน หรือ อารมณ์ในการตัดละกิเลสที่สูงมากเกินกว่าที่ตัวเองจะกระทำได้มาถือ
เพราะจะทำให้คุณเครียดเกิน บางทีอาจจะพาลทำให้คิดไปว่า ชาตินี้ไม่มีทางทำได้ เลิกถือไปก็มี



ถ้ากำลังใจของคุณยังต่ำ คุณยังพอใจในการครองเรือน อยากมีคู่ครอง อยากมีลูก ก็ให้จับอารมณ์ของพระโสดาบันก่อนก็พอ ไม่หนักเกินไป

การปฏิบัติธรรมนั้น ถ้าคุณไปจับเอาอารมณ์ที่สูงเกินไป เกินกว่าที่ตัวเองจะกระทำได้มาถือ มันจะกลายเป็นอารมณ์กลุ้มแทน (แล้วอาจจะไม่ได้อะไรเลย)
เพราะฉนั้นจึงควรจะจับอารมณ์ของพระโสดาบันให้ได้ก่อน ไม่ต้องไปเคร่งเครียดให้ตนเองต้องตัด กามฉันทะ และ ปฏิฆะ ให้ได้ทันทีเหมือนพระอนาคามี
(เพราะฉนั้น ถ้าคุณหวังแค่ความเป็นพระโสดาบัน และคุณหาเงินมาได้เองอย่างชอบธรรม คุณซื้อไปเถอะ จะซื้อเครื่องสำอางค์ซักกี่ล้านชุดก็ตามใจคุณ)
(ดูตัวอย่างนางวิสาขาในสมัยพุทธกาลสิ เขาใช้ชีวิตสมถะซะที่ไหน เขาเป็นคนรวย เขาก็ใช้ชีวิตแบบคนรวย อยากจะแต่งตัวอะไรให้สวยเลิศ เขาก็ทำได้)
(เขาไม่ได้ทำผิดศีล-ผิดธรรม ของพระโสดาบันอะไรซักหน่อย) (และเขาก็ยังสามารถมีครอบครัวได้ และมีลูกได้ถึง20คน)



การตัดละความพอใจใน กามฉันทะ(ความพอใจในรูป,รส,กลิ่น,เสียง,สัมผัสระหว่างเพศ) และ ปฏิฆะ(อารมณ์โกรธ,อารมณ์ขุ่นใจ) ในพระอนาคามี นั้น

บางคนพอได้ยิน ก็คิดว่าชาตินี้ตัวเองไม่มีทางที่จะตัดละ กามฉันทะ และ ปฏิฆะ นี้ได้แน่ ทำให้เกิดท้อใจ
และอาจจะพาลทำให้ไม่สนใจการปฏิบัติธรรมกันไปเลย ก็เป็นได้

ไม่ต้องคิดมากขนาดนั้น เพราะถ้าวันใดที่จิตของคุณเข้าถึงความเป็น พระโสดาบัน หรือ พระสกิทาคามี แล้ว
อีกไม่นานเดี๋ยวคุณก็จะพอใจในการปฏิบัติตนเพื่อความเป็นพระอนาคามีเอง
(เพราะอารมณ์จิตของพระอริยะเจ้าจะไม่ถอยหลัง มีแต่จะสูงขึ้น จะพอใจในการถือเคร่งที่มากยิ่งขึ้นไปเรื่อยๆเอง)

เพราะฉนั้น พอถึงตอนนั้นแล้ว การถือศีล8ไม่ยุ่งเกี่ยวกับภรรยา และตัดละความพอใจในกามฉันทะและปฏิฆะ ก็จะเป็นเรื่องที่ไม่ยากอะไรสำหรับคุณนัก

แต่ถ้าคุณมาคิดมากในตอนนี้ ในขณะที่คุณยังไม่ได้เป็นแม้แต่พระโสดาบัน อะไรๆอย่างอื่นที่สูงกว่าพระโสดาบัน มันก็ย่อมที่จะยากสำหรับคุณไปหมด

เพราะฉนั้น......

ยากอยู่ที่ตัวเดียว ตัวด่านต้นของความเป็นอริยะ นั่นก็คือความเป็นพระโสดาบัน หลังจากนั้นแล้วความเป็นอริยะ ก็จะดึงคุณไปในหนทางที่ถูกต้องเอง

พระอริยะเจ้าไม่มีเสื่อม มีแต่ขึ้น ไม่มีลง เพราะฉนั้นคุณจึงไม่ต้องมาคิดมากอะไร ขอแค่คุณได้เป็นพระโสดาบันเท่านั้น เดี๋ยวคุณก็จะไปถึงอรหันต์เอง


[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่