อานาปานุสสติกรรมฐาน ตอนที่ 17.1

ณ โอกาสนี้บรรดาท่านสาธุชนพุทธบริษัททั้งหลาย และพระโยคาวจรทั้งหลาย ได้พากันสมาทานศีล สมาทานพระกรรมฐานแล้ว ต่อแต่นี้ไปขอท่านทั้งหลายตั้งใจสดับ
อารมณ์ของพระอรหัตมรรค ในขณะที่ท่านทั้งหลายตั้งใจสดับ จงตั้งใจฟังด้วยจิตเป็นสมาธิ คำว่า สมาธิ คือมีอารมณ์ตั้งมั่นไปตามกระแสเสียงที่รับฟังและก็ใช้ปัญญาพิจารณาไปด้วย
คำว่า
อรหัตมรรค ย่อมหมายความว่า ท่านผู้ปฏิบัติเพื่อเข้าถึงความเป็นพระอรหันต์ มรรค นี่เขาแปลว่า เดิน เดินไปเพื่อความหมดกิเลสอย่างสิ้นเชิง ขอให้บรรดาท่านทั้งหลายทบทวนอารมณ์เดิมมาเสียก่อน ว่าการที่เราศีกษาพระกรรมฐานมาตั้งแต่ต้น คือตั้งแต่ขณิกสมาธิ อุปจารสมาธิ ฌานสมาบัติ และพระโสดาบัน สกิทาคามี อนาคามี ส่วนต่างๆ ทั้งหลายเหล่านี้เราละอะไรกันได้บ้าง ถอยหลังไปโดยเฉพาะ สำหรับอารมณ์สมาธิ มีอารมณ์ฌานเป็นต้น นั่นเราหมายความว่าเรามีอารมณ์ชนะนิวรณ์ 5 ประการ นิวรณ์ 5 ประการไม่สามารถจะเป็นเจ้านายใจของเราได้ ถือว่าเราเป็นผู้ชนะ
เมื่อเป็นผู้ชนะนิวรณ์แล้วก็จงเป็นผู้ชนะตลอดไป อย่ากลับเป็นผู้แพ้ จงอย่าติดอารมณ์เดิม
นี่ผมขอทวนต้น อารมณ์เดิมที่เคยศีกษามาจากไหน ติดตำรับตำรา ดูเหมือนว่าวันนี้จะได้ยินเสียงแว่วๆ ว่านักติดตำราจะปรากฎขึ้น นั่นระวังตัวให้ดี จงอย่าติดตำรา คำว่าตำรานั่นน่ะติดได้ จงมีปัญญาเท่าเทียมกับตำรา โดยเฉพาะอย่างยิ่ง จงมุ่งอย่างเดียวคือการตัดกิเลส เพราะว่าการติดตำราเป็นปัจจัยให้ไปสู่อบายภูมิ เป็นเหตุถือตัวถือตน นั่นเป็นส่วนของบุคคลที่ตกอยู่ในอารมณ์ของโลกียวิสัยเต็มร้อยเปอร์เซ็นต์ ไม่ได้มีส่วนความเป็นพระอยู่เลย
ประการที่ 2 เมื่อเราอ่านตำราแล้ว จงใช้ปัญญาพิจารณาตำรา ว่านิวรณ์ 5 มีอะไรบ้าง ทำไมเราจึงจะชนะนิวรณ์ 5 ได้ นี่ทวนอารมณ์ต้นนะ อารมณ์ฌานเป็นเครื่องฆ่านิวรณ์ แต่การทรงฌานสมาบัติเป็นของดีแต่ว่าดีเล็ก คำว่าดีเล็กก็คือไม่สามารถจะทำตนให้พ้นจากอบายภูมิได้ ต่อมาก็มีอารมณ์พระโสดาบันเป็นเขตแห่งพระนิพพาน
คือท่านผู้ใดที่เข้าถึงพระโสดาบันย่อมไม่ถือมงคลตื่นข่าว ไม่ติดโน่นไม่ติดนี่ มีใจติดเฉพาะคือจับอารมณ์ความชั่วของตัวเท่านั้น เราเรียนกันมาถึงพระอนาคามี ได้แก่
1. สักกายทิฏฐิ เราไม่ติดในกาย
2. วิจิกิจฉา เราไม่สงสัยในคำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
3. สีลัพตปรามาส เราจะเป็นผู้มั่นคงในศีล
4. กามราคะ เราไม่ติดในกามารมณ์ ละได้เลย และก็
5. ปฏิฆะ อารมณ์ของเราจะไม่ยุ่งกับอารมณ์ใดๆ ที่เป็นอิฏฐารมณ์และอนิฏฐารมณ์ คือเป็นอารมณ์ที่ปรารถนาและไม่ปรารถนา
นี่หลักสูตรที่เราศึกษากันมามีเท่านี้ ได้ถึงเพียงนี้ท่านชื่อว่า เป็นพระอนาคามี ฉะนั้นตำราอ่านก็อ่านเถอะ แต่ว่าจงละสังโยชน์ให้ได้ อย่าถือตัวถือตนว่าเคยเป็นอะไรมา เคยศึกษามาจากไหน มีความรู้ขนาดไหน และจงเอาใจไปวัดใจของเราว่า สังโยชน์ตัวใดบ้างที่อยู่ในจิตของเรา ถ้ายังปรากฎว่ามีสังโยชน์ตัวใดหรือข้อใด ที่ใจเรายังข้องอยู่ จงทราบว่าเรายังเลวอยู่มาก จงสังวรในเรื่องนี้ให้ดี
วันนี้จะพูดถึง
อรหัตมรรค สำหรับอรหัตมรรคคือผู้ปฏิบัติ เพื่อเข้าถึงความเป็นพระอรหัตผล เพื่อตัดกิเลสทั้งสิ้นให้หมดไปจากจิตของเรา เราก็ยังเหลือจากอนาคามีผลอีก 5 ข้อ นั่นก็คือ
1. รูปราคะ ได้แก่การติดอยู่ในรูปฌาน
2. อรูปราคะ ได้แก่การติดอยู่ในอรูปฌาน
3. มานะ การถือตัวถือตน
4. อุทธัจจะ มีอารมณ์ฟุ้ง
5. อวิชชา ความโง่
ท่านทั้งหลายอาจจะยังคิด ว่าในเมื่อเป็นพระอนาคามีแล้วยังโง่อีกหรือ ก็ต้องตอบว่ายังมีความโง่อยู่ พระอนาคามีตัดกิเลสหยาบได้หมด แต่ทว่ากิเลสที่ละเอียดที่เป็น
อนุสัย ยังมีอยู่ในใจของตน คือยังมีความเมาอยู่ในฌานสมาบัติ คือใน
รูปฌานและอรูปฌาน ยังมีการถือตัวถือตน ถือไม่มากถือน้อย ก็ถือว่ายังถืออยู่ ยังใช้ไม่ได้ ยังมี
อารมณ์ฟุ้ง คือ นอกเหนือไปจากอารมณ์ของพระนิพพาน ยังมีการติดคือว่า
ฉันทะและราคะ อยู่ในสักกายทิฏฐิบางประการ
อาการทั้งหมดนี้ถึงแม้ว่าจะเป็นอารมณ์เบาก็ยังถือว่าโง่ โง่ตรงไหน โง่ตรงที่ว่าตนเองยังไม่เสร็จกิจ ยังมีภารกิจที่จะต้องทำแต่กลับทะนงตนว่าเป็นผู้ประเสริฐ ถ้าใช้ภาษาไทยแท้เขาเรียกว่าโง่บัดซบ อย่าลืมนะ ว่าพระอนาคามีนี่ยังโง่ จงอย่าติดโง่ วันนี้ได้ยินเสียงโง่ปรากฎ เสียงนี้จงทิ้งไป อย่าให้เข้ามาอยู่ในสมาคมและสังคมนี้ เพราะว่าที่นี่ต้องการอย่างเดียวคือ อารมณ์ของความบริสุทธิ์ของจิต ถ้าจิตบริสุทธิ์ เสียงมันก็บริสุทธิ์ อาการที่ออกทางกายก็บริสุทธิ์ วาจาก็บริสุทธิ์เพราะว่าอารมณ์บริสุทธิ์ ในเมื่อเราเข้าถึงพระอนาคามิผลแล้ว เราจะปฏิบัติตน แบบไหน
นี่วันนี้ผมจะพูดอรหัตมรรคเพียงย่อๆ เพราะว่าผลแห่งการปฏิบัติอยู่ที่ความพากเพียร เอาจริงเอาจัง จงใช้จิตพิจารณาจิตไว้เสมอ การศึกษาในพระพุทธศาสนา ศึกษาเฉพาะโดยตรงในด้านของจิต ถ้าจิตของเราดี ทุกอย่างมันดีหมด ไม่มีอะไรเลว ถ้าจิตของเราเลว ทุกอย่างมันก็เลวหมดเหมือนกัน จงจำไว้ให้ดีว่า
“อัตตนา โจทยัตตานัง” จงกล่าวโทษโจทก์ความชั่วจิตของเราไว้เสมอ จงอย่าคิดว่าเราดี ถ้าเรามีความเห็นว่าเราดีเมื่อไหร่ เราก็เลวเมื่อนั้น ตอนนี้เรามาพูดกันถึงการเข้าถึงความเป็นอรหัตมรรค
เมื่อได้อนาคามิผลแล้ว ก็มานั่งพิจารณาอาการของฌานสมาบัติ ทั้งรูปฌานและอรูปฌาน สำหรับรูปฌานเป็นอาการทรงอารมณ์ดี อาจจะอารมณ์หนักแน่นหนักหน่วง อารมณ์ทรงตัว และอรูปฌาน มีอารมณ์เบา โปร่งดี จิตไม่ติดอยู่ใน
อากาสานัญจายตนะ หมายความว่าเราไม่เห็นอะไรเป็นสภาวะ เป็นตัวเป็นตน มันมีสภาพโล่งสบาย
วิญญาณัญจายตนะ เราไม่มองเห็นว่าอะไรเป็นสภาพเป็นตัวเป็นตน มันมีสภาพเป็นนามธรรม บ้านก็พัง คนก็พัง วัตถุก็พัง ดี จิตสบาย
อากิญจัญญายตนะ เราเห็นว่าสภาพของโลกทั้งหมดมันไม่มีอะไรเหลือ จิตเป็นสุขดี สบาย
เนวสัญญานาสัญญายตนะ เราไม่ยึดอะไรมันทั้งหมด เป็นคนมีความจำเหมือนกับมีสภาพจำไม่ได้ ไม่ติดในอะไรทุกอย่าง จุดนี้แหละท่าน ทั้งรูปฌานที่มีอาการอารมณ์ทรงเข้าถึงอุเบกขารมณ์ เช่น ฌาน 4 มีเอกัคคตากับอุเบกขา เหลือตัวนิดเดียวคิดว่าเป็นอรหันต์ เพราะว่ามันกดนิวรณ์คือกดกิเลสเข้าไว้ แต่มีอารมณ์หนัก
สำหรับอรูปฌาน ตัดเบาไปหมด ลอยตัว คิดว่าไม่มีอะไรเหลือแล้ว เราไม่ติดวัตถุธาตุทั้งหมด แม้แต่ร่างกายของเรา ใจเป็นสุข ยังคิดว่านี่คือพระนิพพาน เสร็จ ถ้าคิดอย่างนี้ก็จมปรัง เป็นความโง่ เราจงตั้งจิตคิดว่ารูปฌานก็ดี อรูปฌานก็ดี เป็นบันไดสำหรับเราจะก้าวหรือว่าเป็นนั่งร้านสำหรับเราจะขึ้นไปชั้นสูง คืออารมณ์ของพระนิพพานแท้ๆ ได้แก่อรหัตผล
ฉะนั้นเราจะไม่เมาในรูปฌานและอรูปฌาน แต่ว่าไม่ใช่ทิ้งรูปฌานและอรูปฌาน เราจะใช้รูปฌานและอรูปฌานเป็นประจำวันตลอด 24 ชั่วโมง หมายความว่า ถ้าตื่นอยู่เพียงใด เราจะทรงฌานไว้เป็นปกติ จะกิน จะนอน จะนั่ง จะเดิน จะพูด จะคุย ดูหนังสือหนังหา ทำกิจการงาน จิตทรงอยู่ในรูปฌาน หรืออรูปฌานที่เราคล่องอยู่ จงอย่าวางฌานเสีย ผมบอกแล้วว่าฌานคือชิน
ผมไม่นิยม คนที่เก่งฌานในการเข้านั่งหลับตาขัดสมาธิ ถ้าได้เพียงเท่านั้น ลืมตาฌานเคลื่อน อย่างนี้ผมยังถือว่าเลวมาก ยังเป็นผู้เข้าไม่ถึงฌาน ผู้มีอารมณ์ฌานจะต้องทรงอยู่ทุกอิริยาบถ อารมณ์จิตจะเป็นกุศลในตัวละอยู่เสมออย่างนี้เขาเรียกว่า ผู้ทรงฌาน ทรงฌานได้อย่างนี้พระพุทธเจ้ายังไม่ถือว่าดี คือถือว่าเป็นตัวหน่วงเหนี่ยว เหนี่ยวรั้งหรือดึงเข้าไว้ได้แก่สังโยชน์ ฉะนั้นเราจะไม่เห็นว่ารูปฌานและอรูปฌาน เป็นจุดจบแห่งกิจที่เราจะพึงปฏิบัติ เราจะก้าวต่อไป ทรงกำลังใจไว้ในฌานและก็หันไปจับ มานะ เพราะรูปฌานและอรูปฌานนี่เป็นของไม่ยาก
มานะ ความถือตัวถือตน ถือเราถือเขา ถือพวกถือพ้อง ถือพี่ถือน้อง ถือว่าเราดีกว่าเขา เราเลวกว่าเขา เราเสมอเขา เราเป็นลูกศิษย์สำนักโน้น เราเป็นลูกศิษย์สำนักนี้ เรามีความรู้ชั้นนี้ มีความรู้ชั้นนั้น นี่มันเป็นความเลวของจิต เป็นอารมณ์ของคนที่โง่บัตซบเท่านั้นจะมีความรู้สีกอย่างนี้ เพราะอะไรจึงว่าอย่างนั้น มันถือตัวถือตน ถืออะไรกันล่ะ ความรู้ที่เรามีอยู่พาเราไปนิพพานได้มั้ย สำนักที่เราปฏิบัติพาเราไปนิพพานได้ไหม ครูบาอาจารย์ผู้สอนพาเราไปนิพพานได้ไหม ถ้าพาไปได้ละก็ พระพุทธเจ้าพาไปแล้วทุกคน สมเด็จพระทศพลทรงตรัสว่า
“อักขาตาโร ตถาคตา” ตถาคตน่ะเป็นแต่เพียงผู้บอกเท่านั้น ท่านจะไปไหนนั่นมันเรื่องของท่าน ไม่ใช่เรื่องของตถาคต จะดีจะชั่วมันเป็นเรื่องของท่าน
มีต่อ หนังสือ คู่มือปฎิบัติวัดท่าซุง เล่ม 1 อานาปานุสสติกรรมฐาน ตอนที่ 17.2 https://ppantip.com/topic/43158182
หนังสือ คู่มือปฎิบัติวัดท่าซุง เล่ม 1 อานาปานุสสติกรรมฐาน ตอนที่ 17.1
ณ โอกาสนี้บรรดาท่านสาธุชนพุทธบริษัททั้งหลาย และพระโยคาวจรทั้งหลาย ได้พากันสมาทานศีล สมาทานพระกรรมฐานแล้ว ต่อแต่นี้ไปขอท่านทั้งหลายตั้งใจสดับ อารมณ์ของพระอรหัตมรรค ในขณะที่ท่านทั้งหลายตั้งใจสดับ จงตั้งใจฟังด้วยจิตเป็นสมาธิ คำว่า สมาธิ คือมีอารมณ์ตั้งมั่นไปตามกระแสเสียงที่รับฟังและก็ใช้ปัญญาพิจารณาไปด้วย
คำว่า อรหัตมรรค ย่อมหมายความว่า ท่านผู้ปฏิบัติเพื่อเข้าถึงความเป็นพระอรหันต์ มรรค นี่เขาแปลว่า เดิน เดินไปเพื่อความหมดกิเลสอย่างสิ้นเชิง ขอให้บรรดาท่านทั้งหลายทบทวนอารมณ์เดิมมาเสียก่อน ว่าการที่เราศีกษาพระกรรมฐานมาตั้งแต่ต้น คือตั้งแต่ขณิกสมาธิ อุปจารสมาธิ ฌานสมาบัติ และพระโสดาบัน สกิทาคามี อนาคามี ส่วนต่างๆ ทั้งหลายเหล่านี้เราละอะไรกันได้บ้าง ถอยหลังไปโดยเฉพาะ สำหรับอารมณ์สมาธิ มีอารมณ์ฌานเป็นต้น นั่นเราหมายความว่าเรามีอารมณ์ชนะนิวรณ์ 5 ประการ นิวรณ์ 5 ประการไม่สามารถจะเป็นเจ้านายใจของเราได้ ถือว่าเราเป็นผู้ชนะ เมื่อเป็นผู้ชนะนิวรณ์แล้วก็จงเป็นผู้ชนะตลอดไป อย่ากลับเป็นผู้แพ้ จงอย่าติดอารมณ์เดิม
นี่ผมขอทวนต้น อารมณ์เดิมที่เคยศีกษามาจากไหน ติดตำรับตำรา ดูเหมือนว่าวันนี้จะได้ยินเสียงแว่วๆ ว่านักติดตำราจะปรากฎขึ้น นั่นระวังตัวให้ดี จงอย่าติดตำรา คำว่าตำรานั่นน่ะติดได้ จงมีปัญญาเท่าเทียมกับตำรา โดยเฉพาะอย่างยิ่ง จงมุ่งอย่างเดียวคือการตัดกิเลส เพราะว่าการติดตำราเป็นปัจจัยให้ไปสู่อบายภูมิ เป็นเหตุถือตัวถือตน นั่นเป็นส่วนของบุคคลที่ตกอยู่ในอารมณ์ของโลกียวิสัยเต็มร้อยเปอร์เซ็นต์ ไม่ได้มีส่วนความเป็นพระอยู่เลย
ประการที่ 2 เมื่อเราอ่านตำราแล้ว จงใช้ปัญญาพิจารณาตำรา ว่านิวรณ์ 5 มีอะไรบ้าง ทำไมเราจึงจะชนะนิวรณ์ 5 ได้ นี่ทวนอารมณ์ต้นนะ อารมณ์ฌานเป็นเครื่องฆ่านิวรณ์ แต่การทรงฌานสมาบัติเป็นของดีแต่ว่าดีเล็ก คำว่าดีเล็กก็คือไม่สามารถจะทำตนให้พ้นจากอบายภูมิได้ ต่อมาก็มีอารมณ์พระโสดาบันเป็นเขตแห่งพระนิพพาน คือท่านผู้ใดที่เข้าถึงพระโสดาบันย่อมไม่ถือมงคลตื่นข่าว ไม่ติดโน่นไม่ติดนี่ มีใจติดเฉพาะคือจับอารมณ์ความชั่วของตัวเท่านั้น เราเรียนกันมาถึงพระอนาคามี ได้แก่
1. สักกายทิฏฐิ เราไม่ติดในกาย
2. วิจิกิจฉา เราไม่สงสัยในคำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
3. สีลัพตปรามาส เราจะเป็นผู้มั่นคงในศีล
4. กามราคะ เราไม่ติดในกามารมณ์ ละได้เลย และก็
5. ปฏิฆะ อารมณ์ของเราจะไม่ยุ่งกับอารมณ์ใดๆ ที่เป็นอิฏฐารมณ์และอนิฏฐารมณ์ คือเป็นอารมณ์ที่ปรารถนาและไม่ปรารถนา
นี่หลักสูตรที่เราศึกษากันมามีเท่านี้ ได้ถึงเพียงนี้ท่านชื่อว่า เป็นพระอนาคามี ฉะนั้นตำราอ่านก็อ่านเถอะ แต่ว่าจงละสังโยชน์ให้ได้ อย่าถือตัวถือตนว่าเคยเป็นอะไรมา เคยศึกษามาจากไหน มีความรู้ขนาดไหน และจงเอาใจไปวัดใจของเราว่า สังโยชน์ตัวใดบ้างที่อยู่ในจิตของเรา ถ้ายังปรากฎว่ามีสังโยชน์ตัวใดหรือข้อใด ที่ใจเรายังข้องอยู่ จงทราบว่าเรายังเลวอยู่มาก จงสังวรในเรื่องนี้ให้ดี
วันนี้จะพูดถึง อรหัตมรรค สำหรับอรหัตมรรคคือผู้ปฏิบัติ เพื่อเข้าถึงความเป็นพระอรหัตผล เพื่อตัดกิเลสทั้งสิ้นให้หมดไปจากจิตของเรา เราก็ยังเหลือจากอนาคามีผลอีก 5 ข้อ นั่นก็คือ
1. รูปราคะ ได้แก่การติดอยู่ในรูปฌาน
2. อรูปราคะ ได้แก่การติดอยู่ในอรูปฌาน
3. มานะ การถือตัวถือตน
4. อุทธัจจะ มีอารมณ์ฟุ้ง
5. อวิชชา ความโง่
ท่านทั้งหลายอาจจะยังคิด ว่าในเมื่อเป็นพระอนาคามีแล้วยังโง่อีกหรือ ก็ต้องตอบว่ายังมีความโง่อยู่ พระอนาคามีตัดกิเลสหยาบได้หมด แต่ทว่ากิเลสที่ละเอียดที่เป็น อนุสัย ยังมีอยู่ในใจของตน คือยังมีความเมาอยู่ในฌานสมาบัติ คือใน รูปฌานและอรูปฌาน ยังมีการถือตัวถือตน ถือไม่มากถือน้อย ก็ถือว่ายังถืออยู่ ยังใช้ไม่ได้ ยังมีอารมณ์ฟุ้ง คือ นอกเหนือไปจากอารมณ์ของพระนิพพาน ยังมีการติดคือว่า ฉันทะและราคะ อยู่ในสักกายทิฏฐิบางประการ
อาการทั้งหมดนี้ถึงแม้ว่าจะเป็นอารมณ์เบาก็ยังถือว่าโง่ โง่ตรงไหน โง่ตรงที่ว่าตนเองยังไม่เสร็จกิจ ยังมีภารกิจที่จะต้องทำแต่กลับทะนงตนว่าเป็นผู้ประเสริฐ ถ้าใช้ภาษาไทยแท้เขาเรียกว่าโง่บัดซบ อย่าลืมนะ ว่าพระอนาคามีนี่ยังโง่ จงอย่าติดโง่ วันนี้ได้ยินเสียงโง่ปรากฎ เสียงนี้จงทิ้งไป อย่าให้เข้ามาอยู่ในสมาคมและสังคมนี้ เพราะว่าที่นี่ต้องการอย่างเดียวคือ อารมณ์ของความบริสุทธิ์ของจิต ถ้าจิตบริสุทธิ์ เสียงมันก็บริสุทธิ์ อาการที่ออกทางกายก็บริสุทธิ์ วาจาก็บริสุทธิ์เพราะว่าอารมณ์บริสุทธิ์ ในเมื่อเราเข้าถึงพระอนาคามิผลแล้ว เราจะปฏิบัติตน แบบไหน
นี่วันนี้ผมจะพูดอรหัตมรรคเพียงย่อๆ เพราะว่าผลแห่งการปฏิบัติอยู่ที่ความพากเพียร เอาจริงเอาจัง จงใช้จิตพิจารณาจิตไว้เสมอ การศึกษาในพระพุทธศาสนา ศึกษาเฉพาะโดยตรงในด้านของจิต ถ้าจิตของเราดี ทุกอย่างมันดีหมด ไม่มีอะไรเลว ถ้าจิตของเราเลว ทุกอย่างมันก็เลวหมดเหมือนกัน จงจำไว้ให้ดีว่า “อัตตนา โจทยัตตานัง” จงกล่าวโทษโจทก์ความชั่วจิตของเราไว้เสมอ จงอย่าคิดว่าเราดี ถ้าเรามีความเห็นว่าเราดีเมื่อไหร่ เราก็เลวเมื่อนั้น ตอนนี้เรามาพูดกันถึงการเข้าถึงความเป็นอรหัตมรรค
เมื่อได้อนาคามิผลแล้ว ก็มานั่งพิจารณาอาการของฌานสมาบัติ ทั้งรูปฌานและอรูปฌาน สำหรับรูปฌานเป็นอาการทรงอารมณ์ดี อาจจะอารมณ์หนักแน่นหนักหน่วง อารมณ์ทรงตัว และอรูปฌาน มีอารมณ์เบา โปร่งดี จิตไม่ติดอยู่ใน อากาสานัญจายตนะ หมายความว่าเราไม่เห็นอะไรเป็นสภาวะ เป็นตัวเป็นตน มันมีสภาพโล่งสบาย วิญญาณัญจายตนะ เราไม่มองเห็นว่าอะไรเป็นสภาพเป็นตัวเป็นตน มันมีสภาพเป็นนามธรรม บ้านก็พัง คนก็พัง วัตถุก็พัง ดี จิตสบาย อากิญจัญญายตนะ เราเห็นว่าสภาพของโลกทั้งหมดมันไม่มีอะไรเหลือ จิตเป็นสุขดี สบาย เนวสัญญานาสัญญายตนะ เราไม่ยึดอะไรมันทั้งหมด เป็นคนมีความจำเหมือนกับมีสภาพจำไม่ได้ ไม่ติดในอะไรทุกอย่าง จุดนี้แหละท่าน ทั้งรูปฌานที่มีอาการอารมณ์ทรงเข้าถึงอุเบกขารมณ์ เช่น ฌาน 4 มีเอกัคคตากับอุเบกขา เหลือตัวนิดเดียวคิดว่าเป็นอรหันต์ เพราะว่ามันกดนิวรณ์คือกดกิเลสเข้าไว้ แต่มีอารมณ์หนัก
สำหรับอรูปฌาน ตัดเบาไปหมด ลอยตัว คิดว่าไม่มีอะไรเหลือแล้ว เราไม่ติดวัตถุธาตุทั้งหมด แม้แต่ร่างกายของเรา ใจเป็นสุข ยังคิดว่านี่คือพระนิพพาน เสร็จ ถ้าคิดอย่างนี้ก็จมปรัง เป็นความโง่ เราจงตั้งจิตคิดว่ารูปฌานก็ดี อรูปฌานก็ดี เป็นบันไดสำหรับเราจะก้าวหรือว่าเป็นนั่งร้านสำหรับเราจะขึ้นไปชั้นสูง คืออารมณ์ของพระนิพพานแท้ๆ ได้แก่อรหัตผล
ฉะนั้นเราจะไม่เมาในรูปฌานและอรูปฌาน แต่ว่าไม่ใช่ทิ้งรูปฌานและอรูปฌาน เราจะใช้รูปฌานและอรูปฌานเป็นประจำวันตลอด 24 ชั่วโมง หมายความว่า ถ้าตื่นอยู่เพียงใด เราจะทรงฌานไว้เป็นปกติ จะกิน จะนอน จะนั่ง จะเดิน จะพูด จะคุย ดูหนังสือหนังหา ทำกิจการงาน จิตทรงอยู่ในรูปฌาน หรืออรูปฌานที่เราคล่องอยู่ จงอย่าวางฌานเสีย ผมบอกแล้วว่าฌานคือชิน ผมไม่นิยม คนที่เก่งฌานในการเข้านั่งหลับตาขัดสมาธิ ถ้าได้เพียงเท่านั้น ลืมตาฌานเคลื่อน อย่างนี้ผมยังถือว่าเลวมาก ยังเป็นผู้เข้าไม่ถึงฌาน ผู้มีอารมณ์ฌานจะต้องทรงอยู่ทุกอิริยาบถ อารมณ์จิตจะเป็นกุศลในตัวละอยู่เสมออย่างนี้เขาเรียกว่า ผู้ทรงฌาน ทรงฌานได้อย่างนี้พระพุทธเจ้ายังไม่ถือว่าดี คือถือว่าเป็นตัวหน่วงเหนี่ยว เหนี่ยวรั้งหรือดึงเข้าไว้ได้แก่สังโยชน์ ฉะนั้นเราจะไม่เห็นว่ารูปฌานและอรูปฌาน เป็นจุดจบแห่งกิจที่เราจะพึงปฏิบัติ เราจะก้าวต่อไป ทรงกำลังใจไว้ในฌานและก็หันไปจับ มานะ เพราะรูปฌานและอรูปฌานนี่เป็นของไม่ยาก
มานะ ความถือตัวถือตน ถือเราถือเขา ถือพวกถือพ้อง ถือพี่ถือน้อง ถือว่าเราดีกว่าเขา เราเลวกว่าเขา เราเสมอเขา เราเป็นลูกศิษย์สำนักโน้น เราเป็นลูกศิษย์สำนักนี้ เรามีความรู้ชั้นนี้ มีความรู้ชั้นนั้น นี่มันเป็นความเลวของจิต เป็นอารมณ์ของคนที่โง่บัตซบเท่านั้นจะมีความรู้สีกอย่างนี้ เพราะอะไรจึงว่าอย่างนั้น มันถือตัวถือตน ถืออะไรกันล่ะ ความรู้ที่เรามีอยู่พาเราไปนิพพานได้มั้ย สำนักที่เราปฏิบัติพาเราไปนิพพานได้ไหม ครูบาอาจารย์ผู้สอนพาเราไปนิพพานได้ไหม ถ้าพาไปได้ละก็ พระพุทธเจ้าพาไปแล้วทุกคน สมเด็จพระทศพลทรงตรัสว่า “อักขาตาโร ตถาคตา” ตถาคตน่ะเป็นแต่เพียงผู้บอกเท่านั้น ท่านจะไปไหนนั่นมันเรื่องของท่าน ไม่ใช่เรื่องของตถาคต จะดีจะชั่วมันเป็นเรื่องของท่าน
มีต่อ หนังสือ คู่มือปฎิบัติวัดท่าซุง เล่ม 1 อานาปานุสสติกรรมฐาน ตอนที่ 17.2 https://ppantip.com/topic/43158182