หนังสือ คู่มือปฎิบัติวัดท่าซุง เล่ม 1 อานาปานุสสติกรรมฐาน ตอนที่ 14.1

อานาปานุสสติกรรมฐาน ตอนที่ 14

ท่านสาธุชนพุทธบริษัททั้งหลาย และพระโยคาวจรทั้งหลาย สำหรับวันนี้เวลานี้ท่านทั้งหลายได้พากันสมาทานศีล พากันสมาทานพระกรรมฐานแล้ว ต่อแต่นี้ไปขอบรรดาท่านทั้งหลาย ตั้งใจสดับคำแนะนำในการเจริญพระกรรมฐาน โดยเฉพาะอย่างยิ่งวันนี้เป็นวันสรุปของพระสกิทาคามี ความจริงจะว่าสรุปทั้งพระโสดาบันและสกิทาคามีก็ได้ ถ้าพูดกันตามส่วนแล้ว ผมก็ไม่น่าจะพูดยาวมาถึงเพียงนี้ น่าจะพูดเพียงสั้นๆ ก็สามารถจะปฏิบัติกันได้ แต่ทว่าที่ต้องพูดยาวก็เผื่อไว้ แต่สำหรับท่านที่มีกำลังใจหรือบารมีเป็น อุคฆฏิตัญญู ก็คงจะรำคาญ เพราะพูดกันเยิ่นเย้อนานเกินไป สำหรับท่านที่มีกำลังใจเป็น วิปจิตัญญู อย่างนี้ก็เห็นว่าจะพอรับฟังได้ เพราะต้องการคำอธิบาย สำหรับท่านที่มีนิสัยเป็น เนยยะ ก็จะรู้สึกว่าสูงเกินไปหน่อย เพราะว่าเนยยะนี่ไม่สามารถจะเป็นพระอริยเจ้าได้ จะได้แค่แต่เพียงว่า เข้าถึงไตรสรณคมน์ก็ยังดี สำหรับท่านที่เป็น ปทปรมะ จะรำคาญมาก เพราะบุคคลประเภทนี้ตายแล้วต้องลงนรก ทางที่จะเกิดเป็นมนุษย์ เป็นเทวดา เป็นพรหม ไปนิพพานน่ะไม่ได้ เพราะว่ามีนิสัยมาจากสัตว์ในอบายภูมิ

คนนี่พระพุทธเจ้าแบ่งออกเป็น 4 พวก ที่ท่านแบ่งนั้นไม่ได้แบ่งเอง แบ่งด้วยอำนาจสัพพัญญูวิสัย คือรู้เอง ว่าอุคฆฏิตัญญู มีบารมีมากคือปัญญาดี พูดแต่เพียงหัวข้อก็เข้าใจ
วิปจิตัญญู ต้องอธิบายถ้าพูดย่อไม่เข้าใจ
เนยยะ จะสอนแบบไหนก็ตาม จะเป็นพระอริยเจ้าไม่ได้ จะได้แต่แค่ไตรสรณาคมน์

สำหรับ ปทปรมะ นี่พวกตากระทู้หูกระทะ สอนยังไงก็เอาดีไม่ได้ เพราะว่ามีความรู้สึกตัวอยู่เสมอว่า ตัวเป็นคนฉลาด นั่นก็คือความโง่บัดซบ ที่ช่วยเหลืออะไรไม่ได้เลย

สำหรับต่อแต่นี้ไป ก็จะขอเตือนท่านไว้สักนิดหนึ่ง สิ่งที่เตือนนี่มีความสำคัญ นั่นก็คือ การที่จะก้าวเข้าไปสู่ความเป็นพระอริยเจ้า จะต้องมีกำลังฌานเป็นปรกติ คำว่า ฌาน ผมเคยพูดไว้แล้วก็คือชิน ชินต่ออารมณ์ที่เราต้องการจะละ ชินกับอารมณ์ที่เราต้องการตัด ให้ใจมันจับอยู่อย่างนั้นจนชิน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ชินอยู่ในอานาปานุสสติกรรมฐาน เพราะว่าเวลานี้เราพูดกันถึงหมวดอานาปา ชินอยู่ในอานาปานุสสติกรรมฐาน ท่านจะปฎิบัติกรรมฐานหมวดใดก็ตาม ถ้ากำลังใจของท่านไม่ชินอานาปานุสสติกรรมฐาน ผมก็ขอบอกได้ว่าโอกาสที่ท่านจะทรงฌานแม้แต่ฌานโลกีย์มันก็ไม่มี อารมณ์ใดที่เป็นอกุศลอย่าให้มันเข้ามายุ่งกับใจ ใจรักษาอยู่เฉพาะอารมณ์ของลมหายใจเข้าออกเป็นปกติ ถ้าภาวนาด้วย กองไหนล่ะ…เราชอบพุทธานุสสติกรรมฐาน เราก็ใช้พุทธานุสสติกรรมฐานเป็นปกติ แล้วก็ใช้อารมณ์พิจารณาตามอารมณ์ที่เราต้องการตัด การทรงอานาปานุสสติก็ดี พุทธานุสสติกรรมฐานก็ดี เป็นการทรงอารมณ์ใจให้มีกำลังใจที่เรียกว่า ฌาน คือหมายความว่า เราจะไม่ยอมให้จิตของเราว่างจากความดี เมื่อจิตมันไม่ว่างจากความดี ความชั่วมันก็เข้าไม่ได้ ที่ใจของเรายังชั่วก็เพราะว่า จิตมันเปิดโอกาสให้ความชั่วเข้ามายุ่งกับใจ เรื่องของชาวบ้านอื่นใดอย่าไปยุ่ง ทั้งวันทั้งคืนจงยุ่งอยู่แต่อารมณ์ใจของเรา โดยเฉพาะ นิสสัมมะ กะระณัง เสยโย พระพุทธเจ้าตรัสว่า จงใคร่ครวญเสียก่อนแล้วจึงทำ แล้วจึงพูด จะทำก็ดี จะพูดก็ดี ใคร่ครวญเสียก่อนว่าควรหรือไม่ควร อันนี้...ในสำนักของเรายังมีอยู่ ที่ประเภทปากไม่มีหูรูดนี่ยังมี ขอได้โปรดยับยั้งชั่งใจเสีย รู้สึกตัวว่าเวลานี้เราเป็นสมณะ คำว่า สมณะ แปลว่า ผู้มีความชั่วลอยทิ้งไปแล้ว หรือว่าแปลว่าเป็นผู้สงบ คือสงบจากความชั่ว ไอ้ปากชั่ว ทำชั่ว คิดชั่วนั้น เลิกกัน อยู่ด้วยความสงบสงัด

ตอนนี้ก็มาพูดกันถึงสรุป วันนี้ก็จะพูดถึง โมหะของสกิทาคามี ถ้าตัดทางเข้าถึงโมหะของสกิทาคามีก็เป็นพระสกิทาคามีผล แต่ว่าจะเป็นผลหรือไม่เป็นผลนั้น ผมก็ไม่ทราบ แต่ผมคิดจริงๆ ตามความรู้สึกของผม ว่าขั้นพระโสดาบัน สกิทาคามี นี้ไม่มีอะไรยาก สำหรับคนเอาจริง คนเอาจริงนี้ไม่มีอะไรยาก ไม่ต้องใช้กาลเวลาอะไรเลย เพราะว่าถ้าเรารักษาศีล 227 สิกขาบทครบถ้วน อันนี้มันหนักพออยู่แล้ว เราแบกกำลังใจของเราพอ และโดยเฉพาะอย่างยิ่งเราฟังกันมาทุกวัน เฉพาะธรรมะและระเบียบวินัย นั่นการที่ให้ฟังน่ะ เขาให้ฟังเพื่อทำกำลังใจให้เป็นพระอริยเจ้า แต่ทว่าพอเปิดเสียงธรรมะก็ดี เปิดเสียงสมาทานก็ดี เราก็เอาใจไปจดจ่ออยู่อย่างอื่น นั่นเป็นความเลวของเรา ไม่ใช่ความเลวของพระศาสนา เป็นอันว่าต่อแต่นี้ไป ฟังกันฟังแล้วก็คิด

โมหะ แปลว่า ความหลง แต่ผมขอแปลว่าความโง่ ใครเขาจะว่าผมแปลผิดก็ช่าง ถ้าคนไม่โง่มันจะหลงได้ยังไง คนที่เขาฉลาดน่ะเขาต้องพิจารณา แม้แต่ทางเดิน เราเคยเดินมาจากทางไหน เลี้ยวทางไหน เขาต้องสังเกตไว้ ที่นี้สำหรับนักปฏิบัติกรรมฐาน อารมณ์ใดที่มันเป็นความชั่ว เรารู้อยู่แล้ว อารมณ์ใดที่มันเป็นความดี เรารู้อยู่แล้ว ถ้าเรายังหลงทำความชั่วอยู่แล้วก็ตอบว่า ผมไม่รู้เลย การกระทำอย่างนี้ผมไม่รู้ว่าผิด นั่นมันชั่วอย่างสาหัส โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ฟังคำสอนทุกวัน แล้วยังชั่วอยู่อีก แล้วจะมีคำว่าดีตรงไหน นี่คนที่มีโมหะที่ผมแปลว่าโง่ ก็เพราะไอ้ตัวนี้แหละ มันโง่มันจึงหลง ถ้าไม่โง่ไม่หลง โมหะไม่ต้องอธิบายกันมาก ถอยหลังกลับไปเลยเป็นปฏิโลม เราก้าวเข้ามาในความเป็นพระอริยเจ้า

สำหรับพระสกิทาคามี มีอะไร
1. บรรเทาความรักในระหว่างเพศ
2. บรรเทาความโลภในลาภ ทรัพย์สิน 
3. บรรเทาความโกรธ ความพยาบาท 
4. บรรเทาความหลง

นี่สำหรับนักปราชญ์ เขาก็จะหาว่าไอ้ผมนี่มันยิ่งโง่หมา เพราะไอ้ความรัก กับความโลภมันเป็นตัวเดียวกัน แต่ที่ผมแยก ก็แยกกันความเข้าใจผิดของพวกท่าน เราก็มานั่งคิด ทำให้อารมณ์มันชินสิ จับอานาปานุสสติกรรมฐานกับพุทธานุสสติกรรมฐานให้ใจมันสบาย เราทำกันนี่ทำเพื่อให้ใจสบาย แต่ว่าทั้งสองอย่างนั้นจับเฉยๆ เป็นใจสบายในด้านของสมถภาวนา ที่นี้เราเอามาสบายกันในด้านของวิปัสสนาภาวนาด้วย เพราะว่าสบายในขั้นสมถภาวนามันสบายเดี๋ยวเดียว ประเดี๋ยวมันก็เลิกสบาย มาสบายในขั้นวิปัสสนาภาวนา เราไปนั่งไล่เบี้ยอีกนิดหนึ่ง ว่าพระโสดาบันกับพระสกิทาคามีนี่พระพุทธเจ้าท่านว่ายังไง มีอารมณ์ใจเป็นอะไรบ้าง

ท่านบอกว่า พระโสดาบันกับพระสกิทาคามีเป็นผู้ทรงอธิศีล คือมีศีลมั่นคง มีสมาธิพอสมควร ไม่หนัก และก็มีปัญญาเล็กน้อย จำให้ดีนะ มีความมั่นคงในศีล มีสมาธิพอสมควร มีปัญญาเล็กน้อย นี่ยังไม่มาก ถ้าผมจะพูดสักนิดหนึ่ง ท่านจะหาว่าฟุ้งก็ตามใจ ผมขอพูดว่าถ้านักบวชที่เป็นสมณะจริงๆ พระโสดาบันกับสกิทาคามี อนาคามี อารมณ์ 2 ประการนี่เขาถือว่าเป็นอารมณ์เด็กเล่น ทำไมจึงว่าอย่างนั้น เพราะเราบวช เป็นอุบาสกอุบาสิกา เรามุ่งมั่นอยู่ในศีลแล้ว ถ้าเรามีศีลเป็นสีลานุสสติกรรมฐาน จนกระทั่งเป็นอารมณ์ฌาน นึกถึงความตายเป็นอารมณ์ มีความนิยมนิพพานเป็นที่ไป เท่านี้ก็หมดเรื่อง ไม่เห็นมีอะไร ไอ้ตัวรักในเพศ ตัวโลภ ตัวโกรธ ตัวหลง มันจะมายังไง มันมาไม่ได้ เพราะใจเรามีความมั่นคงในอารมณ์ของสมาธิ ในพุทธานุสสติ ในสีลานุสสติ ในมรณานุสสติ ในอุปสมานุสสติ แล้วตัวความชั่วมันไหลเข้ามาถึงใจได้ยังไง

มาคุยกันต่อไปสักนิดหนึ่ง โมหะ ตัดความหลง หลงตรงไหน หลงคิดว่าเราจะไม่แก่ หลงคิดว่าเราจะไม่ป่วย หลงคิดว่าเราจะไม่ตาย เอาตรงนี้กันก่อน ทีนี้เราคิดหรือเปล่าว่าเราจะต้องแก่ เราจะต้องป่วย เราจะต้องตาย เราจะต้องพลัดพรากจากของรักของชอบใจ คิดไว้บ้างหรือเปล่า สังเกตดูให้ดีนะครับ ถ้าคนที่เขาคิดอย่างนี้ล่ะก็ คนนั้นเขาทำแต่ความดี และเขาไม่ไปยุ่งกับกิจการของคนอื่น ใครจะดีจะชั่วช่างเขา เขาจะคุมเฉพาะกำลังใจของเขาโดยเฉพาะ ว่าเขาลืมส่วนนี้แล้วหรือยัง ตอนนี้ถ้าเขาไม่ลืม เขาก็หันไปคว้าความดี ว่ารูปก็ดี เสียงก็ดี กลิ่นก็ดี รสก็ดี สัมผัสก็ดี ทั้งหลายเหล่านี้มันเป็นของดีหรือของชั่ว ก็ต้องตอบได้ว่ามันเป็นของชั่ว การแต่งงานของคนทุกคน เป็นผู้แสวงหาความทุกข์ ทุกข์ที่มันจะพึงได้มา ทีแรกอยากแต่งงานก็ทุกข์ เกรงว่าคนที่เรารักเขาจะไม่รักเรา ไอ้ตัวเกรงตัวนี้มันเป็นตัวทุกข์

มีต่อ หนังสือ คู่มือปฎิบัติวัดท่าซุง เล่ม 1 อานาปานุสสติกรรมฐาน ตอนที่ 14.2 https://ppantip.com/topic/43149901
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่