(ต่อจาก หนังสือ คู่มือปฎิบัติวัดท่าซุง เล่ม 1 อานาปานุสสติกรรมฐาน ตอนที่ 8.1 https://ppantip.com/topic/43126363 )
อานาปานุสสติกรรมฐาน ตอนที่ 8.2
ต่อไปเราก็เกาะติดอารมณ์ ความจริงปฏิปทานี้เป็นปฏิปทาของฝ่ายที่เขากำลังรุกรานประเทศ เขาใช้ เขาใช้ในการรบ แต่นี่เราก็รบเหมือนกัน เรารบกับกิเลส เราก็เป็นทหารเหมือนกัน เป็นทหารในกองทัพธรรมซึ่งมีองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นจอมทัพ นี่ในเมื่อเราลืมจุดเสีย เราก็เกาะติด เกาะติดจุดดี
เราก็มานั่งพิจารณากายของเรา ว่าโอหนอ... กายของเรานี้มันจะทรงอยู่ได้สักกี่วัน วันคืนล่วงไปๆ ชีวิตของเราก็ล่วงไปตามกาล ความหมายในชีวิตไม่มีสำหรับเรา เพราะชีวิตนี้มีสภาพเหมือนกับผีหลอก ร่างกายของคน ร่างกายของสัตว์ วัตถุธาตุทั้งหมด มันมีสภาพเหมือนผีหลอก หลอกตรงไหน เกิดมาเป็นเด็กโตขึ้นมาทีละน้อย ๆ มันก็หลอกเรา หลอกให้เราเห็นว่าโตขึ้นมาๆ พอร่างกายสมบูรณ์ถึงความเป็นหนุ่มสาว มีความเปล่งปลั่ง ตอนนี้มีความปรารถนากันมาก รักกู กูรัก อยากจะเคล้าเคลียอยู่เป็นคู่สามีภรรยาซึ่งกันและกัน ตอนนี้อารมณ์เราก็หลอกอีก หลอกยังไง หลอกเห็นว่าเขาสวย หลอกเห็นว่าเขาดี หลอกเห็นว่าเขาน่ารัก เขามีร่างกายสะอาด สดใส มันหลอก ร่างกายของใครมันดี ร่างกายของใครสวย ร่างกายของใครสะอาด มันมีที่ไหน คนทุกคนมีไหมที่ใครไม่มีอุจจาระ ปัสสาวะ น้ำเลือด น้ำเหลือง น้ำหนอง เสลด น้ำลาย ที่มีอยู่ในร่างกาย บอกมาทีซิว่าร่างกายของใครเขามีอยู่บ้าง ร่างกายเรามีไหม ร่างกายเขามีไหม ถ้ามันมีเหมือนกัน ร่างกายมันก็สกปรกเหมือนกัน แล้วทำไมเราจะไปหลงรักกับสิ่งที่มีสภาพสกปรก มันเลวแสนเลว
นี่อารมณ์นี่เราต้องเกาะติด เกาะติดอารมณ์ให้ทรงตัวว่าร่างกายนี่มันเต็มไปด้วยความสกปรก แล้วมันก็หาความจีรังยั่งยืนไม่ได้ มีความเสื่อม มีความทรุด มีความโทรมไปทุกวันๆ ไม่ช้ามันก็จะมีสภาพการตาย เราตาย เขาตาย อาการตายนี่ ความจริงจิตไม่ได้ตาย แต่กายมันตาย ก็ช่างเถอะ ชาวบ้านเขาถือเราถือเขา เราก็คิดว่าเอ๊ะ...เราก็ตาย เขาก็ตาย ไอ้เราก็สกปรก เขาก็สกปรก มองดูร่างกายนี้มันมีอะไรเป็นนิมิตเครื่องหมายที่จะทรงไว้ซึ่งความดี หาไม่ได้ ไม่มี ไม่มีสภาพใดปรากฎ
ทั้งนี้เพราะอะไร ก็เพราะว่าธาตุ 4 ที่มันคุมเข้ามาเป็นร่างกาย แบ่งเป็นอาการ 32 มันเคลื่อนไปหาความพังเป็นปกติ สภาวะของมันเป็นอย่างนี้ แล้วมันมีอะไรมั้ย ที่เราควรจะยึดถือว่าเป็นเราเป็นของเราต่อไป ที่เรามีความหมายมั่นปั้นมือว่า ร่างกายนี้จะทรงตลอดกาลตลอดสมัย คนที่เรารัก วัตถุที่เรารักที่เราปรารถนา คิดว่าเขาผู้นั้นจะอยู่กับเราตลอดกาลตลอดสมัย เวลาที่เรารักเลือกคนสวยที่เราพอใจ แล้วก็ไปดูหรือเปล่าว่า คนที่เขาเคยสวยมาแล้วแล้วก็หมดสวยมันมีบ้างหรือเปล่า คนที่มีวัยเลยไปแล้วนี่เขาสวยไหม ถ้าเรารักลูกสาวเขา รักลูกชายเขา แล้วก็ดูพ่อดูแม่ ดูปู่ย่าตายายของเขาว่า ถ้าหากว่าสภาวะของเขาเป็นอย่างนั้นจริงๆ เขาหาเรื่องแต่งงานไม่ได้ เพราะแก่โครกแก่ครากแบบนั้นไม่มีใครเขาแต่งงานด้วย
สิ่งที่เขาจะแต่งงานด้วย ก็ต้องเป็นคนสวยเป็นคนดี มีร่างกายแข็งแรงพอ มีความเอิบอิ่มของขันธ์ 5 แต่เวลานี้ เรากำลังรักลูกหญิงลูกชายของเขา อยากจะมีคู่ครอง เห็นว่าร่างกายของเขาสง่าผ่าเผย มีความสวยสดงดงาม เฉพาะสตรีมีความอ่อนช้อย หน้าหวาน พูดดี พูดไพเราะ สภาพอย่างนี้ที่เรามองเห็น มันหลอกหลอนเราเอง ใครหลอก เราหลอก ไม่ใช่ชาวบ้านเขาหลอก เราหลอกเขา เขาหลอกเรา ต่างคนต่างหลอกกัน ร่างกายของเราเต็มไปด้วยความสกปรก ข้างในไม่ต่างกับส้วมเคลื่อนที่ ร่างกายสุภาพบุรุษหรือสตรีที่เรารักก็มีสภาพเหมือนกัน และเราก็ตั้งหน้าตั้งตาหลอกคนอื่น เอาผ้าผ่อนท่อนสไบ เครื่องแพรพรรณทั้งหลายมาหุ้มกายให้มันเก๋ แต่งหน้า แต่งผม แต่งเนื้อ แต่งผิวแต่งพรรณ แต่งไปหาความทุกข์ ไม่ใช่แต่งไปหาความสุข เป็นอันว่าเราจะทำยังไงก็ตาม เขาจะทำยังไงก็ตาม ร่างกายมันก็โทรมเข้าไปหาคนที่แก่กว่าเราอยู่เสมอ
ในเมื่อร่างกายมีสภาพอย่างนี้ ในที่สุดไปถามมนุษย์ตนใดซิว่ามีอายุมาถึงโกฎิปี ล้านปี มีไหม มันก็ไม่มี ไปถามคนทุกคนซิว่า ปู่ย่าตายายญาติผู้ใหญ่ขึ้นไปถึงทวดเทิดมีไหม เขาจะบอกว่าญาติของเขามี แล้วก็ไปถามตัวเขาอีกทีว่า ญาติผู้ใหญ่ของท่านเวลานี้ ท่านมีชีวิตอยู่บ้างหรือเปล่า เขาก็จะบอกว่าตายไปหมดแล้ว นี่เป็นกฎของความจริงที่บรรดาท่านพุทธบริษัทชายหญิง ภิกษุ สามเณร จะต้องคิดถึงคำสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าว่า ร่างกายเราก็ดี
ร่างกายเขาก็ดี วัตถุธาตุทั้งหมดก็ดี ไม่มีอะไรจีรังยั่งยืน มีความเกิดขึ้นในเบื้องต้น มีความแปรปรวนไปในท่ามกลาง มีการสลายตัวไปในที่สุด และร่างกายของแต่ละร่างกาย ก็เต็มไปด้วยความสกปรกโสโครก มันไม่มีอะไรเป็นเราเป็นของเราเสียจริงๆ
ฉะนั้น ขอบรรดาท่านพุทธบริษัทชายหญิง วันนี้ว่ากันแค่อสุภกรรมฐานอย่างเดียวพอ พิจารณาอสุภกรรมฐานกับกายคตานุสสติ พิจารณาให้เห็น ทรงให้เห็น เกาะติดมันจริงๆ เกาะติดตามสภาพความจริงของมัน ลืมอารมณ์หลังที่เรามีความหลง เห็นคนสวย พยายามไปดูถึงบ้านในเวลาที่เขาไม่แต่งตัว ไปดูเวลาที่เขาถ่ายอุจจาระ ปัสสาวะ มันน่ากินน่าดื่มไหม นั่นแหล่ะคนสวยที่เราคิดว่าสวยก็คือ
คนซวย มันจะสวยตรงไหน เต็มไปด้วยความสกปรก จะเอาคำว่าสวยมาจากไหน ถ้าจะถามว่าคนซวยคือใคร ก็คือเรา เรามันซวย เพราะว่าเห็นคนที่สกปรกหาว่าเป็นคนสวย เห็นคนที่มีสภาวะร่างกายไม่ทรงไว้ซึ่งความจีรังยั่งยืน หาว่ายั่งยืน เขาเป็นเช่นใดเราก็เป็นเช่นนั้น เมื่อเป็นอย่างนี้แล้ว เรายังจะโง่เข้าไปรักร่างกายที่มีความสวยสดงดงามตามที่เราคิดด้วยความโง่อีกหรือ เราจะหลงในวัตถุที่เขาแต่งด้วยสีสันวรรณะ เห็นว่าสวยสดงดงาม แต่เนื้อแท้จริงๆ มันเต็มไปด้วยความผุพังเก่าคร่ำคร่าภายใน มันเดินทางเข้าไปหาความสลายตัวของมัน เรายังพอใจอยู่หรือยังไง เป็นอันว่าปลงอารมณ์ใจคิดไว้อย่างนี้ ว่าร่างกายของเราก็ดีของเขาก็ดีมันเต็มไปด้วยความสกปรก และก็ยังไม่มีการจีรังยั่งยืน มันทรุดมันโทรม มันจะสลายตัวไปทุกวัน ในที่สุดเราก็กลายเป็นผีที่ไม่มีใครปรารถนา เมื่ออานาปานุสสติกรรมฐานคือลมปราณสิ้นไป ใครเล่าเขาจะต้องการ
ดูตัวอย่าง
นางสิริมา สวยแสนสวยแต่ทว่าพอตายแล้ว 3 วัน องค์สมเด็จพระทรงธรรม์บรมศาสดาทรงนำพระไปเยี่ยมศพ ไปเยี่ยมศพ คำว่าการเยี่ยมศพของพระพุทธเจ้ามีความหมายที่ให้บรรดาพระทั้งหลายมีความเข้าใจในขันธ์ 5 ว่ามันสกปรก ในที่สุดประกาศขายนางสิริมาพันกหาปนะ ไม่มีใครซื้อ ยกให้เปล่าๆ นางเน่าแล้วไม่มีใครซื้อ ยกให้และแถมเงินให้อีกก็ไม่มีใครเอา นั่นเพราะอะไร ตอนที่นางสิริมามีลมปราณ เธอเป็นหญิงที่มีความสวยงามมาก เป็นที่ต้องตาต้องใจของบรรดาแขกเมืองทั้งหลาย แต่ว่าตายไปแล้ว 3 วัน มีสภาพอย่างนั้น
สำหรับการพิจารณาแบบนี้ขอให้ท่านทั้งหลาย ทำใจสลับกันระหว่างสมาธิกับการพิจารณา ถ้าพิจารณาไปอารมณ์มันซ่าน เราก็ถอยหลังเข้ามาจับอารมณ์ให้ทรงตัว คือทิ้งการพิจารณาเสีย มาจับอานาปานุสสติกับพุทธานุสสติควบกัน สลับกันไปสลับกันมาแบบนี้ ในที่สุดจิตใจของทุกท่าน ก็จะเกาะติดอยู่ในอารมณ์ของอสุภกรรมฐานกับกายคตานุสสติ และสักกายทิฎฐิ เป็นตัวตัดกิเลสในด้านของราคจริต คือกามราคะจะค่อยๆ สลายตัวไป และขอให้ท่านทั้งหลายจงลืมความหลัง ที่เราเห็นว่าทุกสิ่งทุกอย่างในโลกมีความจีรังยั่งยืน มีความสวยสดงดงาม ที่เราน่ารักน่าปรารถนา น่าใคร่น่าพอใจ จงทำกำลังใจของท่านยอมรับนับถือกฎของความเป็นจริง ตามที่กล่าวมา
มองดูเวลาก็หมดเสียแล้วสำหรับวันนี้ สำหรับอสุภสัญญากับกายคตานุสสติ กับสักกายทิฎฐิ วันนี้ก็ขอยุติไว้แต่เพียงเท่านี้ ต่อนี้ไปขอให้ทุกท่านตั้งกายให้ตรงดำรงจิตให้มั่น กำหนดรู้ลมหายใจเข้าออก ใช้คำภาวนาและพิจารณาตามอัธยาศัย จนกว่าจะเห็นว่าเวลานั้นเป็นภาวะอันสมควรสำหรับท่าน
สวัสดี
หนังสือ คู่มือปฎิบัติวัดท่าซุง เล่ม 1 อานาปานุสสติกรรมฐาน ตอนที่ 8.2
อานาปานุสสติกรรมฐาน ตอนที่ 8.2
ต่อไปเราก็เกาะติดอารมณ์ ความจริงปฏิปทานี้เป็นปฏิปทาของฝ่ายที่เขากำลังรุกรานประเทศ เขาใช้ เขาใช้ในการรบ แต่นี่เราก็รบเหมือนกัน เรารบกับกิเลส เราก็เป็นทหารเหมือนกัน เป็นทหารในกองทัพธรรมซึ่งมีองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นจอมทัพ นี่ในเมื่อเราลืมจุดเสีย เราก็เกาะติด เกาะติดจุดดี
เราก็มานั่งพิจารณากายของเรา ว่าโอหนอ... กายของเรานี้มันจะทรงอยู่ได้สักกี่วัน วันคืนล่วงไปๆ ชีวิตของเราก็ล่วงไปตามกาล ความหมายในชีวิตไม่มีสำหรับเรา เพราะชีวิตนี้มีสภาพเหมือนกับผีหลอก ร่างกายของคน ร่างกายของสัตว์ วัตถุธาตุทั้งหมด มันมีสภาพเหมือนผีหลอก หลอกตรงไหน เกิดมาเป็นเด็กโตขึ้นมาทีละน้อย ๆ มันก็หลอกเรา หลอกให้เราเห็นว่าโตขึ้นมาๆ พอร่างกายสมบูรณ์ถึงความเป็นหนุ่มสาว มีความเปล่งปลั่ง ตอนนี้มีความปรารถนากันมาก รักกู กูรัก อยากจะเคล้าเคลียอยู่เป็นคู่สามีภรรยาซึ่งกันและกัน ตอนนี้อารมณ์เราก็หลอกอีก หลอกยังไง หลอกเห็นว่าเขาสวย หลอกเห็นว่าเขาดี หลอกเห็นว่าเขาน่ารัก เขามีร่างกายสะอาด สดใส มันหลอก ร่างกายของใครมันดี ร่างกายของใครสวย ร่างกายของใครสะอาด มันมีที่ไหน คนทุกคนมีไหมที่ใครไม่มีอุจจาระ ปัสสาวะ น้ำเลือด น้ำเหลือง น้ำหนอง เสลด น้ำลาย ที่มีอยู่ในร่างกาย บอกมาทีซิว่าร่างกายของใครเขามีอยู่บ้าง ร่างกายเรามีไหม ร่างกายเขามีไหม ถ้ามันมีเหมือนกัน ร่างกายมันก็สกปรกเหมือนกัน แล้วทำไมเราจะไปหลงรักกับสิ่งที่มีสภาพสกปรก มันเลวแสนเลว
นี่อารมณ์นี่เราต้องเกาะติด เกาะติดอารมณ์ให้ทรงตัวว่าร่างกายนี่มันเต็มไปด้วยความสกปรก แล้วมันก็หาความจีรังยั่งยืนไม่ได้ มีความเสื่อม มีความทรุด มีความโทรมไปทุกวันๆ ไม่ช้ามันก็จะมีสภาพการตาย เราตาย เขาตาย อาการตายนี่ ความจริงจิตไม่ได้ตาย แต่กายมันตาย ก็ช่างเถอะ ชาวบ้านเขาถือเราถือเขา เราก็คิดว่าเอ๊ะ...เราก็ตาย เขาก็ตาย ไอ้เราก็สกปรก เขาก็สกปรก มองดูร่างกายนี้มันมีอะไรเป็นนิมิตเครื่องหมายที่จะทรงไว้ซึ่งความดี หาไม่ได้ ไม่มี ไม่มีสภาพใดปรากฎ
ทั้งนี้เพราะอะไร ก็เพราะว่าธาตุ 4 ที่มันคุมเข้ามาเป็นร่างกาย แบ่งเป็นอาการ 32 มันเคลื่อนไปหาความพังเป็นปกติ สภาวะของมันเป็นอย่างนี้ แล้วมันมีอะไรมั้ย ที่เราควรจะยึดถือว่าเป็นเราเป็นของเราต่อไป ที่เรามีความหมายมั่นปั้นมือว่า ร่างกายนี้จะทรงตลอดกาลตลอดสมัย คนที่เรารัก วัตถุที่เรารักที่เราปรารถนา คิดว่าเขาผู้นั้นจะอยู่กับเราตลอดกาลตลอดสมัย เวลาที่เรารักเลือกคนสวยที่เราพอใจ แล้วก็ไปดูหรือเปล่าว่า คนที่เขาเคยสวยมาแล้วแล้วก็หมดสวยมันมีบ้างหรือเปล่า คนที่มีวัยเลยไปแล้วนี่เขาสวยไหม ถ้าเรารักลูกสาวเขา รักลูกชายเขา แล้วก็ดูพ่อดูแม่ ดูปู่ย่าตายายของเขาว่า ถ้าหากว่าสภาวะของเขาเป็นอย่างนั้นจริงๆ เขาหาเรื่องแต่งงานไม่ได้ เพราะแก่โครกแก่ครากแบบนั้นไม่มีใครเขาแต่งงานด้วย
สิ่งที่เขาจะแต่งงานด้วย ก็ต้องเป็นคนสวยเป็นคนดี มีร่างกายแข็งแรงพอ มีความเอิบอิ่มของขันธ์ 5 แต่เวลานี้ เรากำลังรักลูกหญิงลูกชายของเขา อยากจะมีคู่ครอง เห็นว่าร่างกายของเขาสง่าผ่าเผย มีความสวยสดงดงาม เฉพาะสตรีมีความอ่อนช้อย หน้าหวาน พูดดี พูดไพเราะ สภาพอย่างนี้ที่เรามองเห็น มันหลอกหลอนเราเอง ใครหลอก เราหลอก ไม่ใช่ชาวบ้านเขาหลอก เราหลอกเขา เขาหลอกเรา ต่างคนต่างหลอกกัน ร่างกายของเราเต็มไปด้วยความสกปรก ข้างในไม่ต่างกับส้วมเคลื่อนที่ ร่างกายสุภาพบุรุษหรือสตรีที่เรารักก็มีสภาพเหมือนกัน และเราก็ตั้งหน้าตั้งตาหลอกคนอื่น เอาผ้าผ่อนท่อนสไบ เครื่องแพรพรรณทั้งหลายมาหุ้มกายให้มันเก๋ แต่งหน้า แต่งผม แต่งเนื้อ แต่งผิวแต่งพรรณ แต่งไปหาความทุกข์ ไม่ใช่แต่งไปหาความสุข เป็นอันว่าเราจะทำยังไงก็ตาม เขาจะทำยังไงก็ตาม ร่างกายมันก็โทรมเข้าไปหาคนที่แก่กว่าเราอยู่เสมอ
ในเมื่อร่างกายมีสภาพอย่างนี้ ในที่สุดไปถามมนุษย์ตนใดซิว่ามีอายุมาถึงโกฎิปี ล้านปี มีไหม มันก็ไม่มี ไปถามคนทุกคนซิว่า ปู่ย่าตายายญาติผู้ใหญ่ขึ้นไปถึงทวดเทิดมีไหม เขาจะบอกว่าญาติของเขามี แล้วก็ไปถามตัวเขาอีกทีว่า ญาติผู้ใหญ่ของท่านเวลานี้ ท่านมีชีวิตอยู่บ้างหรือเปล่า เขาก็จะบอกว่าตายไปหมดแล้ว นี่เป็นกฎของความจริงที่บรรดาท่านพุทธบริษัทชายหญิง ภิกษุ สามเณร จะต้องคิดถึงคำสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าว่า ร่างกายเราก็ดี ร่างกายเขาก็ดี วัตถุธาตุทั้งหมดก็ดี ไม่มีอะไรจีรังยั่งยืน มีความเกิดขึ้นในเบื้องต้น มีความแปรปรวนไปในท่ามกลาง มีการสลายตัวไปในที่สุด และร่างกายของแต่ละร่างกาย ก็เต็มไปด้วยความสกปรกโสโครก มันไม่มีอะไรเป็นเราเป็นของเราเสียจริงๆ
ฉะนั้น ขอบรรดาท่านพุทธบริษัทชายหญิง วันนี้ว่ากันแค่อสุภกรรมฐานอย่างเดียวพอ พิจารณาอสุภกรรมฐานกับกายคตานุสสติ พิจารณาให้เห็น ทรงให้เห็น เกาะติดมันจริงๆ เกาะติดตามสภาพความจริงของมัน ลืมอารมณ์หลังที่เรามีความหลง เห็นคนสวย พยายามไปดูถึงบ้านในเวลาที่เขาไม่แต่งตัว ไปดูเวลาที่เขาถ่ายอุจจาระ ปัสสาวะ มันน่ากินน่าดื่มไหม นั่นแหล่ะคนสวยที่เราคิดว่าสวยก็คือ คนซวย มันจะสวยตรงไหน เต็มไปด้วยความสกปรก จะเอาคำว่าสวยมาจากไหน ถ้าจะถามว่าคนซวยคือใคร ก็คือเรา เรามันซวย เพราะว่าเห็นคนที่สกปรกหาว่าเป็นคนสวย เห็นคนที่มีสภาวะร่างกายไม่ทรงไว้ซึ่งความจีรังยั่งยืน หาว่ายั่งยืน เขาเป็นเช่นใดเราก็เป็นเช่นนั้น เมื่อเป็นอย่างนี้แล้ว เรายังจะโง่เข้าไปรักร่างกายที่มีความสวยสดงดงามตามที่เราคิดด้วยความโง่อีกหรือ เราจะหลงในวัตถุที่เขาแต่งด้วยสีสันวรรณะ เห็นว่าสวยสดงดงาม แต่เนื้อแท้จริงๆ มันเต็มไปด้วยความผุพังเก่าคร่ำคร่าภายใน มันเดินทางเข้าไปหาความสลายตัวของมัน เรายังพอใจอยู่หรือยังไง เป็นอันว่าปลงอารมณ์ใจคิดไว้อย่างนี้ ว่าร่างกายของเราก็ดีของเขาก็ดีมันเต็มไปด้วยความสกปรก และก็ยังไม่มีการจีรังยั่งยืน มันทรุดมันโทรม มันจะสลายตัวไปทุกวัน ในที่สุดเราก็กลายเป็นผีที่ไม่มีใครปรารถนา เมื่ออานาปานุสสติกรรมฐานคือลมปราณสิ้นไป ใครเล่าเขาจะต้องการ
ดูตัวอย่าง นางสิริมา สวยแสนสวยแต่ทว่าพอตายแล้ว 3 วัน องค์สมเด็จพระทรงธรรม์บรมศาสดาทรงนำพระไปเยี่ยมศพ ไปเยี่ยมศพ คำว่าการเยี่ยมศพของพระพุทธเจ้ามีความหมายที่ให้บรรดาพระทั้งหลายมีความเข้าใจในขันธ์ 5 ว่ามันสกปรก ในที่สุดประกาศขายนางสิริมาพันกหาปนะ ไม่มีใครซื้อ ยกให้เปล่าๆ นางเน่าแล้วไม่มีใครซื้อ ยกให้และแถมเงินให้อีกก็ไม่มีใครเอา นั่นเพราะอะไร ตอนที่นางสิริมามีลมปราณ เธอเป็นหญิงที่มีความสวยงามมาก เป็นที่ต้องตาต้องใจของบรรดาแขกเมืองทั้งหลาย แต่ว่าตายไปแล้ว 3 วัน มีสภาพอย่างนั้น
สำหรับการพิจารณาแบบนี้ขอให้ท่านทั้งหลาย ทำใจสลับกันระหว่างสมาธิกับการพิจารณา ถ้าพิจารณาไปอารมณ์มันซ่าน เราก็ถอยหลังเข้ามาจับอารมณ์ให้ทรงตัว คือทิ้งการพิจารณาเสีย มาจับอานาปานุสสติกับพุทธานุสสติควบกัน สลับกันไปสลับกันมาแบบนี้ ในที่สุดจิตใจของทุกท่าน ก็จะเกาะติดอยู่ในอารมณ์ของอสุภกรรมฐานกับกายคตานุสสติ และสักกายทิฎฐิ เป็นตัวตัดกิเลสในด้านของราคจริต คือกามราคะจะค่อยๆ สลายตัวไป และขอให้ท่านทั้งหลายจงลืมความหลัง ที่เราเห็นว่าทุกสิ่งทุกอย่างในโลกมีความจีรังยั่งยืน มีความสวยสดงดงาม ที่เราน่ารักน่าปรารถนา น่าใคร่น่าพอใจ จงทำกำลังใจของท่านยอมรับนับถือกฎของความเป็นจริง ตามที่กล่าวมา
มองดูเวลาก็หมดเสียแล้วสำหรับวันนี้ สำหรับอสุภสัญญากับกายคตานุสสติ กับสักกายทิฎฐิ วันนี้ก็ขอยุติไว้แต่เพียงเท่านี้ ต่อนี้ไปขอให้ทุกท่านตั้งกายให้ตรงดำรงจิตให้มั่น กำหนดรู้ลมหายใจเข้าออก ใช้คำภาวนาและพิจารณาตามอัธยาศัย จนกว่าจะเห็นว่าเวลานั้นเป็นภาวะอันสมควรสำหรับท่าน สวัสดี