หนังสือ คู่มือปฎิบัติวัดท่าซุง เล่ม 1 อานาปานุสสติกรรมฐาน ตอนที่ 15.2

ต่อจาก หนังสือ คู่มือปฎิบัติวัดท่าซุง เล่ม 1 อานาปานุสสติกรรมฐาน ตอนที่ 15.1 https://ppantip.com/topic/43154349

อานาปานุสสติกรรมฐาน ตอนที่ 15.2

แต่สำหรับอารมณ์ของพระสกิทาคามี ยังมีอารมณ์น้อมไปในกามารมณ์บ้างเล็กน้อยตามสมควร เพราะยังตัดไม่ขาด เมื่อเรามีกรรมฐาน 2 อย่างเป็นเพื่อนใจคือ อสุภสัญญากับกายคตานุสสติ อสุภสัญญานี่น่ะ แปลว่า ไม่สวยไม่งาม จำไว้ว่าไม่สวยไม่งาม กายคตานุสสตินึกไว้เสมอว่า ร่างกายทั้งหมดสิ้นความสวยความงาม มีแต่ความสกปรกโสโครก จำไว้เป็นปกติ ให้มันเป็นประจำใจ ให้มันติดใจทุกลมหายใจเข้าหายใจออก ด้านนี้ถ้ามีความรู้สึกว่าไม่มีความรู้สึกในเพศ อย่าเชื่อว่าเราเป็นพระอรหันต์ ยังก่อน อย่าเพิ่งรีบเป็นเร็วนัก จะเก่งกว่าพระพุทธเจ้านี่ไม่ดี เป็นอันว่า เรายังไม่ได้เป็นพระอรหันต์ เมื่อเรายังไม่ได้เป็นพระอรหันต์แล้วเป็นอะไร ก็ยังไม่เป็นพระอนาคามีด้วย ถ้าจะเป็นอนาคามีเราก็ไปดึงอริยสัจเข้ามาอีกหนึ่ง

อริยสัจอันดับแรกท่านบอกว่า ทุกข์ คือความไม่สบายกายไม่สบายใจ
สอง สมุทัย ปัจจัยให้เกิดความทุกข์ ได้แก่ตัณหา 3 ประการคือ กามตัณหา ภวตัณหา วิภวตัณหา
แล้วก็นิโรธ ได้แก่ผลแห่งการดับทุกข์ มันมีสุขละ

ทีนี้ทุกข์จะดับเพราะอะไร ก็เพราะว่า มรรคปฏิปทา ได้แก่มรรค 8 มี สัมมาทิฏฐิ เป็นต้น และมี สัมมาสมาธิ เป็นปริโยสาน มรรค 8 นี่จำยากนะขอรับ เอาง่าย ๆ มรรค 8 นี่ย่นลงมาเหลือ 3 ย่อลงมาแล้วเหลือแต่เพียง ศีล สมาธิ ปัญญา เอาง่าย ๆ เราจะฆ่าก็เลสทุกตัวได้ก็จะต้องอาศัย ศีล สมาธิ ปัญญา

ทีนี้เราจะฆ่าแต่เฉพาะกามฉันทะ แต่ความจริงวิธีปฏิบัตินี่เขาไม่ได้ปฏิบัติแบบผมพูดนำ เขารวบเลย ทั้งกามฉันทะและปฏิฆะ เขารวบไปคราวเดียวกัน แต่ว่าถ้าผมรวบเดี๋ยวจะหาว่าขี้เกียจพูด บอก เออ...หลวงตานี่แปลก แก่รู้ของแกคนเดียว แกไม่ยอมให้คนอื่นรู้ด้วย หวงวิชาความรู้ เป็นอันว่าเราก็จับตัวทุกข์ ว่าเจ้าร่างกายของเราก็ดี ร่างกายของบุคคลอื่นก็ดี ร่างกายของสัตว์ก็ดี วัตถุธาตุทั้งหลายก็ดี ที่มันไม่สวยไม่งามนี่น่ะ สิ่งที่ติดตามมาก็คือปัจจัยของความทุกข์ มันเป็นทุกข์ เป็นทุกข์ตรงไหน จะยกตัวอย่างให้ดูสักนิดหนึ่ง ว่าคนและสัตว์ทั้งหมดนี่น่ะ เกิดมาหิวข้าวไหม ความหิวมันเป็นทุกข์ ใครหิวบ้าง หรือว่าใครไม่หิว ถ้าไม่หิวก็โมทนาด้วย มันปวดอุจจาระปัสสาวะไหม การปวดอุจจาระปัสสาวะเป็นทุกข์ ความทรุดโทรมของร่างกายมีไหม อาการทรุดโทรมของร่างกายนี่มันเป็นทุกข์ และความป่วยไข้ไม่สบายมีไหม ความป่วยไข้ไม่สบายมันเป็นทุกข์ อาการที่จะต้องตายไปจากความเป็นมนุษย์ทุกขเวทนามันบีบคั้น ถ้าบีบคั้นไม่หนักมันก็ไม่ตาย

นี่เป็นอันว่าทุกขเวทนาคือความตายของเราจะมีหรือไม่มี เพื่อนเราที่เกิดพร้อมกันเขาตายไปแล้วก็มี คนที่เกิดที่หลังเราเขาตายไปแล้วก็มี คนที่เกิดมาพร้อมกับเราเขาตายไปแล้วก็มี แล้วเราจะตายไหมล่ะ หรือว่าไม่รู้จักตาย อยู่ตลอดกาลตลอดสมัย เป็นอันว่านั่นไม่มี แล้วเราก็ต้องตายแน่ นี่ความตายก่อนจะตายมันก็ทุกข์หนัก มันบีบคั้น เราก็มานั่งคิด ตัวนี้เป็นตัวปัญญานะครับ เป็นตัววิปัสสนาญาณ แล้วก็มานั่งคิดตัดใจ ว่าถ้าร่างกายเรา ร่างกายเขาเป็นทุกข์ เราต้องการความสุข ร่างกายของเราคนเดียวมันก็ทุกข์ย่ำแย่อยู่แล้ว ทำไมเราจึงจะไปแบกทุกข์มาจากคนอื่นอีก นี่ว่ากันถึงอาการทุกข์ตามขันธ์ 5

ทีนี้มาว่ากันอาการทุกข์ตามปรารถนาของคน คนที่ยังไม่ได้แต่งานอยากจะมีสามีอยากจะมีภรรยา พอเริ่มต้นอยากจะมีสามีภรรยา มันก็เริ่มทุกข์ว่าเขาจะแสดงละครท่าไหนดีหนอ จะทำให้สาวหรือหนุ่มที่เรารักมีความพอใจในเรา เริ่มแล้ว ตอนนี้ เริ่มทุกข์ ต้องวางแผนซิ ความปรารถนาไม่สมหวัง ไม่เห็นหน้าคนที่เรารัก มันมีอารมณ์แห่งความทุกข์ มันมีความกลุ้ม ดีไม่ดีเห็นคนที่เรารักไปเดินกับคนอื่น ที่นี้คลั่งเลยไปกันใหญ่ ถ้าถามว่าผมรู้ได้ยังไง ผมก็ตอบว่า ไอ้โรคนี้มันกินผมมาแล้ว ผมเรื่องมันดี

ทีนี้เมื่อขณะที่เราเริ่มรัก เราก็ต้องคิดเป็นทุกข์ว่า ทำไมเขาจึงรักเรา จะเดินแต้มท่าไหนกันดี นี่มันทุกข์ ผมขอพูดย่อ ๆ นะครับ พอเริ่มรักตกลงกันได้แล้วว่าเรารักกันแน่ มีความมั่นใจว่าเราจะแต่งงานกัน ตอนนี้อารมณ์ของความทุกข์มันก็มาอีกนั่นแหละ ก็เราน่ะรักกันแน่ แต่ผู้ใหญ่เขาจะรักเราหรือเปล่า ต้องถอยหลังไปอีกแล้วว่าโอหนอ...ผู้ใหญ่ท่านรักเราหรือเปล่าล่ะ ถ้าผู้ใหญ่ไม่รักเรา เราก็ชวยแต่ผู้เดียว เป็นอันว่าตัวนี้ทุกข์ กลัวความกีดกันจะมาจากผู้ใหญ่ สมมุติว่าผู้ใหญ่ตกลงด้วยแต่งงานกันสร็จ แทนที่มันจะมีความสุข คราวนี้การะที่เราออกจากอกพ่ออกแม่มันก็มาถึง เมื่อเราอยู่ในข้อมอกของพ่อแม่ ตอนนี้เราไม่มีทุกข์มาก เพราะอะไร มันไม่มีกินไม่มีใช้ มันเรื่องของพ่อของแม่ ไม่มีเงินใช้ก็แบมือขอพ่อขอแม่ ไม่มีเครื่องแต่งกายก็แบมือขอพ่อขอแม่ ตอนนี้เรามาเป็นตัวของเราเอง เราแบไม่ไหวแล้วเราต้องกำ กำคือทำงานหนักขึ้นเพื่อการครองชีพให้มันดีขึ้น มีทุกข์มากขึ้น พอลูกเกิดมาสักคนสองคน ความทุกข์มันก็ตามมา

นี่เป็นอันว่าการครองคู่นี่มันล้วนแล้วแต่เป็นทุกข์ ทุกข์ภายนอกเนื่องจากอารมณ์ที่เกี่ยวข้องกัน มันก็อย่างหนึ่ง แถมภายในร่างกายทุกข์ที่เราหนีไม่ได้ ภรรยาหรือสามีที่เราไม่ชอบใจ เราจะหย่าร้างกันเมื่อไรก็ได้ แต่ทว่าไอ้ทุกข์สำคัญที่มันในกายของเรานี่เราจะหนีไปไหนล่ะ หิวข้าว หนีความหิวพ้นไหม ปวดอุจจาระปัสสาวะ มีที่ตรงไหนบ้างที่จะหลบการปวดอุจจาระปัสสาวะไปได้ เป็นอันว่ามันก็ไม่มีอีกแล้ว ในเมื่อมันไม่มีที่จะมี การป่วยไข้ไม่สบาย หลบได้ไหม หลบไม่ได้ ความตายจะเข้ามาถึง หลบความตายได้ไหม นี่ถ้าเขาหลบได้หาคนตายไม่ได้ เราก็หลบไม่ได้

ในเมื่อร่างกายของเราเต็มไปด้วยทุกข์ เราไปหาคู่ครองมา เธอก็มีสภาพเหมือนเรา ทรุดโทรมเหมือนเรา มีทุกข์เหมือนเรา แก่เหมือนเรา เจ็บเหมือนเรา ตายเหมือนเราทุกอย่าง แล้วก็จุดไหนที่เราแต่งงานแล้วเราจะมีความสุข ก็รวมความว่า เราหาความสุขไม่ได้จากการครองคู่ เมื่อพิจารณาเห็นอาการของความทุกข์อย่างนี้ให้อารมณ์มันชิน เห็นคนเขาแต่งงานกันเขามีบุตรธิดา มีความรู้สึกตามความเป็นจริงว่านั่นเราแบกทุกธ์อย่างหนัก ความปรารถนามีนิดเดียว เวลาจะแต่งงานกันก็ต้องเลือก ถ้าเป็นสตรีก็ต้องเลือกชายที่มีรูปร่างเป็นที่พอใจของเรา ถ้าเป็นผู้ชายก็ต้องเลือกผู้หญิงที่มีรูปร่างเป็นที่พอใจของเรา พรวดทรงต้องดี ผิวพรรณต้องดี วาจามรรยาทต้องดี แต่ว่าแต่งงานกันแล้ว เราจะคุมได้ไหมว่าไอ้รูปร่างกาย ทั้งฝ่ายภรรยาและสามีให้มันทรงในสภาพเดิม มันก็เป็นไปไม่ได้ บางคนหนุ่มสาวสวยสดงดงาม วัยย่างเข้ายังไม่ทันจะถึง 30 ปี บางทีผอมโครกครากเหมือนกับไม้ทิ่มผี ดูอะไรไม่ได้ แล้วเราไปทางไหนล่ะ หนีได้ไหม ไม่ได้ เมื่อชาตินี้มันหนีไม่ได้ เราก็ยั้งมันไว้ ไม่ให้มันรักมากวนใจเรา ตายเมื่อไทนีได้เมื่อนั้น นั่นก็คือน้อมใจเข้าไปจับอานาปานุสสติกรรมฐานให้ทรงตัว คือกำหนดรู้ลมหายใจเข้าออก รู้ให้เป็นปกติ ยามว่างอยากภาวนาก็ภาวนาเสียให้ทรงตัว คำว่า พุทโธ ก็ได้ อะไรก็ได้ ถ้าจิตอยากจะคิดก็คิดว่า โอหนอ...ร่างกายของคนและสัตว์ เต็มไปด้วยความทุกข์ ร่างกายของคนและสัตว์ มีแต่ความสกปรกโสมม ไม่มีอะไรเป็นที่รังยั่งอื่น ไม่เป็นแก่นสาร ในที่สุดร่างกายของเรา ร่างกายของเขาก็พังไปหมด เป็นอันว่าร่างกายของเราก็ดี ร่างกายของเขาก็ดีที่เราต้องการ มันไม่ใช่ของน่ารักเลย มันเป็นของน่าเกลียด และไม่มีอะไรยั่งยืน มันไม่ใช่เราไม่ใช่ของเรา มันเป็นสภาวะที่กิเลส ตัณหา อุปาทานสร้างให้ ทีนี้เราจะมานั่งหลงรัก หลงปรารถนาสิ่งโสใครก แล้วก็เป็นอนัตตาต้องสลายตัวไปเพื่อประโยชน์อันใด ใจเราไม่รักนั่นแหละ ใจเราเป็นสุข นี่หมายถึงกามารมณ์ ใจเรารักจึงเป็นทุกข์

ตามที่พระพุทธเจ้ากล่าวว่า "ปิยโต ชายเต โสโก" ความเศร้าโศกเสียใจเกิดจากความรัก "ปิยโต ชายเต ภยัง" ภัยอันตรายทั้งหลายจะเกิดมาได้ก็เพราะอาศัยความรักเป็นเหตุ พิจารณาเพียงเท่านี้นะท่านนะ ไม่ต้องใช้มาก เอาให้มันอยู่ตัว ไม่ต้องไปกางตำราเป็นแบก ๆ หรอก ท่าให้มันเข้าจุด อย่างนี้ท่านก็สามารถจะเป็น พระอนุพุทธะ คืออนุพุทธะ ก็หมายความว่า เป็นผู้รู้ตามที่พระพุทธเจ้าทรงสอนได้ตามความต้องการ

มองดูเวลาเห็นเวลาหมดเสียแล้วท่าน ต่อนี้ไปขอทุกท่าน ตั้งกายให้ตรง ดำรงจิตให้มั่น กำหนดรู้ลมหายเข้าหายใจออก ใช้อิริยาบถตามอัธยาศัย หมายความว่าจะนั่งก็ได้ จะนอนก็ได้ จะยืนก็ได้ จะเดินก็ได้ ได้ทุกอิริยาบถ จนกว่าท่านทั้งหลายจะเห็นสมควรว่าเวลานี้ท่านสมควรจะเลิกแล้ว สวัสดี

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่