ต่อจาก หนังสือ คู่มือปฎิบัติวัดท่าซุง เล่ม 1 อานาปานุสสติกรรมฐาน ตอนที่ 16.1 https://ppantip.com/topic/43155638
อานาปานุสสติกรรมฐาน ตอนที่ 16.2

ตอนนี้ต้องเร่งอริยสัจให้มาก
อนาคามีนี่ ถ้าพวกคุณทิ้งอริยสัจพวกคุณพัง ไม่มีทาง ความจริงอริยสัจนี่เรารู้กันมาตั้งแต่ต้น เราทำกันมาแล้ว เราประพฤติกันมาแล้ว แต่ว่าเราไม่จำกันเอง นี่ผมพูดถึงว่าคนที่ไม่สนใจอริยสัจเป็นยังไง เป็นทุกข์ ตัวทุกข์ตัวนี้แหละต้องมองให้มันเห็น
คนที่มีความโหดร้ายในจิต คนนั้นมีแต่ความทุกข์ เห็นไหม มือไว ลักขโมยเขา ทุกข์ ใจเร็ว คบหาสมาคมกับใครไม่ได้ ยื้อแย่งลูกเขาเมียเขาเราก็ทุกข์ เพราะเขาจะล่อกบาลเข้า ตีหัวยังดี จะเอาปืนนวดเข้าให้ตายไป พูดปดมดเท็จ ใครเขาจะคบค้าสมาคมด้วย คนเวลานี้ตายกันมากก็เพราะว่าขาดสัจจะ ดื่มสุราเมรัย เหลว เลวทั้งนั้น มองดูมุมของความเลว กฎข้อบังคับ ระเบียบวินัย ประเพณี กฎหมาย ถ้าเราละเมิดเมื่อไรเราเลวเมื่อนั้น วันหนึ่งๆ เราก็มาจ้องมองอารมณ์ความเลวของเรา เอาสังโยชน์ 10 ประการ มานั่งอ่านนั่งดู ว่าอีตรงไหนหนอ ที่เรายังค้างอยู่ 1 ถึง 5 คือ
สักกายทิฏฐิ เรายังมีความหลงใหลใฝ่ฝันในร่างกายของเราหรือเปล่า เห็นว่าร่างกายเป็นเรา เป็นของเราหรือเปล่า ถ้ายังเห็นอยู่ เราเลว
วิจิกิจฉา คำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงประกอบไปด้วยเหตุผล เราพยายามฝ่าฝืนกฎข้อบังคับนี้บ้างหรือเปล่า หรือฝ่าฝืนคำแนะนำขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าหรือเปล่า ถ้าฝ่าฝืนเราเลว เห็นไหม ระเบียบประเพณี กฏข้อบังคับประจำถิ่น ที่เขามีอยู่ เราฝ่าฝืนหรือเปล่า เรามีความทะนงตนหรือเปล่า ถ้ามี เราเลว รวมความว่ามองเลวมันให้พบ
สีลัพตปรามาส โดยเฉพาะอย่างยิ่งพระอนาคามีนี่ ถ้าคนทรงถึงแล้ว อารมณ์จิตของท่านผู้นั้นจะมีอุโบสถศีลเป็นประจำ หรือว่ากันง่ายๆ จะมีศีล 8 เป็นประจำ เรื่องการหิวข้าวหิวปลา นี่มันไม่มีล่ะ ทรงศีล 8 ประจำใจเป็นปกติขึ้นมาเองโดยไม่ต้องสมาทาน ความดีมันปรากฎขึ้นมาเต็มที่ จำไว้ให้ดีนะว่าท่านที่ทรงอนาคามิผลน่ะ เป็นท่านที่ทรงศีล 8 เป็นปรกติ ถ้าฆราวาส คือไม่ต้องบังคับใจให้มันรักษาศีล 8 ศีล 8 มันเกาะติดใจเอง ปลดมันไม่ได้
นี่เป็นจุดหนึ่งที่เราจะมองพระอนาคามี ทีนี้ในเมื่อความโกรธมันเป็นปัจจัยของความทุกข์ ทำไมเราจึงจะต้องโกรธ อารมณ์ของเราปล่อยมันนิ่งๆ ไม่ได้หรือ ใครเขาจะดี ใครเขาจะชั่วไม่เกี่ยวด้วยหมู่คณะ ปล่อยมันไปเลย ช่างเขา เขาพูดดีเป็นความดีของเขา เขาพูดเลวเป็นความเลวของเขา เขาทำดีเป็นความดีของเขา เขาทำเลวเป็นความเลวของเขา แต่เราซิ อย่าให้มันเลวอย่างเขา คุมกำลังใจในด้านความดีไว้ทำใจให้มันปกติ จิตเป็นสุข เราจะไม่ยอมทุกข์เพราะอารมณ์ใจเลว ความสุขเรามีมาจากไหน ความสุขก็มีมาจากเมตตา ความรัก กรุณา ความสงสาร มุทิตา ไม่อิจฉาริษยาใคร อุเบกขา เฉย ในเมื่อเขาเลว แต่ว่าเพราะอะไร เพราะว่าเราต้องการอารมณ์อย่างนี้ เพราะเกรงความทุกข์ ความทุกข์ที่มันจะมีมาคือมันจะพาเราเกิดอีก เราไม่ต้องการความเกิด เท่านี้เอง ไม่ยาก ใจทรงอารมณ์อย่างนี้เดี๋ยวมันก็หาย ไอ้ความโกรธ ไอ้การกระทบกระทั่งใจ เราก็ถืออุเบกขาว่า ช่างมัน เอ็งอยากจะเลวเอ็งจงเลวไปแต่ผู้เดียว เราจะไม่เลวกับเอ็งด้วย หมดเรื่อง
รวมความวันนี้ขอสรุป เพราะมันง่าย ไม่ยาก ถึงอนาคามีผมไม่เห็นมีอะไร เพราะผ่านสกิทาคามีมาแล้ว มันก็หมดแล้วนี่ ความจริงสกิทาคามีน่ะ ถ้าผมสอนน่ะ มันถึงอรหันต์แล้วนะ นี่ก็มาย่ำเท้าให้ฟังนิดหน่อยเท่านั้น นี่มาย่ำเท้ามันก็เสียเวลาคนฟัง แต่เอ้า...มันเสียเวลาก็เสียเวลากัน เดี๋ยวจะมาหาว่าไม่บอก
ขอสรุปลัดว่า จิตเราเมื่อตัดจากกิเลสถึงสกิทาคามีแล้ว จงน้อมเอาพระธรรมคำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระประทีปแก้วโดยเฉพาะอย่างยิ่งมุ่งมั่นตัดราคะกิเลสให้ขาด นี่ความจริงมันก็จะขาดอยู่แล้ว มันร่อแร่เต็มทีตั้งแต่สกิทาคามี ระหว่างที่จิตทรงสกิทาคามิผลนี่ ไอ้คนสวยนี่มันหาไม่ได้แล้วในโลก แต่ทว่าอารมณ์ค้างที่เป็นอนุสัย มันยังมี หมายความว่าอารมณ์ที่กำลังปกติ มีจิตสบาย บางทีจิตมันนึกขึ้นมาได้ ว่าโอหนอ...คนนั้นดีนะ รูปนั้นดีนะ เสียงนั้นดีนะ กลิ่นนั้นดีนะ รสนั้นดีนะ ไอ้พวกติดรสติดชาติ ติดสี ติดกลิ่นน่ะไอ้พวกกิเลสหนักทั้งนั้น มันเป็นอารมณ์เลวไม่เป็นเรื่อง
ทีนี้ในเมื่อเราเจริญในอสุภสัญญามาตั้งแต่สกิทาคามี มันก็ตัดไปแล้ว ตอนนี้มาคิดว่าถ้ายังมีอารมณ์ค้างอยู่ อารมณ์ค้างก็หมายความว่าตอนที่จิตสบายเป็นอนุสัยเกิดขึ้น พออารมณ์สงบสงัด อารมณ์มันคิดขึ้นมานิดหนึ่งถึง รูป เสียง กลิ่น รส และสัมผัสระหว่างเพศ พอจิตมันคิดขึ้นมานิดหนึ่ง สติมันก็จะโผล่ขึ้นมาทันที มันจะตัดทันทีว่า นี่เลวเสียแล้วรึ จงอย่าใช้คำว่า เอ็ง ใช้คำว่า เราต้องปราบมัน ใครจะหาว่าสอนให้หยาบก็เชิญซิ ใครอยากจะสุภาพยังไงก็เชิญ ต้องใช้ให้หนัก ถือว่ามันเป็นศัตรูหนักของเรา ใช้คำไว้ในใจให้มันหนักว่า ไอ้ตัวเลวนี่ โผล่หน้ามาอีกแล้วรึ กูไม่คบหาสมาคมกับ รูป เสียง กลิ่น รส และสัมผัสที่ไหนวะที่มันจะสร้างความสุขให้กับกู กูไม่คบ เพราะกูหลงอย่างนี้กูจึงเกิด ต่อจากนี้ไป กับกูเลิกกัน
มาถึงด้านปฏิฆะก็เหมือนกัน อารมณ์ที่มันจะเข้าไปรบอารมณ์ที่สร้างความไม่ชอบใจให้แก่คนอื่น ตอนนี้ก็จงสร้างความรู้สึกว่าไอ้เจ้านี่เลว เอ็งจะไปนั่งโกรธ ชาวบ้านชาวเมืองเขาทำไม ไอ้เอ็งมันเลวเองต่างหาก ไอ้นั่นมันเรื่องความเลวของคนอื่นนี่ ก็จะมายุ่งอะไรกับกูล่ะ กูไม่เอาแล้วไอ้ความโกรธ ความพยาบาท ความกระทบกระทั่งทำจิตให้ดิ้นรน ทำให้ไม่สบาย กูไม่เอา เอ็ง...จงไปเสียจากกู กูไม่คบค้าสมาคมกับ จิตเราทรงความยิ้มไว้เป็นปกติ ยิ้มเพราะเมตตา ความรัก ยิ้มเพราะกรุณา ความสงสาร ยิ้มเพราะมีเมตตา จิตกรุณา มีความกรุณาความอ่อนโยนของจิต พร้อมยอมรับความดีของบุคคลอื่น จิตมีอารมณ์สบายด้วยอุเบกขาที่เป็น อัพยากฤต คือมีอารมณ์พระนิพพานเป็นอารมณ์ จิตมีอารมณ์โปร่ง จิตมีอารมณ์สบาย เพราะใจของเราหวังได้แล้วว่า พระนิพพานเป็นของแน่นอนสำหรับเรา
เป็นอันว่าอารมณ์พระอนาคามีนี่ไม่มีอะไร เพราะว่าเราจ้ำจี้จ้ำไชมากันตั้งแต่สกิทาคามี ถ้าถึงอนาคามี มาถึงตอนนี้ ยังบอกว่าหนักใจเรื่องกามฉันทะ หนักใจเรื่องปฏิฆะ ผมก็ไม่รู้จะว่ายังไง ก็ต้องโมทนาด้วย หนักใจก็โมทนาอยู่เกิดต่อไปก็แล้วกัน มันจะได้อยู่กับความทุกข์ให้มันช่ำใจ ให้มีความแน่ใจว่าทุกข์มันดีขนาดไหน จนกว่าจะเบื่อมัน
เป็นอันว่าสำหรับเรื่องพระอนาคามีนั้นไม่มีอะไรยาก วันนี้เราก็มาว่ากันว่าถ้าจะตัดปฏิฆะได้ จิตจะต้องทรงในอารมณ์ของพรหมวิหารให้เป็นปกติ ควบกันกับอริยสัจ 4 ว่าตัวไม่ชอบใจเป็นปัจจัยของความทุกข์ เราไม่ต้องการมันอีกเพียงเท่านี้ ท่านก็จะทรงอารมณ์เป็นพระอนาคามี
พอถึงความเป็นพระอนาคามีนี่อารมณ์จะมีความสุขมาก จิตจะไม่ดิ้นรนด้วยรูป เสียง กลิ่น รสและสัมผัส ลองนึกดู มีแต่ความสุข มีแต่ความสบาย รังเกียจในระหว่างเพศ ร่างกายของเราก็ดี คนอื่นก็ดี เราเต็มไปด้วยความรังเกียจเพราะมันสกปรก จิตใจเป็นสุขเพราะไม่มีความโกรธไม่มีความพยาบาท มีแต่ความชุ่มชื่นด้วยอำนาจพรหมวิหาร 4 และมีการยอมรับนับถือว่าการเกิด แก่ เจ็บ ตายนี้มันเป็นทุกข์เราไม่ต้องการ อันนี้เราเหยียบย่างเข้ามาใกล้พระนิพพานแค่มือเอื้อม เรามีความพอใจ
เอาละบรรดาท่านทั้งหลาย คำแนะนำสำหรับวันนี้ก็ขอยุติไว้แต่เพียงเท่านี้ ขอท่านทั้งหลายตั้งกายให้ตรง ดำรงจิตให้มั่น กำหนดรู้ลมหายใจเข้าหายใจออก ใช้คำภาวนาและพิจารณาตามอัธยาศัย จนกว่าท่านจะเห็นว่าเวลานั้นเป็นกาลอันสมควรสำหรับท่าน
สวัสดี
รวมลิงค์ทั้งหมด https://ppantip.com/profile/8483559#topics
หนังสือ คู่มือปฎิบัติวัดท่าซุง เล่ม 1 อานาปานุสสติกรรมฐาน ตอนที่ 16.2
อานาปานุสสติกรรมฐาน ตอนที่ 16.2
ตอนนี้ต้องเร่งอริยสัจให้มาก อนาคามีนี่ ถ้าพวกคุณทิ้งอริยสัจพวกคุณพัง ไม่มีทาง ความจริงอริยสัจนี่เรารู้กันมาตั้งแต่ต้น เราทำกันมาแล้ว เราประพฤติกันมาแล้ว แต่ว่าเราไม่จำกันเอง นี่ผมพูดถึงว่าคนที่ไม่สนใจอริยสัจเป็นยังไง เป็นทุกข์ ตัวทุกข์ตัวนี้แหละต้องมองให้มันเห็น
คนที่มีความโหดร้ายในจิต คนนั้นมีแต่ความทุกข์ เห็นไหม มือไว ลักขโมยเขา ทุกข์ ใจเร็ว คบหาสมาคมกับใครไม่ได้ ยื้อแย่งลูกเขาเมียเขาเราก็ทุกข์ เพราะเขาจะล่อกบาลเข้า ตีหัวยังดี จะเอาปืนนวดเข้าให้ตายไป พูดปดมดเท็จ ใครเขาจะคบค้าสมาคมด้วย คนเวลานี้ตายกันมากก็เพราะว่าขาดสัจจะ ดื่มสุราเมรัย เหลว เลวทั้งนั้น มองดูมุมของความเลว กฎข้อบังคับ ระเบียบวินัย ประเพณี กฎหมาย ถ้าเราละเมิดเมื่อไรเราเลวเมื่อนั้น วันหนึ่งๆ เราก็มาจ้องมองอารมณ์ความเลวของเรา เอาสังโยชน์ 10 ประการ มานั่งอ่านนั่งดู ว่าอีตรงไหนหนอ ที่เรายังค้างอยู่ 1 ถึง 5 คือ
สักกายทิฏฐิ เรายังมีความหลงใหลใฝ่ฝันในร่างกายของเราหรือเปล่า เห็นว่าร่างกายเป็นเรา เป็นของเราหรือเปล่า ถ้ายังเห็นอยู่ เราเลว
วิจิกิจฉา คำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงประกอบไปด้วยเหตุผล เราพยายามฝ่าฝืนกฎข้อบังคับนี้บ้างหรือเปล่า หรือฝ่าฝืนคำแนะนำขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าหรือเปล่า ถ้าฝ่าฝืนเราเลว เห็นไหม ระเบียบประเพณี กฏข้อบังคับประจำถิ่น ที่เขามีอยู่ เราฝ่าฝืนหรือเปล่า เรามีความทะนงตนหรือเปล่า ถ้ามี เราเลว รวมความว่ามองเลวมันให้พบ
สีลัพตปรามาส โดยเฉพาะอย่างยิ่งพระอนาคามีนี่ ถ้าคนทรงถึงแล้ว อารมณ์จิตของท่านผู้นั้นจะมีอุโบสถศีลเป็นประจำ หรือว่ากันง่ายๆ จะมีศีล 8 เป็นประจำ เรื่องการหิวข้าวหิวปลา นี่มันไม่มีล่ะ ทรงศีล 8 ประจำใจเป็นปกติขึ้นมาเองโดยไม่ต้องสมาทาน ความดีมันปรากฎขึ้นมาเต็มที่ จำไว้ให้ดีนะว่าท่านที่ทรงอนาคามิผลน่ะ เป็นท่านที่ทรงศีล 8 เป็นปรกติ ถ้าฆราวาส คือไม่ต้องบังคับใจให้มันรักษาศีล 8 ศีล 8 มันเกาะติดใจเอง ปลดมันไม่ได้
นี่เป็นจุดหนึ่งที่เราจะมองพระอนาคามี ทีนี้ในเมื่อความโกรธมันเป็นปัจจัยของความทุกข์ ทำไมเราจึงจะต้องโกรธ อารมณ์ของเราปล่อยมันนิ่งๆ ไม่ได้หรือ ใครเขาจะดี ใครเขาจะชั่วไม่เกี่ยวด้วยหมู่คณะ ปล่อยมันไปเลย ช่างเขา เขาพูดดีเป็นความดีของเขา เขาพูดเลวเป็นความเลวของเขา เขาทำดีเป็นความดีของเขา เขาทำเลวเป็นความเลวของเขา แต่เราซิ อย่าให้มันเลวอย่างเขา คุมกำลังใจในด้านความดีไว้ทำใจให้มันปกติ จิตเป็นสุข เราจะไม่ยอมทุกข์เพราะอารมณ์ใจเลว ความสุขเรามีมาจากไหน ความสุขก็มีมาจากเมตตา ความรัก กรุณา ความสงสาร มุทิตา ไม่อิจฉาริษยาใคร อุเบกขา เฉย ในเมื่อเขาเลว แต่ว่าเพราะอะไร เพราะว่าเราต้องการอารมณ์อย่างนี้ เพราะเกรงความทุกข์ ความทุกข์ที่มันจะมีมาคือมันจะพาเราเกิดอีก เราไม่ต้องการความเกิด เท่านี้เอง ไม่ยาก ใจทรงอารมณ์อย่างนี้เดี๋ยวมันก็หาย ไอ้ความโกรธ ไอ้การกระทบกระทั่งใจ เราก็ถืออุเบกขาว่า ช่างมัน เอ็งอยากจะเลวเอ็งจงเลวไปแต่ผู้เดียว เราจะไม่เลวกับเอ็งด้วย หมดเรื่อง
รวมความวันนี้ขอสรุป เพราะมันง่าย ไม่ยาก ถึงอนาคามีผมไม่เห็นมีอะไร เพราะผ่านสกิทาคามีมาแล้ว มันก็หมดแล้วนี่ ความจริงสกิทาคามีน่ะ ถ้าผมสอนน่ะ มันถึงอรหันต์แล้วนะ นี่ก็มาย่ำเท้าให้ฟังนิดหน่อยเท่านั้น นี่มาย่ำเท้ามันก็เสียเวลาคนฟัง แต่เอ้า...มันเสียเวลาก็เสียเวลากัน เดี๋ยวจะมาหาว่าไม่บอก ขอสรุปลัดว่า จิตเราเมื่อตัดจากกิเลสถึงสกิทาคามีแล้ว จงน้อมเอาพระธรรมคำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระประทีปแก้วโดยเฉพาะอย่างยิ่งมุ่งมั่นตัดราคะกิเลสให้ขาด นี่ความจริงมันก็จะขาดอยู่แล้ว มันร่อแร่เต็มทีตั้งแต่สกิทาคามี ระหว่างที่จิตทรงสกิทาคามิผลนี่ ไอ้คนสวยนี่มันหาไม่ได้แล้วในโลก แต่ทว่าอารมณ์ค้างที่เป็นอนุสัย มันยังมี หมายความว่าอารมณ์ที่กำลังปกติ มีจิตสบาย บางทีจิตมันนึกขึ้นมาได้ ว่าโอหนอ...คนนั้นดีนะ รูปนั้นดีนะ เสียงนั้นดีนะ กลิ่นนั้นดีนะ รสนั้นดีนะ ไอ้พวกติดรสติดชาติ ติดสี ติดกลิ่นน่ะไอ้พวกกิเลสหนักทั้งนั้น มันเป็นอารมณ์เลวไม่เป็นเรื่อง
ทีนี้ในเมื่อเราเจริญในอสุภสัญญามาตั้งแต่สกิทาคามี มันก็ตัดไปแล้ว ตอนนี้มาคิดว่าถ้ายังมีอารมณ์ค้างอยู่ อารมณ์ค้างก็หมายความว่าตอนที่จิตสบายเป็นอนุสัยเกิดขึ้น พออารมณ์สงบสงัด อารมณ์มันคิดขึ้นมานิดหนึ่งถึง รูป เสียง กลิ่น รส และสัมผัสระหว่างเพศ พอจิตมันคิดขึ้นมานิดหนึ่ง สติมันก็จะโผล่ขึ้นมาทันที มันจะตัดทันทีว่า นี่เลวเสียแล้วรึ จงอย่าใช้คำว่า เอ็ง ใช้คำว่า เราต้องปราบมัน ใครจะหาว่าสอนให้หยาบก็เชิญซิ ใครอยากจะสุภาพยังไงก็เชิญ ต้องใช้ให้หนัก ถือว่ามันเป็นศัตรูหนักของเรา ใช้คำไว้ในใจให้มันหนักว่า ไอ้ตัวเลวนี่ โผล่หน้ามาอีกแล้วรึ กูไม่คบหาสมาคมกับ รูป เสียง กลิ่น รส และสัมผัสที่ไหนวะที่มันจะสร้างความสุขให้กับกู กูไม่คบ เพราะกูหลงอย่างนี้กูจึงเกิด ต่อจากนี้ไป กับกูเลิกกัน
มาถึงด้านปฏิฆะก็เหมือนกัน อารมณ์ที่มันจะเข้าไปรบอารมณ์ที่สร้างความไม่ชอบใจให้แก่คนอื่น ตอนนี้ก็จงสร้างความรู้สึกว่าไอ้เจ้านี่เลว เอ็งจะไปนั่งโกรธ ชาวบ้านชาวเมืองเขาทำไม ไอ้เอ็งมันเลวเองต่างหาก ไอ้นั่นมันเรื่องความเลวของคนอื่นนี่ ก็จะมายุ่งอะไรกับกูล่ะ กูไม่เอาแล้วไอ้ความโกรธ ความพยาบาท ความกระทบกระทั่งทำจิตให้ดิ้นรน ทำให้ไม่สบาย กูไม่เอา เอ็ง...จงไปเสียจากกู กูไม่คบค้าสมาคมกับ จิตเราทรงความยิ้มไว้เป็นปกติ ยิ้มเพราะเมตตา ความรัก ยิ้มเพราะกรุณา ความสงสาร ยิ้มเพราะมีเมตตา จิตกรุณา มีความกรุณาความอ่อนโยนของจิต พร้อมยอมรับความดีของบุคคลอื่น จิตมีอารมณ์สบายด้วยอุเบกขาที่เป็น อัพยากฤต คือมีอารมณ์พระนิพพานเป็นอารมณ์ จิตมีอารมณ์โปร่ง จิตมีอารมณ์สบาย เพราะใจของเราหวังได้แล้วว่า พระนิพพานเป็นของแน่นอนสำหรับเรา
เป็นอันว่าอารมณ์พระอนาคามีนี่ไม่มีอะไร เพราะว่าเราจ้ำจี้จ้ำไชมากันตั้งแต่สกิทาคามี ถ้าถึงอนาคามี มาถึงตอนนี้ ยังบอกว่าหนักใจเรื่องกามฉันทะ หนักใจเรื่องปฏิฆะ ผมก็ไม่รู้จะว่ายังไง ก็ต้องโมทนาด้วย หนักใจก็โมทนาอยู่เกิดต่อไปก็แล้วกัน มันจะได้อยู่กับความทุกข์ให้มันช่ำใจ ให้มีความแน่ใจว่าทุกข์มันดีขนาดไหน จนกว่าจะเบื่อมัน
เป็นอันว่าสำหรับเรื่องพระอนาคามีนั้นไม่มีอะไรยาก วันนี้เราก็มาว่ากันว่าถ้าจะตัดปฏิฆะได้ จิตจะต้องทรงในอารมณ์ของพรหมวิหารให้เป็นปกติ ควบกันกับอริยสัจ 4 ว่าตัวไม่ชอบใจเป็นปัจจัยของความทุกข์ เราไม่ต้องการมันอีกเพียงเท่านี้ ท่านก็จะทรงอารมณ์เป็นพระอนาคามี
พอถึงความเป็นพระอนาคามีนี่อารมณ์จะมีความสุขมาก จิตจะไม่ดิ้นรนด้วยรูป เสียง กลิ่น รสและสัมผัส ลองนึกดู มีแต่ความสุข มีแต่ความสบาย รังเกียจในระหว่างเพศ ร่างกายของเราก็ดี คนอื่นก็ดี เราเต็มไปด้วยความรังเกียจเพราะมันสกปรก จิตใจเป็นสุขเพราะไม่มีความโกรธไม่มีความพยาบาท มีแต่ความชุ่มชื่นด้วยอำนาจพรหมวิหาร 4 และมีการยอมรับนับถือว่าการเกิด แก่ เจ็บ ตายนี้มันเป็นทุกข์เราไม่ต้องการ อันนี้เราเหยียบย่างเข้ามาใกล้พระนิพพานแค่มือเอื้อม เรามีความพอใจ
เอาละบรรดาท่านทั้งหลาย คำแนะนำสำหรับวันนี้ก็ขอยุติไว้แต่เพียงเท่านี้ ขอท่านทั้งหลายตั้งกายให้ตรง ดำรงจิตให้มั่น กำหนดรู้ลมหายใจเข้าหายใจออก ใช้คำภาวนาและพิจารณาตามอัธยาศัย จนกว่าท่านจะเห็นว่าเวลานั้นเป็นกาลอันสมควรสำหรับท่าน สวัสดี
รวมลิงค์ทั้งหมด https://ppantip.com/profile/8483559#topics