หนังสือ คู่มือปฎิบัติวัดท่าซุง เล่ม 1 อาหาเรปฏิกูลสัญญา ตอนที่ 4.2

ต่อจาก หนังสือ คู่มือปฎิบัติวัดท่าซุง เล่ม 1 อาหาเรปฏิกูลสัญญา ตอนที่ 4.1 https://ppantip.com/topic/43230071

อาหาเรปฏิกูลสัญญา ตอนที่ 4.2

มาคราวนี้เรามาตัดสินใจกัน ว่าองค์สมเด็จพระประทีปแก้วอยู่ที่ไหน เราจะไปที่นั่น ถ้าจะถือว่ามันเกินวิสัยเกินไป ก็เห็นต้องตำหนิใจสักนิดหนึ่ง ที่พระพุทธเจ้ากล่าวว่า “วิริเยนะ ทุกขมัจเจติ" บุคคลจะล่วงทุกข์ได้เพราะความเพียร และประการที่ 2 บุคคลใดมีอิทธิบาท 4 บุคคลนั้นจะปรารถนาอะไรก็ได้ จะเป็นพระพุทธเจ้าก็ได้ จะเป็นพระปัจเจกพุทธเจ้าก็ได้ จะเป็นพระอัครสาวกเบื้องซ้ายเบี้ยงขวาก็ได้ จะเป็นพระอรหันต์ก็ได้

อิทธิบาท 4 มีอะไร มี
1. ฉันทะ ความพอใจ
2. วิริยะ ความเพียร
3. จิตตะ ใจจดจ่อในสิ่งนั้น
4. วิมังสา ใช้ปัญญาพิจารณาเหตุผลหาความจริงไว้เสมอ
ทีนี้เรามาใช้อิทธิบาท 4 จุดไหนล่ะดี ตอนนี้เราก็มานั่งไล่เบี้ย สังโยชน์ 10 มีอะไรบ้าง สังโยชน์ 10 นี่ต้องนึกทุกวัน ลืมตาขึ้นมา ใช้จิตใจของเราพิจารณาอารมณ์ใจ ว่าอารมณ์ใจของเรายังข้องยังติดอยู่ในสังโยชน์ 10 ประการ ข้อใดข้อหนึ่งหรือไม่ ถ้ายังมีข้อใดข้อหนึ่งที่เรายังพอใจ ก็แสดงว่ายังเลวเกินไป ไม่สมควรกับที่เป็น ศากยบุตรพุทธชิโนรส

มาไล่ สังโยชน์ 10
1. สักกายทิฏฐิ ท่านบอกว่าจงหาความจริงด้วยอำนาจของปัญญา ว่าอัดภาพร่างกายนี่มันไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา เราไม่มีในร่างกายร่างกายไม่มีในเรา มันมีความเกิดขึ้นในเบื้องต้น มีการเสื่อมไปทุกขณะ แล้วก็สลายคือตายในที่สุด จะกินอาหารดีประเภทไหนก็ตายหมด
2. วิจิกิจฉา เราจะไม่สงสัยในคำสั่งสอนของค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า โดยใช้ปัญญาพิจารณาหาความจริง
3. สีลัพพตปรามาส เราจะรักษาศีลให้บริสุทธิ์

พูดกันอย่างง่าย ๆ อันดับ 3 ขั้นนี้ เป็นอันดับของ พระโสดาบัน กับ พระสกิทาคามี เอาอย่างพูดภาษาไทยกันก็คิดว่า ร่างกายของเรานี้มันแก่ลงไปทุกวัน มันสึกหรอไปทุกวัน มีการป่วยใช้เป็นปกติ ไม่ช้าก็ตาย ถ้าเราจะตายเราจะหาที่พึ่งใว้กี่ก่อน โดยจะไม่ยอมลงอบายภูมิ คือไม่เกิดเป็นสัตวันรก เปรต อสุรกาย สัตว์เดรัจฉาน ถ้าบังเอิญจะเป็นคนก็เป็นให้มันน้อยชาติที่สุด แล้วก็เป็นคนอันดับดี เราจะทำได้อย่างนี้ก็เพราะว่าเคารพในองค์สมเด็จพระชินสีห์ เคารพในคำสอนของพระองค์ด้วยปัญญา

ธรรมควรที่จะเคารพอันดับแรกนั่นก็คือ ศีล 5 ประการ คือเราไม่ไหดร้าย ไม่มือไว ไม่ใจเร็ว ไม่พูดปด ไม่หมดสติ
ไม่ฆ่าสัตว์ตัดชีวิต ไม่ทำร้ายเขา ด้วยเมตตาจิต ไม่ลักไม่ขโมยเรา ด้วยอารมณ์กรุณาสงสาร แล้วก็แถมให้ทานเป็นกำลัง
เราไม่ยื้อแย่ง ความรักของบุคคลอื่น เพราะจิตสันโดษ พอใจเฉพาะคู่ตัวผัวเมีย
เราไม่พูดปดมดเท็จ ไม่ทำลายประโยชน์ของคนอื่นด้วยวาจา
เพราะเราไม่สร้างความเป็นคนบ้า เพราะเราไม่ดื่มสุราเมรัย

กำลังใจของเราปรารภพระนิพพานเป็นอารมณ์ คิดว่าการเกิดเป็นทุกข์ เลิกกันเสียที การเป็นมนุษย์มันก็ทุกข์แบบนี้ เป็นเทวตาหรือพรหมก็สุขชั่วคราว สู้เราไปพระนิพพานไม่ได้ ถ้าอารมณ์ใจของท่าน บรรดาพุทธบริษัททั้งหลายทรงอยู่ได้อย่างนี้ ท่านเรียกว่าพระโสดาบันหรือสกิทาคามี

ถ้าพูดให้ย่อลงมาอีกนิดหนึ่งให้มันเข้าใจง่าย ๆ ที่เรียกว่า
1. นึกถึงความตายเป็นปกติ ไม่ประมาทในชีวิตคิดว่าจะตายวันนี้เสมอ
ประการที่ 2. มีความเคารพในพระพุทธเจ้า มีความเคารพในพระธรรม มีความเคารพในพระอริยสงฆ์
มีศีล 5 บริสุทธิ์
รักพระนิพพานเป็นอารมณ์
ทีนี้การที่จะเคารพพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์นี่ เขาจะดูกันตรงศีล ถ้าศีลเรายังบกพร่อง ก็แสดงว่าเราไม่ใด้เคารพในพระพุทธเจ้าจริง ไม่ได้เคารพในพระธรรมจริง ไม่ได้เคารพในพระสงฆ์จริง ถ้าเราเคารพจริง ๆ พระท่านแนะนำว่าหากมีความเคารพในท่าน ต้องการให้ท่านเป็นที่พึ่ง จงทรงศีล 5 ให้บริสุทธิ์ นี่อันดับนี้ สังโยชน์ 3 ประการเปลื้องได้แบบเบา ๆ

รวมความว่าพระโสดาบันกับสกิทาคามี สมาธิแค่ปฐมฌาน คือใจสบาย ฯ ปัญญาไม่นึกมากอะไร นึกว่าความตายมาถึงมันเป็นทุกข์ เราไปนิพพานดีกว่า สิ่งที่มั่นจริง ๆ ก็คือศีล 5 บริสุทธิ์

ต่อไปถ้ากำลังใจดีแล้ว คลำต่อไปอีก ไอ้ 3 อย่างนี่มันทรงตัว ทำลายได้หรือยัง ทรงจิต ทรงให้มันย้ำอยู่อย่างนี้แหละให้มันขึ้นใจ

ถ้ากำลังใจทรงตัวดีแล้ว สมาธิมีกำลัง ปัญญามีกำลัง มันก็หันเข้าไปจับ กามฉันทะ ร่างกายของคนมาจากพื้นฐานแห่งความสกปรก เราจะสนใจร่างกายเขาร่างกายเราด้วยเรื่องอะไร ความรู้สึกในกามารมณ์มันก็ตกไป

ความโกรธ ความพยาบาท เป็นปัจจัยของความทุกข์ ความสุขมันอยู่ที่การรักกันเกื้อกูลกัน ไม่อิจฉาริษยาซึ่งกันและกัน วางเฉยในเมื่อสิ่งที่เราไม่สามารถจะแก้ไขได้มันเข้ามาถึงตัวเรา กำลังใจของเราตั้งอยู่ในความรักเป็นเหตุ และก็มีความสงสารตามคำแนะนำขององค์สมเด็จพระบรมโลกเชษฐ์ มีอารมณ์พลอยยินดีในดวามดีของบุคคลอื่น ไม่อิจฉาริษยา มีอุเบกขา วางเฉย คือไม่กระทบกระทั่งกับอารมณ์ที่เราไม่ถูกใจ เพียงเท่านี้ทำนทั้งหลายก็เป็น พระอนาคามี พอถึงอนาคามีนี่ตายจากคนไปเกิดเป็นเทวดา หรือพรหม ก็นิพพานเลย

ต่อไปสังโยชน์อีก 5 ประการข้างท้าย เป็นเรื่องของ อรหัตมรรค และอรหัตผล นั่นก็คือ รูปราคะ อย่าหลงในรูปฌานเกินไป แต่รูปฌาน ฌานต้องทรงเข้าไว้ อย่าทิ้ง แต่ก็จงอย่าคิดว่าความดีมันถึงที่สุดแค่รูปฌาน รูปฌานถือว่าเป็นบันไดก้าวเข้าไปสู่พระนิพพานเท่านั้น ต้องคบฌานต้องคบเป็นปกติ แต่ก็ใช้ปัญญาเข้ามาห้ำหั่น คิดว่าฌานนี่เป็นกำลังตัดกิเลส ช่วยปัญญาตัดกิเลส ให้เป็นสมุจเฉทปหาน

ประการต่อไปก็ไม่หลงใน อรูปฌาน มีอารมณ์อย่างเดียวกับในรูปฌาน คือไม่หลง อรูปฌานมีอารมณ์ละเอียด คล้ายพระอรหันต์ แต่ยังก่อน สมเด็จพระชินวร ทรงกล่าวว่า แค่อรูปฌานนี่ยังไม่เป็นอรหันต์

ต่อไปท่านก็ให้ตัด มานะ ความถือตัวถือตน จงอย่าคิดว่าเราดีกว่าเขา อย่าคิดว่าเราเสมอเขา อย่าคิดว่าเราเลวกว่าเขา แล้วคิดแบบไหนล่ะ ก็คิดว่าเราเกิดแก่เจ็บตายเหมือนกัน ใครจะมายังไง ใครจะมีฐานะเช่นใด ดีกว่าเรา เสมอเรา เสมอเรา เลวกว่าเรา มีความรู้เท่าเรา เสมอเรา เลวกว่าเรา มีศักดิ์ศรีเสมอกับเรา หรือดีกว่าเรา หรือเลวกว่าเราก็ช่าง เมื่อมาแล้วก็โอภาปราศรัยด้วยสัมโมทนียคาถา คือวาจาเป็นที่น่ารัก จิตใจก็มีปกติ คิดว่าเรากับเขาเป็นเพื่อนเกิดแก่เจ็บตายเหมือนกัน คำว่าดีเด่นในฐานะ ดีเด่นในความรู้ คีเด่นในศักดิ์ศรี ไม่ได้มีประโยชน์ ต่างคนต่างตาย ใจก็วางเสียได้

คนมือกุดแขนด้วน เป็นโรคขี้เรื้อนกุดถัง เราก็คบได้ ถือว่าไม่มีใครต้องการในอาการอย่างนั้น ที่เป็นมาก็เพราะกฎของกรรม เขาเองเราก็มีจิตใจเหมือนเรา เราก็มีจิตใจเหมือนเขา ถ้าเรามีสภาพเป็นอย่างนั้นบ้างเล่า ถ้าใครเขารังเกียจ เราก็อย่าเสียใจ เราก็คิดว่าเราจะคบกับคนประเภทใดก็ตาม เราก็ตายเขาก็ตาย หมดเรื่อง แม้แต่สัตว์เดรัจฉาน เราก็สามารถเป็นเพื่อนได้ ใช้ได้ ถ้าเป็นเพื่อนกับสัตว์เดรัจฉานยังไม่ได้ ก็ยังใช้ไม่ได้ ยังรังเกียจสุนัข รังเกียจแมว รังเกียจเป็ด ไก่ หมู วัว ควาย อันนี้ใช้ไม่ได้ คำว่า รังเกียจ แม้ในคนหรือสัตว์ ไม่มีสำหรับเรา พอแล้ว ขอพูดย่อ ๆ เวลาเหลืออีก 3 นาที

ต่อไปก็ อุทธัจจะ อุทธัจจะตัวนี้ที่พูดมานี้ตั้งแต่รูปราคะ อรูปราคะ นี่เป็นอรหัตมรรค อรหัตมรรคก็พยายามตัด ต่อไปก็อุทธัจจะคืออารมณ์ฟุ้ง ฟุ้งตัวไหน อารมณ์ฟุ้งของอรหัตมรรค บางทีก็เหนื่อยขึ้นมา เอ๊ะ จะทำไปทำไมหนอ เราเป็นอนาคามิผลแล้วนี่ ตายจากความเป็นคน ไปเกิดเป็นเทวดาหรือพรหม เราไปฝึกฝนบนนั้น เราก็ไปนิพพานได้ นี่จะฟุ้งไปนิดตรงนี้ ฟังเรื่องกิเลสไม่มี แต่เราก็ไปตัดใจเสียว่า ถ้าเวลามันยังมี ถ้าสามารถจะเป็นอรหันต์ได้ก็เป็นเสียเลย เราไม่ต้องการไปพักที่เทวดาหรือพรหม ถ้าบังเอิญมันไปไม่ไหว ไปทักที่นั่นก็เป็นเรื่องของมัน ถ้าไปไหวจากชาตินี้จะไปถึงนิพพานได้เราก็ไปเลย เพราะจิตใจของเราจับจดจ่ออยู่เฉพาะมีพระนิพพานเป็นอารมณ์ มีที่เดียวที่เราต้องการจะไป

หลังจากนั้นองค์สมเด็จพระจอมไตรทรงแนะนำให้ตัด อวิชชา คือความโง่ อวิชชานี่เขาแปลว่าไม่รู้ อาตมาไม่เห็นด้วย คนเกิดมามันต้องรู้ รู้จักพ่อ รู้จักแม่ รู้จักพี่ รู้จักน้อง รู้จักตัวเอง รู้จักหิว รู้จักกระหาย รู้จักปวดอุจจาระ รู้จักปวดปัสสาวะ ไม่รู้ได้ยังไง รู้แต่ว่ารู้ไม่ทั่วแปลว่าโง่ ตอนนี้ท่านให้ตัดต้วยอารมณ์ 2 คือ ฉันทะ ความพอใจ ราคะ ความยินดี ความพอใจในการเกิด ยินดีในการเกิดใหม่ไม่มีสำหรับเรา พอใจในรูปโฉมโนมพรรณของคนอื่นไม่มีสำหรับเรา ยินดีในรูปโฉมโนมพรรณของคนอื่นไม่มีสำหรับเรา พอใจในทรัพย์สินทั้งหลายในโลก ยินดีในทรัพย์สินทั้งหลายในโลกไม่มีสำหรับเรา เพราะว่าทุกสิ่งทุกอย่างเป็นอนิจจัง หาความเที่ยงไม่ได้ ทุกอย่างเป็นปัจจัยของความทุกข์ และทุกอย่างเป็นอนัตตา ในที่สุดก็สสายไป เราต้องการแดนที่เป็นอมตะ คือไม่มีการเคลื่อนไหวได้แก่ พระนิพพาน

ถ้าจิตใจของบรรดาท่านพุทธบริษัททุกท่าน นี่ขอพูดโดยย่อนะ ยาวนักก็น่ารำคาญ ทำกำลังใจได้อย่างนี้ เป็นอันว่าท่านเข้าถึงความเป็นสาวกขององค์สมเด็จพระชินสีห์บรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าเต็มตัว คือเป็นพระอรหันต์

เอาล่ะบรรดาท่านพุทธบริษัททุกท่าน สำหรับอาหาเรปฏิกูลสัญญา ก็ขอแนะนำแต่เพียงโดยย่อ พอได้ความเพียงเท่านี้ การปฏิบัติต้องใช้ปัญญาประกอบด้วย ช่วยให้มีความสุขสำเร็จมรรคผล ถ้าหากว่าบรรรดาท่านพุทธศาสนิกชนมีอิทธิบาท 4 ประจำใจ เรื่องการปฏิบัติทุกอย่างในศาสนาขององค์สมเด็จพระจอมไตร ไม่มีอะไรที่จะยาก

ต่อแต่นี้ไป ขอบรรดาสาวกขององค์สมเด็จพระผู้มีพระภาค จงพากันตั้งกายให้ตรง ดำรงจิตให้มั่น กำหนดรู้ลมหายใจเข้าหายใจออก ใช้คำภาวนาและพิจารณาตามอัธยาศัย จนกว่าจะถึงเวลาที่ท่านเห็นสมควร สวัสดี

ลิงค์ทั้งหมด https://ppantip.com/profile/8483559#topics

แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่