อาหาเรปฏิกูลสัญญา ตอนที่ 4.1
ท่านสาธุชนพุทธบริษัททั้งหลาย เวลานี้ท่านทั้งหลายได้พากันสมาทานศีลสมาทานพระกรรมฐานแล้ว ต่อนี้ไปขอบรรคาท่านพุทธบริษัทตั้งใจสดับเรื่องของ
อาหาเรปฏิกูลสัญญาตอนจบ ความจริงเรื่องนี้ถ้าจะพูดกันไปมันก็ไม่จบ แต่จะขอรวบรัดตัดใจความ เพราะว่ามันเยิ่นเย้อเกินไป ด้วยการศึกษาพระกรรมฐานของบรรดาท่านทั้งหลาย ได้ศึกษากันมามากแล้ว ตั้งแต่ อานาปานุสสติกรรมฐาน
สำหรับเมื่อคืนนี้ได้พูดถึงว่า อาหารคำหนึ่งที่เราบริโภคเข้าไปก็ถือว่าเรากินทุกข์ เพราะว่าเราได้มาจากทุกข์ ตอนนี้เป็นเรื่องของ
อริยสัจ คือเอาเรื่องของอาหารเข้ามาหาความจริง
อริยสัจ นี่แปลว่า ความจริงที่พระอริยเจ้ายอมรับนับถือ หรือว่าการยอมรับนับถือ อริยสัจเป็นปัจจัยให้ได้เป็นพระอริยเจ้า จะแปลยังไงก็ได้ แปลให้ได้ความก็แล้วกัน หมายความว่าใครทำได้ในด้านของอริยสัจจะได้เป็นพระอริยเจ้า เป็นอันว่าอาหารเป็นปัจจัยของความทุกข์ หรือว่าเราอยากจะได้ความทุกข์มาเพราะอาหารเป็นเหตุ ที่เราต้องการอาหารมาก็เพราะ เราต้องการให้ร่างกายของเราทรงอยู่ การทรงอยู่ของร่างกาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งปุถุชนยังมีความรู้สึกว่า
คิดว่าร่างกายนี้ไม่มีคำว่าตาย ต้องการจะฟังอย่างเดียวหรือคิดอย่างเดียวว่าเราไม่ตาย อันนี้เป็นความประสงค์ของบรรดาปุถุชนทั้งหมด
แต่ทว่าขอบรรดาสาวกขององค์สมเด็จพระบรมสุคต อารมณ์อย่างนั้นเป็นอารมณ์ของอุปาทาน คือกิเลส ความจริงอาหารที่เราได้มาด้วยความทุกข์ เข้ามาเกื้อกลูร่างกาย ต้องการให้ร่างกายทรงอยู่ คนคิดถึงความตายไม่มี หรือว่าเราจะมีอาหารดีขนาดไหนก็ตามที ดูคนที่เขามีฐานะดีกว่าเรา เขาบริโภคอาหารในบ้านบ้าง บริโภคอาหารนอกบ้านบ้าง ที่ถือว่าเป็นอาหารชั้นเลิศ สังเกตดูว่าในคนทั้งหลายเหล่านั้นเขาแก่หรือเปล่า และเขากินอาหารดีขนาดไหนก็ตาม เขาป่วยหรือเปล่า และคนที่กินอาหารขั้นดีที่เรียกว่าดีทั้งหมด ตายไหม
เป็นอันว่าเรายอมรับกัน ว่าจะกินอาหารดีก็ตาย กินอาหารเลวก็ตาย ฉะนั้นเราจะมัวเมาเรื่องอาหารเรื่องอะไรกัน เป็นอันว่าการที่เราไปหลงในอาหาร คิดว่าอาหารอย่างนั้นเลิศ อาหารอย่างนี้เลิศ เพราะว่าเราเมาในชีวิต ไม่ได้คิดถึงความเป็นจริง อาหารมาจากความทุกข์ ทุกข์เพราะอะไร ทุกข์เพราะตัณหา ตัณหา แปลว่า ความอยาก อยากอะไร อยากให้ร่างกายมันทรงอยู่
ในอันดับแรก ถ้ายังเป็นหนุ่มเป็นสาว สมมุติว่าเราเป็นเด็กก่อน ตอนเป็นเด็กกินอาหารอยากเป็นหนุ่มเป็นสาว พอเป็นหนุ่มเป็นสาวแล้วกินอาหารไม่อยากให้มันแก่ ไม่อยากให้มันป่วย ไม่อยากให้มันตาย ไอ้นี่เป็นตัณหา และความปรารถนาในการบริโภคอาหารสำเร็จผลกับเราหรือไม่ เป็นอันว่าเราจะกินอาหารแบบไหนก็ตาม เราก็ต้องตาย เราก็ต้องแก่ เราก็ต้องป่วย เราก็ต้องพลัดพรากจากของรักของชอบใจเหมือนกันหมด
อันนี้องค์สมเด็จพระบรมสุคต นอกจากจะให้พิจารณาอาหารว่าเป็นของสกปรก และก็ต้องถือว่าอาหารเราได้มาเพราะความทุกข์ เราจะต้องมีทุกข์เพราะอาหารเพราะว่าเรามีความโง่ โง่ตั้งแต่ชาติก่อนโน้น ไม่ใช่โง่ตั้งแต่ชาตินี้ ชาติก่อนเราก็โง่มานับชาติไม่ถ้วน มาชาตินี้เราก็ยังโง่กันอีก โง่เพราะว่าอะไร โง่เพราะว่าถ้าเรามีกินแล้วเราก็ไม่ตาย เรามีกินเราก็ไม่แก่ เรามีกินเราไม่ป่วย ทรัพย์สินทั้งหลายใด ๆ ที่เรามีอยู่แม้แต่ชีวิต เราก็คิดว่าจะไม่ต้องพลัดพรากจากกัน และความปรารถนาอย่างนี้มันสมหวังกันทุกคนหรือเปล่า เป็นอันว่าไม่สมหวัง
เมื่อ 2-3 วัน ได้ยินข่าวว่า
พระสุชัยมุนี หรือ
เจ้าคุณสุชัยมุนี เจ้าคณะจังหวัดชัยนาท ท่านมรณภาพ สำหรับพระองค์นี้อาตมาขอยอมรับนับถือ ว่าเป็นพระดีท่านหนึ่งเพราะว่าเป็นคนดีจริง ๆ เป็นพระก็พระดีจริง ๆ ไปอยู่ที่ไหนวัดเจริญที่นั่น สำหรับนักบวชที่จะทรงศีลบริสุทธิ์มีสมาธิทรงตัว มีวิปัสสนาญาณพอใช้ใด้ อยู่ที่ไหนก็มีแต่ความเจริญ อยู่วัดหางน้ำสาคร มีสภาพผุพัง เกือบจะไม่มีอะไรเหลือหรอ ท่านมาอยู่เพียงไม่กี่ปีก็ปรากฏว่าวัดนั้นรุ่งเรือง มาอยู่ที่วัดศรีวิชัย ในสมัยก่อนหน้านั้นเต็มไปด้วยความยุ่งและยาก มีทั้งยุ่งและก็มีทั้งยาก แต่พอว่าท่านเป็นเจ้าคณะจังหวัด เขาเกณฑ์ให้ท่านมาอยู่จังหวัด ที่วัดศรีวิชัย เพียงระยะต้นนับตั้งแต่เขายังยุ่งกันอยู่ ท่านมา ความยุ่งก็สงบไป ความยากใด ๆ ทั้งหลายมันก็ไม่มี
นี่ขึ้นชื่อว่าคนดีเสียอย่าง ถ้าคนดีไปอยู่ที่ไหน สถานที่ก็ดีด้วย และคนที่อยู่ในบริเวณนั้นก็ดีด้วย เพราะอะไร เพราะว่าพระพุทธเจ้าตรัสว่า
อเสวนา จ พาลานัง ปัณฑิตานัญจ เสวนา
ปูชา จ ปูชนียานัง เอตัมมังคลมุตตมัง
การไม่คบคนชั่วคือคนพาลอย่างหนึ่ง การคบบัณฑิต คือคนดีอย่างหนึ่ง
การบูชาบุคคลที่ควรบูชา องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ากล่าวเป็นอุดมมงคล
เจ้าคุณสุชัยมุนี ท่านไม่คบความชั่ว คนชั่วท่านก็ไม่คบ อารมณ์ชั่วท่านก็ไม่คบ ท่านคบแต่อารมณ์ดี หรือว่าคบแต่คนดี คือคนที่เข้าไปหาท่าน ท่านไม่เคยคิดว่าใคร จะเลว เห็นว่าดี เจอะหน้ากันคราวไรก็บ่นว่าผมมาทันท่านไม่มีโอกาสไปจังหวัดอุทัยธานี เป็นอันว่าพระองค์นี้หนักไปทั้งศีล หนักทั้งสมาธิ หนักทั้งวิปัสสนาญาณ
ขอประทานโทษ ถ้าพูดไปนี้ ถ้าหากว่าท่านทั้งหลายจะเห็นว่า เป็นการอวดอุตริมนุสสธรรม ผมก็ไม่ขอจะติท่าน แต่ขอพูดตามภาพนิมิต เมื่อวันเสาร์หรีอวันอาทิตย์ จำไม่ได้ถนัด กำลังฝึกพระกรรมฐานอยู่ ปรากฎว่าพระสุชัยมุนีมาหา แสดงตนเป็นพรหม ถามว่าเป็นพรหมชั้นไหน บอกว่าเป็นพรหมชั้นที่ 7 ถามว่าทำไมจึงเป็นพรหม ทำไมไม่ไปให้มันสูงกว่านั้น ท่านบอกว่าว่าผมไม่ทันท่านเสียแล้ว แต่ว่าไม่เป็นไรผมก็มีความสบายพอ พอขยับปากจะถามว่า จะกลับลงมาเกิดอีกไหม ก็ปรากฏว่าท่านไปเสียก่อน ก็แสดงว่าท่านไม่อยากจะตอบคำนั้น
นี่เห็นไหม ถึงว่าท่านเป็นเจ้าคณะจังหวัด อาการป่วยของท่านมันมีอยู่เป็นของธรรมดา
ร่างกายเป็นโรคนิทธัง มันเป็นรังของโรค ขึ้นชื่อว่าโรคมีในร่างกายของคนทุกคนแต่ก็ไม่มีใครคาดฝันว่าท่านจะตายง่ายตายดายเป็นอันว่าท่านตายแบบสงบ ถ้าลองตายเป็นพรหมก็แสดงว่าขณะที่ท่านตายนั้นท่านเข้าฌานตาย คนที่ตายด้วยกำลังฌาน อย่างเลวที่สุดท่านก็เป็นพรหม แต่ว่าท่านจะเป็นพระอริยเจ้าหรือไม่ อันนี้ไม่ทราบ เพราะไม่เคยถามท่าน
แต่ก็สงสัย คำว่า สงสัย ก็สงสัยที่ท่านไม่สะสมเงินทองใด ๆ ใครจะนินทา ว่าร้ายยังไงก็ตาม ท่านไม่เคยสนใจกับวาวาของบุคลอื่น เมื่อพบกันคราวไรก็ปรารภอย่างเดียวถึงธรรมวินัย และทำตนเป็นกันเองเสมอ สมัยที่ไม่เป็นเจ้าคณะจังหวัด เคยพบกันแสดงอาการอย่างไร เป็นเจ้าคณะจังหวัดก็เป็นอย่างนั้น ไม่เคยคิดว่าท่านมีฐานะสูงส่งอะไร เห็นหน้ากันคราวใดก็คุยกันแบบเพื่อนเหมือนเดิม
ฉะนั้นขอบรรดาท่านทั้งหลาย ที่ท่านคิดว่าท่านจะไม่ตายน่ะ ดูท่านเจ้าคุณสุชัยมุนี เจ้าคณะจังหวัดชัยนาท อยู่ดี ๆ ท่านก็ตาย ฉะนั้นในการเจริญอาหาเรปฎิกูลสัญญาตอนท้าย ก็ขอให้ท่านทั้งหลายตัดตัณหาคือความอยาก ที่อยากว่าจะมีชีวิตทรงตลอดไป อยากจะไม่ต้องการมีความแก่ อยากเป็นคนไม่มีโรคภัยไข้เจ็บ อยากเป็นคนไม่พลัดพรากจากของรักของชอบใจ อยากไม่ตาย จงอย่าคิด สิ่งทั้งหลายเหล่านี้มันเป็นสิ่งที่มันติดมากับความชั่วของเรา ที่กล่าวว่าความชั่วก็เพราะว่าเรามัวเมาในอาหาร มัวเมาในชีวิตและร่างกาย มัวเมาในทรัพย์สินทั้งหลาย มัวเมาในความทรงอยู่ ความจริงพวกเราทั้งหมดเคยพบองค์สมเด็จพระบรมครู ที่เรียกกันว่าพระพุทธเจ้ามาหลายพระองค์ ถ้าหากเราไม่โง่เสียอย่างเดียว เราก็ไปนิพพานนานแล้ว
มีต่อ หนังสือ คู่มือปฎิบัติวัดท่าซุง เล่ม 1 อาหาเรปฏิกูลสัญญา ตอนที่ 4.2 https://ppantip.com/topic/43230085
หนังสือ คู่มือปฎิบัติวัดท่าซุง เล่ม 1 อาหาเรปฏิกูลสัญญา ตอนที่ 4.1
ท่านสาธุชนพุทธบริษัททั้งหลาย เวลานี้ท่านทั้งหลายได้พากันสมาทานศีลสมาทานพระกรรมฐานแล้ว ต่อนี้ไปขอบรรคาท่านพุทธบริษัทตั้งใจสดับเรื่องของ อาหาเรปฏิกูลสัญญาตอนจบ ความจริงเรื่องนี้ถ้าจะพูดกันไปมันก็ไม่จบ แต่จะขอรวบรัดตัดใจความ เพราะว่ามันเยิ่นเย้อเกินไป ด้วยการศึกษาพระกรรมฐานของบรรดาท่านทั้งหลาย ได้ศึกษากันมามากแล้ว ตั้งแต่ อานาปานุสสติกรรมฐาน
สำหรับเมื่อคืนนี้ได้พูดถึงว่า อาหารคำหนึ่งที่เราบริโภคเข้าไปก็ถือว่าเรากินทุกข์ เพราะว่าเราได้มาจากทุกข์ ตอนนี้เป็นเรื่องของ อริยสัจ คือเอาเรื่องของอาหารเข้ามาหาความจริง
อริยสัจ นี่แปลว่า ความจริงที่พระอริยเจ้ายอมรับนับถือ หรือว่าการยอมรับนับถือ อริยสัจเป็นปัจจัยให้ได้เป็นพระอริยเจ้า จะแปลยังไงก็ได้ แปลให้ได้ความก็แล้วกัน หมายความว่าใครทำได้ในด้านของอริยสัจจะได้เป็นพระอริยเจ้า เป็นอันว่าอาหารเป็นปัจจัยของความทุกข์ หรือว่าเราอยากจะได้ความทุกข์มาเพราะอาหารเป็นเหตุ ที่เราต้องการอาหารมาก็เพราะ เราต้องการให้ร่างกายของเราทรงอยู่ การทรงอยู่ของร่างกาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งปุถุชนยังมีความรู้สึกว่า คิดว่าร่างกายนี้ไม่มีคำว่าตาย ต้องการจะฟังอย่างเดียวหรือคิดอย่างเดียวว่าเราไม่ตาย อันนี้เป็นความประสงค์ของบรรดาปุถุชนทั้งหมด
แต่ทว่าขอบรรดาสาวกขององค์สมเด็จพระบรมสุคต อารมณ์อย่างนั้นเป็นอารมณ์ของอุปาทาน คือกิเลส ความจริงอาหารที่เราได้มาด้วยความทุกข์ เข้ามาเกื้อกลูร่างกาย ต้องการให้ร่างกายทรงอยู่ คนคิดถึงความตายไม่มี หรือว่าเราจะมีอาหารดีขนาดไหนก็ตามที ดูคนที่เขามีฐานะดีกว่าเรา เขาบริโภคอาหารในบ้านบ้าง บริโภคอาหารนอกบ้านบ้าง ที่ถือว่าเป็นอาหารชั้นเลิศ สังเกตดูว่าในคนทั้งหลายเหล่านั้นเขาแก่หรือเปล่า และเขากินอาหารดีขนาดไหนก็ตาม เขาป่วยหรือเปล่า และคนที่กินอาหารขั้นดีที่เรียกว่าดีทั้งหมด ตายไหม
เป็นอันว่าเรายอมรับกัน ว่าจะกินอาหารดีก็ตาย กินอาหารเลวก็ตาย ฉะนั้นเราจะมัวเมาเรื่องอาหารเรื่องอะไรกัน เป็นอันว่าการที่เราไปหลงในอาหาร คิดว่าอาหารอย่างนั้นเลิศ อาหารอย่างนี้เลิศ เพราะว่าเราเมาในชีวิต ไม่ได้คิดถึงความเป็นจริง อาหารมาจากความทุกข์ ทุกข์เพราะอะไร ทุกข์เพราะตัณหา ตัณหา แปลว่า ความอยาก อยากอะไร อยากให้ร่างกายมันทรงอยู่
ในอันดับแรก ถ้ายังเป็นหนุ่มเป็นสาว สมมุติว่าเราเป็นเด็กก่อน ตอนเป็นเด็กกินอาหารอยากเป็นหนุ่มเป็นสาว พอเป็นหนุ่มเป็นสาวแล้วกินอาหารไม่อยากให้มันแก่ ไม่อยากให้มันป่วย ไม่อยากให้มันตาย ไอ้นี่เป็นตัณหา และความปรารถนาในการบริโภคอาหารสำเร็จผลกับเราหรือไม่ เป็นอันว่าเราจะกินอาหารแบบไหนก็ตาม เราก็ต้องตาย เราก็ต้องแก่ เราก็ต้องป่วย เราก็ต้องพลัดพรากจากของรักของชอบใจเหมือนกันหมด
อันนี้องค์สมเด็จพระบรมสุคต นอกจากจะให้พิจารณาอาหารว่าเป็นของสกปรก และก็ต้องถือว่าอาหารเราได้มาเพราะความทุกข์ เราจะต้องมีทุกข์เพราะอาหารเพราะว่าเรามีความโง่ โง่ตั้งแต่ชาติก่อนโน้น ไม่ใช่โง่ตั้งแต่ชาตินี้ ชาติก่อนเราก็โง่มานับชาติไม่ถ้วน มาชาตินี้เราก็ยังโง่กันอีก โง่เพราะว่าอะไร โง่เพราะว่าถ้าเรามีกินแล้วเราก็ไม่ตาย เรามีกินเราก็ไม่แก่ เรามีกินเราไม่ป่วย ทรัพย์สินทั้งหลายใด ๆ ที่เรามีอยู่แม้แต่ชีวิต เราก็คิดว่าจะไม่ต้องพลัดพรากจากกัน และความปรารถนาอย่างนี้มันสมหวังกันทุกคนหรือเปล่า เป็นอันว่าไม่สมหวัง
เมื่อ 2-3 วัน ได้ยินข่าวว่า พระสุชัยมุนี หรือ เจ้าคุณสุชัยมุนี เจ้าคณะจังหวัดชัยนาท ท่านมรณภาพ สำหรับพระองค์นี้อาตมาขอยอมรับนับถือ ว่าเป็นพระดีท่านหนึ่งเพราะว่าเป็นคนดีจริง ๆ เป็นพระก็พระดีจริง ๆ ไปอยู่ที่ไหนวัดเจริญที่นั่น สำหรับนักบวชที่จะทรงศีลบริสุทธิ์มีสมาธิทรงตัว มีวิปัสสนาญาณพอใช้ใด้ อยู่ที่ไหนก็มีแต่ความเจริญ อยู่วัดหางน้ำสาคร มีสภาพผุพัง เกือบจะไม่มีอะไรเหลือหรอ ท่านมาอยู่เพียงไม่กี่ปีก็ปรากฏว่าวัดนั้นรุ่งเรือง มาอยู่ที่วัดศรีวิชัย ในสมัยก่อนหน้านั้นเต็มไปด้วยความยุ่งและยาก มีทั้งยุ่งและก็มีทั้งยาก แต่พอว่าท่านเป็นเจ้าคณะจังหวัด เขาเกณฑ์ให้ท่านมาอยู่จังหวัด ที่วัดศรีวิชัย เพียงระยะต้นนับตั้งแต่เขายังยุ่งกันอยู่ ท่านมา ความยุ่งก็สงบไป ความยากใด ๆ ทั้งหลายมันก็ไม่มี
นี่ขึ้นชื่อว่าคนดีเสียอย่าง ถ้าคนดีไปอยู่ที่ไหน สถานที่ก็ดีด้วย และคนที่อยู่ในบริเวณนั้นก็ดีด้วย เพราะอะไร เพราะว่าพระพุทธเจ้าตรัสว่า
อเสวนา จ พาลานัง ปัณฑิตานัญจ เสวนา
ปูชา จ ปูชนียานัง เอตัมมังคลมุตตมัง
การไม่คบคนชั่วคือคนพาลอย่างหนึ่ง การคบบัณฑิต คือคนดีอย่างหนึ่ง
การบูชาบุคคลที่ควรบูชา องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ากล่าวเป็นอุดมมงคล
เจ้าคุณสุชัยมุนี ท่านไม่คบความชั่ว คนชั่วท่านก็ไม่คบ อารมณ์ชั่วท่านก็ไม่คบ ท่านคบแต่อารมณ์ดี หรือว่าคบแต่คนดี คือคนที่เข้าไปหาท่าน ท่านไม่เคยคิดว่าใคร จะเลว เห็นว่าดี เจอะหน้ากันคราวไรก็บ่นว่าผมมาทันท่านไม่มีโอกาสไปจังหวัดอุทัยธานี เป็นอันว่าพระองค์นี้หนักไปทั้งศีล หนักทั้งสมาธิ หนักทั้งวิปัสสนาญาณ
ขอประทานโทษ ถ้าพูดไปนี้ ถ้าหากว่าท่านทั้งหลายจะเห็นว่า เป็นการอวดอุตริมนุสสธรรม ผมก็ไม่ขอจะติท่าน แต่ขอพูดตามภาพนิมิต เมื่อวันเสาร์หรีอวันอาทิตย์ จำไม่ได้ถนัด กำลังฝึกพระกรรมฐานอยู่ ปรากฎว่าพระสุชัยมุนีมาหา แสดงตนเป็นพรหม ถามว่าเป็นพรหมชั้นไหน บอกว่าเป็นพรหมชั้นที่ 7 ถามว่าทำไมจึงเป็นพรหม ทำไมไม่ไปให้มันสูงกว่านั้น ท่านบอกว่าว่าผมไม่ทันท่านเสียแล้ว แต่ว่าไม่เป็นไรผมก็มีความสบายพอ พอขยับปากจะถามว่า จะกลับลงมาเกิดอีกไหม ก็ปรากฏว่าท่านไปเสียก่อน ก็แสดงว่าท่านไม่อยากจะตอบคำนั้น
นี่เห็นไหม ถึงว่าท่านเป็นเจ้าคณะจังหวัด อาการป่วยของท่านมันมีอยู่เป็นของธรรมดา ร่างกายเป็นโรคนิทธัง มันเป็นรังของโรค ขึ้นชื่อว่าโรคมีในร่างกายของคนทุกคนแต่ก็ไม่มีใครคาดฝันว่าท่านจะตายง่ายตายดายเป็นอันว่าท่านตายแบบสงบ ถ้าลองตายเป็นพรหมก็แสดงว่าขณะที่ท่านตายนั้นท่านเข้าฌานตาย คนที่ตายด้วยกำลังฌาน อย่างเลวที่สุดท่านก็เป็นพรหม แต่ว่าท่านจะเป็นพระอริยเจ้าหรือไม่ อันนี้ไม่ทราบ เพราะไม่เคยถามท่าน
แต่ก็สงสัย คำว่า สงสัย ก็สงสัยที่ท่านไม่สะสมเงินทองใด ๆ ใครจะนินทา ว่าร้ายยังไงก็ตาม ท่านไม่เคยสนใจกับวาวาของบุคลอื่น เมื่อพบกันคราวไรก็ปรารภอย่างเดียวถึงธรรมวินัย และทำตนเป็นกันเองเสมอ สมัยที่ไม่เป็นเจ้าคณะจังหวัด เคยพบกันแสดงอาการอย่างไร เป็นเจ้าคณะจังหวัดก็เป็นอย่างนั้น ไม่เคยคิดว่าท่านมีฐานะสูงส่งอะไร เห็นหน้ากันคราวใดก็คุยกันแบบเพื่อนเหมือนเดิม
ฉะนั้นขอบรรดาท่านทั้งหลาย ที่ท่านคิดว่าท่านจะไม่ตายน่ะ ดูท่านเจ้าคุณสุชัยมุนี เจ้าคณะจังหวัดชัยนาท อยู่ดี ๆ ท่านก็ตาย ฉะนั้นในการเจริญอาหาเรปฎิกูลสัญญาตอนท้าย ก็ขอให้ท่านทั้งหลายตัดตัณหาคือความอยาก ที่อยากว่าจะมีชีวิตทรงตลอดไป อยากจะไม่ต้องการมีความแก่ อยากเป็นคนไม่มีโรคภัยไข้เจ็บ อยากเป็นคนไม่พลัดพรากจากของรักของชอบใจ อยากไม่ตาย จงอย่าคิด สิ่งทั้งหลายเหล่านี้มันเป็นสิ่งที่มันติดมากับความชั่วของเรา ที่กล่าวว่าความชั่วก็เพราะว่าเรามัวเมาในอาหาร มัวเมาในชีวิตและร่างกาย มัวเมาในทรัพย์สินทั้งหลาย มัวเมาในความทรงอยู่ ความจริงพวกเราทั้งหมดเคยพบองค์สมเด็จพระบรมครู ที่เรียกกันว่าพระพุทธเจ้ามาหลายพระองค์ ถ้าหากเราไม่โง่เสียอย่างเดียว เราก็ไปนิพพานนานแล้ว
มีต่อ หนังสือ คู่มือปฎิบัติวัดท่าซุง เล่ม 1 อาหาเรปฏิกูลสัญญา ตอนที่ 4.2 https://ppantip.com/topic/43230085