ย่อจากพระสูตรนี้....
รูป เสียง กลิ่น รส ผัสสะ และธรรมารมณ์ล้วนน่า-
ปรารถนา น่าใคร่ น่าพอใจ มีประมาณเท่าใด โลกกล่าว
ว่ามีอยู่ อารมณ์ ๖ อย่างเหล่านี้ โลกพร้อมทั้งเทวโลกสมมติ
กันว่าเป็นสุข แต่ว่าธรรมเป็นที่ดับอารมณ์ ๖ อย่างนี้ ชน-
เหล่านั้นสมมติกันว่าเป็นทุกข์ ความดับแห่งเบญจขันธ์
พระอริยะเจ้าทั้งหลายเห็นว่าเป็นสุข ความเห็นขัดแย้งกันกับ
โลกทั้งปวงนี้ ย่อมมีแก่บัณฑิตทั้งหลายผู้เห็นอยู่ ชนเหล่าอื่น
กล่าววัตถุกามใดโดยความเป็นสุข พระอริยเจ้าทั้งหลาย
กล่าววัตถุกามนั้นโดยความเป็นทุกข์ ชนเหล่าอื่นกล่าวนิพพาน
ใดโดยความเป็นทุกข์ พระอริยเจ้าทั้งหลายผู้รู้แจ้งกล่าว
นิพพานนั้นโดยความเป็นสุข ท่านจงพิจารณาธรรมที่รู้ได้ยาก
ชนพาลทั้งหลายผู้ไม่รู้แจ้ง พากันลุ่มหลงอยู่ในโลกนี้ ความ
มืดตื้อย่อมมีแก่ชนพาลทั้งหลายผู้ถูกอวิชชาหุ้มห่อแล้ว ผู้ไม่
เห็นอยู่ ส่วนนิพพาน เป็นธรรมชาติเปิดเผยแก่สัตบุรุษ
ผู้เห็นอยู่ เหมือนอย่างแสงสว่าง ฉะนั้น ชนทั้งหลายเป็นผู้
ค้นคว้า ไม่ฉลาดต่อธรรม ย่อมไม่รู้แจ้งนิพพานที่มีอยู่ในที่
ใกล้ ชนทั้งหลายผู้ถูกภวราคะครอบงำแล้ว แล่นไปตาม
กระแสภวตัณหา ผู้เข้าถึงวัฏฏะอันเป็นบ่วงแห่งมารเนืองๆ
ไม่ตรัสรู้ธรรมนี้ได้โดยง่าย นอกจากพระอริยเจ้าทั้งหลาย
ใครหนอย่อมควรจะรู้บท คือ นิพพานที่พระอริยเจ้าทั้งหลาย
ตรัสรู้ดีแล้ว พระอริยเจ้าทั้งหลายเป็นผู้ไม่มีอาสวะเพราะรู้
โดยชอบ ย่อมปรินิพพาน ฯ
...................................................................................................
สมัยนั้นพวกมิจฉาทิฏฐิที่เห็นว่านิพพานเป็นทุกข์มันมีอยู่
ส่วนสมัยนี้ก็ยังมีคนเห็นว่านิพพานเป็นอนัตตา ก็มีอยู่..
ถามว่า...
คนที่เห็นว่านิพพานเป็นทุกข์ และคนที่เห็นว่านิพพานเป็นอนัตตา
มันต่างกันมั้ย หรือเหมือนกันอย่างไร ?
ขัดแย้งกับความเห็นของพระพุทธเจ้ามั้ย ?
สมัยนั้นมีคนเห็นว่านิพพานเป็นทุกข์ ก็มีอยู่
รูป เสียง กลิ่น รส ผัสสะ และธรรมารมณ์ล้วนน่า-
ปรารถนา น่าใคร่ น่าพอใจ มีประมาณเท่าใด โลกกล่าว
ว่ามีอยู่ อารมณ์ ๖ อย่างเหล่านี้ โลกพร้อมทั้งเทวโลกสมมติ
กันว่าเป็นสุข แต่ว่าธรรมเป็นที่ดับอารมณ์ ๖ อย่างนี้ ชน-
เหล่านั้นสมมติกันว่าเป็นทุกข์ ความดับแห่งเบญจขันธ์
พระอริยะเจ้าทั้งหลายเห็นว่าเป็นสุข ความเห็นขัดแย้งกันกับ
โลกทั้งปวงนี้ ย่อมมีแก่บัณฑิตทั้งหลายผู้เห็นอยู่ ชนเหล่าอื่น
กล่าววัตถุกามใดโดยความเป็นสุข พระอริยเจ้าทั้งหลาย
กล่าววัตถุกามนั้นโดยความเป็นทุกข์ ชนเหล่าอื่นกล่าวนิพพาน
ใดโดยความเป็นทุกข์ พระอริยเจ้าทั้งหลายผู้รู้แจ้งกล่าว
นิพพานนั้นโดยความเป็นสุข ท่านจงพิจารณาธรรมที่รู้ได้ยาก
ชนพาลทั้งหลายผู้ไม่รู้แจ้ง พากันลุ่มหลงอยู่ในโลกนี้ ความ
มืดตื้อย่อมมีแก่ชนพาลทั้งหลายผู้ถูกอวิชชาหุ้มห่อแล้ว ผู้ไม่
เห็นอยู่ ส่วนนิพพาน เป็นธรรมชาติเปิดเผยแก่สัตบุรุษ
ผู้เห็นอยู่ เหมือนอย่างแสงสว่าง ฉะนั้น ชนทั้งหลายเป็นผู้
ค้นคว้า ไม่ฉลาดต่อธรรม ย่อมไม่รู้แจ้งนิพพานที่มีอยู่ในที่
ใกล้ ชนทั้งหลายผู้ถูกภวราคะครอบงำแล้ว แล่นไปตาม
กระแสภวตัณหา ผู้เข้าถึงวัฏฏะอันเป็นบ่วงแห่งมารเนืองๆ
ไม่ตรัสรู้ธรรมนี้ได้โดยง่าย นอกจากพระอริยเจ้าทั้งหลาย
ใครหนอย่อมควรจะรู้บท คือ นิพพานที่พระอริยเจ้าทั้งหลาย
ตรัสรู้ดีแล้ว พระอริยเจ้าทั้งหลายเป็นผู้ไม่มีอาสวะเพราะรู้
โดยชอบ ย่อมปรินิพพาน ฯ
...................................................................................................
สมัยนั้นพวกมิจฉาทิฏฐิที่เห็นว่านิพพานเป็นทุกข์มันมีอยู่
ส่วนสมัยนี้ก็ยังมีคนเห็นว่านิพพานเป็นอนัตตา ก็มีอยู่..
ถามว่า...
คนที่เห็นว่านิพพานเป็นทุกข์ และคนที่เห็นว่านิพพานเป็นอนัตตา
มันต่างกันมั้ย หรือเหมือนกันอย่างไร ?
ขัดแย้งกับความเห็นของพระพุทธเจ้ามั้ย ?