สาวกคนที่ 1 กล่าวว่า
นิพพานต้องเป็นอนัตตาแหงๆ เพราะพระพุทธเจ้าตรัสไว้ว่า
ธรรมทั้งปวงเป็นอนัตตา ........................
สาวกคนที่ 2 ก็กล่าวทำนองทักท้วงไม่เห็นด้วยว่า
สังขารทั้งปวงที่ปัจจัยปรุงแต่ง ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา พระนิพพานและบัญญัติ ท่านวินิจฉัยว่าเป็นอนัตตา
เมื่อดวงจันทร์ คือ พระพุทธเจ้ายังไม่เกิดขึ้น เมื่อดวงอาทิตย์ คือ พระพุทธเจ้า ยังไม่อุทัย ขึ้นมา เพียงแต่ชื่อของสภาคธรรมเหล่านั้น ก็ยังไม่มีใครรู้จัก.
พระมหา- วีรเจ้าทั้งหลาย เป็นผู้มีพระจักษุ ทรงทำทุกกรกิริยามีอย่างต่างๆ ทรง บำเพ็ญบารมีแล้วเสด็จอุบัติในโลกเป็นไปกับพรหมโลก พระองค์ทรง แสดงพระสัทธรรม อันดับเสียซึ่งทุกข์ นำมาซึ่งความสุข. ................................
สาวกคนที่ 3 ก็กล่าวตามน้ำไปอีกว่า
ที่ท่านนำสิ่งที่เป็นบัญญัติมาวินิจฉัยว่า “เป็นอนัตตา” ร่วมกับพระนิพพานซึ่งเป็น
ปรมัตถธรรมนั้น เพราะว่าต่างก็เป็นสิ่งที่ไม่ถูกปัจจัยปรุงแต่งเหมือกัน................................
นี่แหละคือคำสาวก กล่าวกันไปตามความเห็นความเข้าใจของแต่ละคน ของใครจะถูกต้องสมเหตุสมผลหรือไม่ อย่างไร พิจารณาเอาเองเน้อ..
นี่แหละที่เรียกว่า คำสาวก
นิพพานต้องเป็นอนัตตาแหงๆ เพราะพระพุทธเจ้าตรัสไว้ว่า
ธรรมทั้งปวงเป็นอนัตตา ........................
สาวกคนที่ 2 ก็กล่าวทำนองทักท้วงไม่เห็นด้วยว่า
สังขารทั้งปวงที่ปัจจัยปรุงแต่ง ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา พระนิพพานและบัญญัติ ท่านวินิจฉัยว่าเป็นอนัตตา
เมื่อดวงจันทร์ คือ พระพุทธเจ้ายังไม่เกิดขึ้น เมื่อดวงอาทิตย์ คือ พระพุทธเจ้า ยังไม่อุทัย ขึ้นมา เพียงแต่ชื่อของสภาคธรรมเหล่านั้น ก็ยังไม่มีใครรู้จัก.
พระมหา- วีรเจ้าทั้งหลาย เป็นผู้มีพระจักษุ ทรงทำทุกกรกิริยามีอย่างต่างๆ ทรง บำเพ็ญบารมีแล้วเสด็จอุบัติในโลกเป็นไปกับพรหมโลก พระองค์ทรง แสดงพระสัทธรรม อันดับเสียซึ่งทุกข์ นำมาซึ่งความสุข. ................................
สาวกคนที่ 3 ก็กล่าวตามน้ำไปอีกว่า
ที่ท่านนำสิ่งที่เป็นบัญญัติมาวินิจฉัยว่า “เป็นอนัตตา” ร่วมกับพระนิพพานซึ่งเป็น
ปรมัตถธรรมนั้น เพราะว่าต่างก็เป็นสิ่งที่ไม่ถูกปัจจัยปรุงแต่งเหมือกัน................................
นี่แหละคือคำสาวก กล่าวกันไปตามความเห็นความเข้าใจของแต่ละคน ของใครจะถูกต้องสมเหตุสมผลหรือไม่ อย่างไร พิจารณาเอาเองเน้อ..