หนังสือ คู่มือปฎิบัติวัดท่าซุง เล่ม 1 อานาปานุสสติกรรมฐาน ตอนที่ 6.1

อานาปานุสสติกรรมฐาน ตอนที่ 6.1

ท่านสาธุชนพุทธบริษัททั้งหลาย และท่านพระโยคาวจรทั้งหลาย สำหรับเวลานี้ท่านทั้งหลาย ได้พากันสมาทานพระกรรมฐานแล้ว ศัพท์ว่า อิมาหัง ภควา อัตตภาวัง ตุมหากัง ปริจัจชามิ ซึ่งแปลว่า ข้าพเจ้าขอมอบกายถวายชีวิตแด่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า สำหรับท่านที่เป็นนักปฏิบัติเพื่อความดี จะเป็นพระก็ตาม เป็นเณรก็ตาม อุบาสกหรืออุบาสิกาก็ตาม จำถ้อยคำนี้ไว้ให้มันดี จำแล้วจิตก็ต้องคิด ต้องทำตามด้วย คำว่า มอบกายถวายชีวิต นั่นหมายถึงว่า ยอมรับนับถือคำสั่งและคำสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า คำสั่งก็ได้แก่ศีล คือวินัยก็ดี ศีลก็ดี เป็นคำสั่งที่พระพุทธเจ้าให้ทรงละเว้นจากความชั่วเบื้องต้น อันนี้ขอบรรดาท่านพุทธศาสนิกชน ทั้งภิกษุ สามเณร อุบาสก อุบาสิกา ตั้งใจไว้ให้มั่นว่า ถ้าเราละเมิดศีลมันเป็นของไม่ดี เป็นปัจจัยให้เกิดความเร่าร้อน

อีกประการหนึ่ง รากเหง้าของกิเลส ได้แก่ความรักใน รูป เสียง กลิ่น รส และสัมผัสก็ดี หรือว่าความโลภ โลภอยากจะมีทรัพย์สิน เพิ่มพูนทรัพย์สินให้มากมายก็ดี ความโกรธความพยาบาท จองล้างจองผลาญซึ่งกันและกันก็ดี หรือว่าหลงตัวว่าเราจะไม่ตาย หลงตัวว่าเราเป็นคนดีไม่ใช่คนเลวก็ดี สิ่งทั้งหลายเหล่านี้องค์สมเด็จพระชินสีห์บรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงให้เราละเสีย

ฉะนั้นขอท่านทั้งหลายที่ประกาศตนว่า อิมาหัง ภควา อัตตภาวัง ตุมหากัง ปริจัจชามิ ซึ่งแปลเป็นใจความว่า ข้าพเจ้าขอมอบกายถวายชีวิต แด่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จงพยายามอดกลั้นความรักในระหว่างเพศ รูป เสียง กลิ่น รส และสัมผัส ความโลภอยากจะร่ำรวย ความโกรธ ความหลง คำว่า อดกลั้นนี่หมายความว่า ทำจิตเป็นสมาธิ ได้แก่อารมณ์เป็นฌาน ฌานโลกีย์มีอำนาจแค่อดกลั้นเท่านั้น

อันดับต่อไป เมื่ออดกลั้นได้แล้ว ก็พยายามห้ำหั่นกิเลสทั้งสามประการ ที่เรียกว่า 4 ข้อนี่ ราคะกับโลภะมีสภาพอันเดียวกัน ที่ผมพูดแยกออกไปก็เพื่อความเข้าใจเท่านั้น พยายามห้ำหั่นให้มันหมดสิ้นไป จงทำตัวทำใจให้ประกอบไปด้วยความสุขในด้านของความดี หวังว่าท่านทั้งหลายคงจะไม่ลืมบทข้อนี้  คือว่าแทนที่เราจะว่าเป็นประเพณีน่ะมันเสียเวลาเปล่า ชีวิตของเราล่วงไปๆ ทุกวันๆ มันใกล้ความตายเข้ามาทุกที ฉะนั้น ขอท่านทั้งหลายจงทรงไว้ซึ่งความดี สิ่งใดที่มันชั่วมาแล้วก็ให้มันแล้วกันไป อย่ารื้อฟื้นคืนมันขึ้นมา เพราะความชั่วมันเป็นปัจจัยของความทุกข์ ที่ผมพูดอย่างนี้ไม่ได้ประณามท่านใดท่านหนึ่ง เพราะขึ้นชื่อว่าคนที่เกิดมาในโลกนี้ ที่ไม่เคยทำความชั่วไม่มี

เวลานี้ เราเข้ามาอยู่ในเขตขององค์สมเด็จพระชินสีห์บรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นเขตของความดี เราก็ควรทรงความดีให้เต็มภาคภูมิ นี่อันนี้เป็นจุดหนึ่งที่นักปฏิบัติที่จะทำได้ดีจริงๆ น่ะ เขาไม่ลืมคำนี้ ให้คำนี้มันก้องอยู่ในจิตทุกเวลา ในเมื่อมันก้องแล้วค่อยๆ จับจริยาอารมณ์ของจิตว่ามันชั่วตรงไหน จิตจะมีความรักในรูป เสียง กลิ่น รส และสัมผัสหรือเปล่า จิตเรามีความโลภหรือเปล่า จิตเรามีความโกรธ ความพยาบาท จองล้างจองผลาญบุคคลอื่นหรือเปล่า จิตเรามีความหลงในความประพฤติชั่วของในตัวของเราที่เข้าใจว่าเราประพฤติดีหรือเปล่า ทุกวันนี้เราคอยจับดูอารมณ์ของจิต ตามพระบาลีที่กล่าวว่า อัตตนา โจทยัตตานัง ซึ่งแปลเป็นใจความว่า จงกล่าวโทษโจทย์ความผิด ของตนเองไว้เสมอ อันนี้เราคิดหรือเปล่า หรือคิดว่าเราดี ถ้าเราคิดว่าเราดีเมื่อไหร่ เราก็เลวเมื่อนั้น

ต่อแต่นี้ไปก็จะพูดถึง อานาปานุสสติกรรมฐาน เวลานี้เรากำลังศึกษาอานาปานุสสติกรรมฐาน และสิ่งที่ผมพูดมาแล้วเมื่อสักครู่นี้ที่ผ่านมา มันเกี่ยวข้องกันหรือเปล่า บางท่านจะคิดว่ามันไม่เกี่ยวไม่ข้องกันเลย แต่ความจริงมันเกี่ยว มันเกี่ยวตรงไหน เกี่ยวตรงที่ว่าถ้าเราทรงอานาปานุสสติกรรมฐานได้ กรรมฐานนี้มีนิมิตเครื่องหมายโดยเฉพาะลมหายใจเข้าออก และลมหายใจเข้าออกนี้ ส่วนมากคนเราเกิดมาแล้วไม่ได้สนใจกับลม เพราะว่าร่างกายมันทำงานของมันเป็นปกติ ถ้าหากว่าเราไปสนใจกับลม ถ้ารู้ลมเข้าลมออกอยู่เป็นปกติ อารมณ์แห่งความหลงในกามคุณ 5 มันก็ไม่มี อารมณ์ความหลงไปในเรื่องของความโลภ มันก็ไม่มี จะหลงอยู่ในความโกรธ ความหลงมันก็ไม่มี เพราะจิตมันติดงาน คือรู้ลมเข้าลมออก

เป็นอันว่าจิตของท่านเป็นฌานสมาบัติ เมื่อฌานสมาบัติเกิดขึ้น ปัญญามันก็เกิด ขอได้โปรดทราบ ที่ไม่สามารถจะทำปัญญาให้ดีขึ้นได้ เพราะใจของท่านไม่เป็นสมาธิ ปัญญาที่มันดีขึ้นได้มีอะไรที่เราจะรู้ว่าปัญญาดีปัญญาชั่ว ก็เอาจิตของเราเข้าไปวัดกับอารมณ์ของพระโสดาบัน ความจริงเรื่องนี้เราพูดย้ำกันไปย้ำกันมา ฟังกันทุกวัน ผมเห็นว่าเป็นของไม่ยากสำหรับคนดี แต่เป็นของหนักสำหรับคนเลว โปรดจำไว้ด้วยว่า คำว่าพระโสดาบันเป็นของไม่ยาก

เมื่อวันก่อนที่ผ่านมาก็ได้พูดเรื่องของพระโสดาบัน วันนี้เราย้อนถอยหลังไปสักนิดหนึ่ง ว่าเวลานี้เราทรงความเป็นพระโสดาบันได้แล้วหรือยัง หรือว่าจิตของเรายังวุ่นวายอยู่กับความชั่ว คนที่มีอารมณ์จิตไม่วุ่นวายกับความชั่ว นั่นก็คือพระโสดาบัน พระโสดาบันมีอะไร นึกถึงความตายเป็นอารมณ์ มีความเคารพในพระพุทธเจ้า เคารพในพระธรรม เคารพในพระอริยสงฆ์ โดยไม่สงสัยในคำสั่งสอนของท่าน มีศีล 5 บริสุทธิ์ จิตรักพระนิพพานเป็นอารมณ์ ยอมรับนับถือกฎของธรรมดามากขึ้น หมายความว่า ความหวั่นไหวในโลกธรรม 8 ประการมีน้อย ใครเขาจะด่าจะว่าก็ถือว่าเป็นเรื่องธรรมดา ใครเขาจะชมก็ถือว่าเป็นเรื่องธรรมดา อะไรก็ตามมันมาก็ธรรมดาไปหมด

ความหวั่นไหวของพระโสดาบันยังมีอยู่บ้าง แต่ว่าพระโสดาบันก็มีความอิ่มใจ ที่คิดว่าเราเกิดแล้วในชาตินี้ไม่เสียทีเกิด ที่เราสามารถจะรวบรวมความดีไว้ได้คือ สักกายทิฐิแบบเบา ก็ได้แก่ไม่เมาในชีวิต คิดว่าเราจะต้องตาย เมื่อเราจะต้องตายก็ต้องหาทางสร้างความดี ใช้ปัญญาพิจารณาคำสอนขององค์สมเด็จพระชินสีห์ จนกระทั่งมีความเข้าใจไม่สงสัย อย่างนี้เรียกว่าเคารพในพระพุทธเจ้า เคารพในพระธรรม เคารพในพระสงฆ์ ในเมื่อไม่สงสัยก็ตัดใจตรงลงเฉพาะด้านของความดี คือมีศีลบริสุทธิ์ เฉพาะฆราวาสมีศีล 5 บริสุทธิ์ สามเณรมีศีล 10 บริสุทธิ์ พระมีศีล 227 บริสุทธิ์ จิตมีความรักพระนิพพานเป็นอารมณ์ คิดไว้อย่างเดียวว่าตายคราวนี้จุดที่เราจะพึงไป นั่นเราต้องการพระนิพพาน

อารมณ์ขั้นต้นของพระโสดาบันเพียงเท่านี้ มันยากนักหรือ แต่ความจริงสำหรับคนชั่ว ยาก สำหรับคนดี ไม่ยาก เพราะว่าคนชั่วน่ะจะสอนยังไงก็ตาม ก็ไม่ได้เกิดประโยชน์ ฟังแล้วก็ฟังเฉยๆ มีความทะนงตนคิดว่าตนเป็นคนดีเป็นปกติ ไม่ได้มองความชั่วของตัว

ทีนี้สำหรับการที่เราจะทำให้ศีลบริสุทธิ์ นึกถึงความตายเป็นอารมณ์ ไม่สงสัยในคำสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เราทำยังไง เวลานี้เราเจริญอานาปานุสสติกรรมฐาน เราก็ต้องไม่ไปสนใจกับอะไร ใช้อานาปานุสสติกรรมฐานเป็นวิปัสสนาญาณเครื่องควบคุม อานาปานุสสติได้แก่การนึกถึงลมหายใจเข้าหายใจออก ถ้าจะภาวนาก็ภาวนาว่า พุทโธ เวลาหายใจเข้านึกว่า พุท เวลาหายใจออกนึกว่า โธ อันนี้เป็นความต้องการของเราที่จะสร้างความดี ขณะที่เราภาวนาว่า พุทโธ เพื่อรู้ลมหายใจเข้าออก ปัญญามันเกิด ทำไมจึงว่าปัญญาเกิด ก็เพราะจิตเป็นสมาธิ เมื่อจิตเป็นสมาธิปัญญามันก็เกิด ถ้าปัญญาของพวกท่านทั้งหลายไม่เกิด ก็แสดงว่าจิตของท่านไม่มีสมาธิ ถ้าจะถามผมว่า จิตเป็นสมาธิอันดับไหนปัญญาจึงเกิด ก็ต้องขอตอบว่า ตั้งแต่ขณิกสมาธิ อุปจารสมาธิ ปฐมฌาน ทุติยฌาน ตติยฌาน จตุตถฌาน ไม่ว่าสมาธิจุดไหนปัญญาเกิดทั้งหมดนี้ นี่ถ้าปัญญาเราไม่เกิด ก็แสดงว่าจิตไม่เป็นสมาธิ อันนี้ต้องจำนะขอรับ

การศึกษามีวัดเราแห่งเดียวที่รับฟังคำสอนเป็นปกติ แต่ทว่าเป็นที่น่าเสียดายอยู่นิดหนึ่ง บางทีเรารับคำสอนกันมากเกินไป จนกระทั่งมีใจหยาบ ไม่มีความรู้สึกละอายในความชั่ว นี่ถ้าอารมณ์ใดๆ ถ้ามันเป็นความชั่วมีอยู่ล่ะก็ นึกถึงตรงนี้นะครับ นึกว่าเราเลวจริงๆ นะ เหมือนกับปลาที่อยู่ในน้ำแต่ไม่รู้คุณของน้ำ นกที่จับอยู่กับต้นไม้ก็ไม่รู้คุณของต้นไม้ ว่าต้นไม้เป็นที่อาศัยให้ความสุขสำหรับนก น้ำเป็นที่อาศัยให้ความสุขสำหรับปลา แต่นกกับปลาก็มีจิตหยาบ มีจิตเลว ไม่ได้รู้สึกถึงคุณของต้นไม้และน้ำฉันใด สำหรับคนที่มีจิตเลวก็เช่นเดียวกัน อยู่กับคำสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ฟังเป็นปกติ แต่ว่าไม่สามารถจะทำจิตเป็นสมาธิ ไม่สามารถจะทรงความเป็นพระโสดาบันได้ ก็รู้สึกว่าจะเป็นที่น่าหนักใจ ถ้าพูดตามภาษาชาวบ้านก็เรียกว่า เลวเต็มที ความเป็นพระไม่มีความหมาย ความเป็นเณรไม่มีความหมาย ความเป็นอุบาสกอุบาสิกาไม่มีความหมาย

(มีต่อ หนังสือ คู่มือปฎิบัติวัดท่าซุง เล่ม 1 อานาปานุสสติกรรมฐาน ตอนที่ 6.2 https://ppantip.com/topic/43112589 )
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่