...ระหว่างจิตดวงที่ 17 กับ จิตดวงที่ 1 , หรือ อีกนัยหนึ่ง ในแง่ปฏิบัติ นิพพานอยู่ตรงกลาง ตรงรอยแยกระหว่าง รูปฌาน กับ อรูปฌาน
...เมื่อมรรคจิต(ไม่ว่าของมรรคใดๆก็ตาม) ก็จะเห็นนิพพานมาปรากฏ ตรงรอยแยกระหว่างกลางของสภาวะต่างๆที่บอกไปนั้นแหละ
...ในตำราอภิธรรม ก็บอกไว้แล้วว่า รูป มีอายุเท่ากับจิต 17 ขณะ(หมายถึงขณะใหญ่) นั่นคือ เมื่อจิต ซึ่งเป็นนาม เกิดๆดับๆไปถึงลำดับดวงที่ 17 ..จิตดวงที่ 17 นี่แหละ ก็จะกลายเป็นรูปขึ้นมา 1 รูป ส่วนจิต 16 ดวงแรก เป็นนามทั้งหมด และจะเป็นไปแบบนี้ เรื่อยๆๆ ตลอดไป ...เมื่อฝึกจนถึงโคตรภูญาณ(หรือ โคตรภูจิต หรือ โวทานะ) จิตจะเริ่มเห็นนิพพานปรากฏ ตรงรอยแยกระหว่างกลางของสภาวะต่างๆนั้น ..ซึ่งที่จริงก็คือ สภาวะเดียวกัน แต่เรียกชื่อในสมมุติบัญญัติต่างๆกันไป
...ทั้ง 3 สภาวะนี้ คือ สิ่งเดียวกัน คือ แต่เรียกด้วยสำนวนโวหารในสมมุติ เป็น 3 สำนวน คือ
(๑) รอยแยกตรงกลาง ระหว่าง รูป กับ นาม
(๒) รอยแยกตรงกลาง ระหว่างจิตดวงที่ 17 กับจิตดวงที่ 1
(๓) รอยแยกตรงกลาง ระหว่าง รูปฌาน กับ อรูปฌาน
...ซึ่งนิพพานก็หมกตัวซ่อนเร้นอยู่เงียบเชียบ ตรงกลางระหว่างรอยแยกนั่นแหละ มาเนิ่นนาน นานๆๆมากๆ นับอสงไขยกัปล์นับไม่ถ้วน
...เมื่อวันใดวันหนึ่ง มีสิ่งวิเศษ คือ มรรคญาณที่เกิดกับมรรคจิตในอริยมรรคโลกุตตรวิถี เกิดขึ้น ..เมื่อนั้น นิพพานจะโดนเจาะเกราะ เจาะกระดองจนแตกโพล๊ะ จนต้องเปิดเผยตนเองออกมา ให้บุคคลที่ได้เป็นพระอริยะฯ ในขณะนั้น ได้เห็น ได้ชื่นชม สมกับที่รอคอยมานานไม่รู้กี่ล้านๆๆ อสงไขกัปล์
...จะว่า ง่าย ก็ง่าย ..หรือ จะว่า ยาก ก็ยาก
...นิพพาน มีลักษณะเกือบเหมือนกับจิต จนเกือบจะกลายเป็นฝาแฝด...ต่างกันที่ จิตเป็นอสังขตะธรรม คงที่ ไม่เกิด ไม่ตาย ไม่ปรุงแต่ง ไม่เปลี่ยนแปลง ไม่ผสมกับอะไร ไม่มีอะไรๆ จะเข้าไป หรือ ออกมาจากนิพพานได้ ...และ ไม่ไปรับรู้อะไรใดๆ ใดๆ เพราะนิพพานไม่ใช่ธาตุรู้ ..แต่ จิต เป็นสังขตะธรรม เปลี่ยนแปลง เกิดดับๆตลอดเวลา และ จิตเป็นธาตุรู้ สามารถรู้ๆ อะไรๆ ได้สารพัดสารเพ ไม่มีขีดจำกัด ฯลฯ ..ฯลฯ ...
...(( ลองย้อนไปนึกถึงเหตุการณ์ในช่วงเวลาไม่กี่ขณะจิตสุดท้าย ตอนที่พระพุทธเจ้าทรงเสด็จดับขันธ์ปรินิพพาน ซึ่งพระอนุรุธะ ได้เข้าญาณติดตามขณะจิตของพระพุทธเจ้าไปทุกๆขณะ ตั้งแต่ตอนที่พระองค์เริ่มเข้าปฐมฌานไปจนถึงนิโรธสมาบัติ แล้วถอยกลับลงมาถึงปฐมฌาน แล้วย้อนขึ้นไปถึงจตุตถฌานซึ่งเป็นรูปฌานที่ 4 แล้วพระองค์
ทรงเสด็จดับขันธ์ฯ เมื่อออกจากจตุตฌาน ระหว่าง รูปฌาน กับ อรูปฌาน นั่นเอง ...พระอนุรุทธะ ได้รายงานขณะจิตของพระพุทธเจ้าไปทุกๆระยะ จนถึงขณะจิตสุดท้าย ที่เป็นจุติจิตที่เรียกว่า จริมกจิต ))
( เอากระทู้เดิม เนื้อหาเดิม มาตั้งซ้ำในสำนวนใหม่ๆ ..กันลืม )
฿ นิพพานอยู่ตรงกลาง ตรงรอยแยกระหว่างรูปกับนาม ที่ปรุงแต่งละเอียดยิบๆยับๆอยู่ในจิต หรือ อีกนัยหนึ่ง อยู่ตรงกลางระหว่าง..฿
...เมื่อมรรคจิต(ไม่ว่าของมรรคใดๆก็ตาม) ก็จะเห็นนิพพานมาปรากฏ ตรงรอยแยกระหว่างกลางของสภาวะต่างๆที่บอกไปนั้นแหละ
...ในตำราอภิธรรม ก็บอกไว้แล้วว่า รูป มีอายุเท่ากับจิต 17 ขณะ(หมายถึงขณะใหญ่) นั่นคือ เมื่อจิต ซึ่งเป็นนาม เกิดๆดับๆไปถึงลำดับดวงที่ 17 ..จิตดวงที่ 17 นี่แหละ ก็จะกลายเป็นรูปขึ้นมา 1 รูป ส่วนจิต 16 ดวงแรก เป็นนามทั้งหมด และจะเป็นไปแบบนี้ เรื่อยๆๆ ตลอดไป ...เมื่อฝึกจนถึงโคตรภูญาณ(หรือ โคตรภูจิต หรือ โวทานะ) จิตจะเริ่มเห็นนิพพานปรากฏ ตรงรอยแยกระหว่างกลางของสภาวะต่างๆนั้น ..ซึ่งที่จริงก็คือ สภาวะเดียวกัน แต่เรียกชื่อในสมมุติบัญญัติต่างๆกันไป
...ทั้ง 3 สภาวะนี้ คือ สิ่งเดียวกัน คือ แต่เรียกด้วยสำนวนโวหารในสมมุติ เป็น 3 สำนวน คือ
(๑) รอยแยกตรงกลาง ระหว่าง รูป กับ นาม
(๒) รอยแยกตรงกลาง ระหว่างจิตดวงที่ 17 กับจิตดวงที่ 1
(๓) รอยแยกตรงกลาง ระหว่าง รูปฌาน กับ อรูปฌาน
...ซึ่งนิพพานก็หมกตัวซ่อนเร้นอยู่เงียบเชียบ ตรงกลางระหว่างรอยแยกนั่นแหละ มาเนิ่นนาน นานๆๆมากๆ นับอสงไขยกัปล์นับไม่ถ้วน
...เมื่อวันใดวันหนึ่ง มีสิ่งวิเศษ คือ มรรคญาณที่เกิดกับมรรคจิตในอริยมรรคโลกุตตรวิถี เกิดขึ้น ..เมื่อนั้น นิพพานจะโดนเจาะเกราะ เจาะกระดองจนแตกโพล๊ะ จนต้องเปิดเผยตนเองออกมา ให้บุคคลที่ได้เป็นพระอริยะฯ ในขณะนั้น ได้เห็น ได้ชื่นชม สมกับที่รอคอยมานานไม่รู้กี่ล้านๆๆ อสงไขกัปล์
...จะว่า ง่าย ก็ง่าย ..หรือ จะว่า ยาก ก็ยาก
...นิพพาน มีลักษณะเกือบเหมือนกับจิต จนเกือบจะกลายเป็นฝาแฝด...ต่างกันที่ จิตเป็นอสังขตะธรรม คงที่ ไม่เกิด ไม่ตาย ไม่ปรุงแต่ง ไม่เปลี่ยนแปลง ไม่ผสมกับอะไร ไม่มีอะไรๆ จะเข้าไป หรือ ออกมาจากนิพพานได้ ...และ ไม่ไปรับรู้อะไรใดๆ ใดๆ เพราะนิพพานไม่ใช่ธาตุรู้ ..แต่ จิต เป็นสังขตะธรรม เปลี่ยนแปลง เกิดดับๆตลอดเวลา และ จิตเป็นธาตุรู้ สามารถรู้ๆ อะไรๆ ได้สารพัดสารเพ ไม่มีขีดจำกัด ฯลฯ ..ฯลฯ ...
...(( ลองย้อนไปนึกถึงเหตุการณ์ในช่วงเวลาไม่กี่ขณะจิตสุดท้าย ตอนที่พระพุทธเจ้าทรงเสด็จดับขันธ์ปรินิพพาน ซึ่งพระอนุรุธะ ได้เข้าญาณติดตามขณะจิตของพระพุทธเจ้าไปทุกๆขณะ ตั้งแต่ตอนที่พระองค์เริ่มเข้าปฐมฌานไปจนถึงนิโรธสมาบัติ แล้วถอยกลับลงมาถึงปฐมฌาน แล้วย้อนขึ้นไปถึงจตุตถฌานซึ่งเป็นรูปฌานที่ 4 แล้วพระองค์ ทรงเสด็จดับขันธ์ฯ เมื่อออกจากจตุตฌาน ระหว่าง รูปฌาน กับ อรูปฌาน นั่นเอง ...พระอนุรุทธะ ได้รายงานขณะจิตของพระพุทธเจ้าไปทุกๆระยะ จนถึงขณะจิตสุดท้าย ที่เป็นจุติจิตที่เรียกว่า จริมกจิต ))