อรูปนี้กำหนดความไม่มีอะไรเลยเป็นสำคัญ โดยเข้าฌาน ๔ ในวิญญาณ แล้วเพิกวิญญาณคือ ไม่ต้องการวิญญาณนั้น คิดว่าไม่มีอะไรเลยเป็นสำคัญ อากาศ ก็ไม่มีวิญญาณก็ไม่มี ถ้ายังมีอะไรสักอย่างหนึ่งแม้แต่น้อยหนึ่ง ก็เป็นเหตุของภยันตราย ฉะนั้นการไม่มีอะไรเลยเป็นการปลอดภัยที่สุดแล้วก็กำหนดจิตไม่ยึดถืออะไร ทั้งหมดจนจิตตั้งเป็นอุเบกขารมณ์ เป็นจบอรูปนี้ อรูปฌาน3 อากิญจัญญายตนะ
ท่านที่สามารถแยกจิตออกจากกายได้เด็ดขาดคือ ไม่ติดใจ ไม่มีเยื่อใยในกายอีกต่อไป ถือว่าจิตกับกายเป็นคนละส่วนกัน คือ พระอรหันต์ จิตของพระอรหันต์เป็นจิตที่มีประกายพรึกงดงาม แสงสว่างสดใส ไม่มีกิเลสพัวพันอีก
ท่านที่แยกจิตออกจากกายได้ 75 % คือ พระอนาคามี อีก 25 % ยังติดในรูปฌานและอรูปฌาน มานะ ถือตัว จิตฟุ้งซ่านในฝ่ายกุศลนอกเรื่องจากอรูปฌาน มานะ ถือตัว จิตฟุ้งซ่านในฝ่ายกุศลนอกเรื่องจากพระนิพพาน มีอวิชชา เล็กน้อย คิดว่าได้คุณธรรมแค่พระอนาคามีก็พอแล้ว อย่างไร ๆ ก็ได้ ไปเกิดชั้นสุทธาวาสเป็นพรหมสบาย ๆ อยู่แล้ว ค่อยไปปฏิบัติต่อที่พรหมเพื่อไปพระนิพพานต่อก็ได้
จิตที่ไม่ติดใจในกายได้ 50 % คือ จิตของพระสกิทาคามี ยังมีกามฉันทะ ปฏิฆะ ความโกรธไม่พอใจเล็กน้อย มีความเห็นตรงตามคำสอนพระพุทธองค์ มีศีล 5 ครบ มีกรรมบถ 10 ครบถ้วน ไม่พูดเพ้อเจ้อ หยาบคาย เหลวไหล
ท่านที่แยกจิตออกจากกายได้ 25 % คือ พระโสดาบัน ท่านเอาจิตไปพิจารณาว่ากายต้องตายเพราะกายเป็นธาตุ 4 เป็นของโลก จิตเป็นของละเอียด เป็นนามธรรมมาอาศัยกายซึ่งเป็นรังที่แสนสกปรกรกรุงรัง จิตต้องมีภาระดูแลทำความสะอาดทุกวันเหม็นเน่าสาบสางทุกวัน มีแต่โรคภัยไข้เจ็บเบียดเบียนเป็นทุกข์เป็นโทษ กายเป็นที่อาศัยของจิตชั่วคราว สติพิจารณาตัวตนไว้ว่าตัวเราคือจิต กายทำอะไรให้จิต จิตทำอะไรให้กาย เป็นการพิจารณาที่ตัดสักกายทิฏฐิให้เห็นว่า กายกับจิตเป็นคนละส่วนกัน
ท่านที่แยกจิตออกจากกาย ความจริงจิตก็ยังอยู่อยู่ในกายนั่นแหละยังไม่ตาย แต่จิตไม่รักหวงแหนหลงใหลว่ากายเป็นของจริงเหมือนอย่างสมัยปุถุชน
วิธีแยกจิตออกจากกายทำได้อย่างไร (หลวงพ่อฤาษีลิงดำ)
อรูปนี้กำหนดความไม่มีอะไรเลยเป็นสำคัญ โดยเข้าฌาน ๔ ในวิญญาณ แล้วเพิกวิญญาณคือ ไม่ต้องการวิญญาณนั้น คิดว่าไม่มีอะไรเลยเป็นสำคัญ อากาศ ก็ไม่มีวิญญาณก็ไม่มี ถ้ายังมีอะไรสักอย่างหนึ่งแม้แต่น้อยหนึ่ง ก็เป็นเหตุของภยันตราย ฉะนั้นการไม่มีอะไรเลยเป็นการปลอดภัยที่สุดแล้วก็กำหนดจิตไม่ยึดถืออะไร ทั้งหมดจนจิตตั้งเป็นอุเบกขารมณ์ เป็นจบอรูปนี้ อรูปฌาน3 อากิญจัญญายตนะ
ท่านที่สามารถแยกจิตออกจากกายได้เด็ดขาดคือ ไม่ติดใจ ไม่มีเยื่อใยในกายอีกต่อไป ถือว่าจิตกับกายเป็นคนละส่วนกัน คือ พระอรหันต์ จิตของพระอรหันต์เป็นจิตที่มีประกายพรึกงดงาม แสงสว่างสดใส ไม่มีกิเลสพัวพันอีก
ท่านที่แยกจิตออกจากกายได้ 75 % คือ พระอนาคามี อีก 25 % ยังติดในรูปฌานและอรูปฌาน มานะ ถือตัว จิตฟุ้งซ่านในฝ่ายกุศลนอกเรื่องจากอรูปฌาน มานะ ถือตัว จิตฟุ้งซ่านในฝ่ายกุศลนอกเรื่องจากพระนิพพาน มีอวิชชา เล็กน้อย คิดว่าได้คุณธรรมแค่พระอนาคามีก็พอแล้ว อย่างไร ๆ ก็ได้ ไปเกิดชั้นสุทธาวาสเป็นพรหมสบาย ๆ อยู่แล้ว ค่อยไปปฏิบัติต่อที่พรหมเพื่อไปพระนิพพานต่อก็ได้
จิตที่ไม่ติดใจในกายได้ 50 % คือ จิตของพระสกิทาคามี ยังมีกามฉันทะ ปฏิฆะ ความโกรธไม่พอใจเล็กน้อย มีความเห็นตรงตามคำสอนพระพุทธองค์ มีศีล 5 ครบ มีกรรมบถ 10 ครบถ้วน ไม่พูดเพ้อเจ้อ หยาบคาย เหลวไหล
ท่านที่แยกจิตออกจากกายได้ 25 % คือ พระโสดาบัน ท่านเอาจิตไปพิจารณาว่ากายต้องตายเพราะกายเป็นธาตุ 4 เป็นของโลก จิตเป็นของละเอียด เป็นนามธรรมมาอาศัยกายซึ่งเป็นรังที่แสนสกปรกรกรุงรัง จิตต้องมีภาระดูแลทำความสะอาดทุกวันเหม็นเน่าสาบสางทุกวัน มีแต่โรคภัยไข้เจ็บเบียดเบียนเป็นทุกข์เป็นโทษ กายเป็นที่อาศัยของจิตชั่วคราว สติพิจารณาตัวตนไว้ว่าตัวเราคือจิต กายทำอะไรให้จิต จิตทำอะไรให้กาย เป็นการพิจารณาที่ตัดสักกายทิฏฐิให้เห็นว่า กายกับจิตเป็นคนละส่วนกัน
ท่านที่แยกจิตออกจากกาย ความจริงจิตก็ยังอยู่อยู่ในกายนั่นแหละยังไม่ตาย แต่จิตไม่รักหวงแหนหลงใหลว่ากายเป็นของจริงเหมือนอย่างสมัยปุถุชน