พระพุทธเจ้าทรงตรัส เรื่อง จิตวิมุติ หรือการหลุดพ้นแห่งจิต
ไว้ใน พระไตรปิฎก เล่มที่ 14 ขุททกนิกาย อิติวุตตกะ บทนี้ชื่อว่า “ธาตุปัญญัติติกะ” ดังนี้
”[๙๒] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ถ้าจิตของภิกษุคลายกำหนัดแล้วจากรูปธาตุ หลุดพ้นแล้วจากอาสวะทั้งหลาย เพราะไม่ถือมั่น. ถ้าจิตของภิกษุคลากำหนัดแล้วจากเวทนาธาตุ ... จากสัญญาธาตุ ... จากสังขารธาตุ ... จากวิญญาณธาตุ หลุดพ้นแล้วจากอาสวะทั้งหลาย เพราะไม่ถือมั่น. เพราะหลุดพ้นแล้ว จิตจึงดำรงอยู่ เพราะดำรงอยู่ จึงยินดีพร้อม เพราะยินดีพร้อม จึงไม่สะดุ้ง เมื่อไม่สะดุ้ง ย่อมดับรอบเฉพาะตนเท่านั้น ภิกษุนั้น ย่อมรู้ชัดว่า ชาติสิ้นแล้วพรหมจรรย์อยู่จบแล้ว กิจที่ควรทำ ทำเสร็จแล้ว กิจอื่นเพื่อความเป็นอย่างนี้มิได้มี“
อธิบายทีละช่วง ดังนี้
1. “ถ้าจิตของภิกษุคลายกำหนัดแล้วจากรูปธาตุ…”
“รูปธาตุ” คือ ธาตุของรูปกาย รูปธรรมภายนอก
“คลายกำหนัด” หมายถึง จิตไม่ยึดติด ไม่ปรารถนา ไม่หลงยึดในรูป
“การไม่กำหนัด” หรือไม่ติดในขันธ์ 5 เมื่อไม่ติด ไม่กำหนัด จิตก็ “หลุดพ้นจากอาสวะ” คือ กิเลสรากฐานลึก เช่น ความหลง ความอยาก
2. “เพราะไม่ถือมั่น”
พระพุทธเจ้าตรัสว่า เหตุแห่งทุกข์คือ “อุปาทาน” = การยึดมั่นถือมั่น
ดังนั้น การ ไม่ยึดมั่นในรูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ คือการพ้นทุกข์
3. “เพราะหลุดพ้นแล้ว จิตจึงดำรงอยู่”
คำว่า “ดำรงอยู่” ตรงนี้ ไม่ได้แปลว่า จิตยังวนเวียนเกิดอีก
แต่แปลว่า จิตตั้งมั่นอย่างบริสุทธิ์ ไม่มีสิ่งใดมาครอบงำอีก
จิตแบบนี้คือ “จิตของพระอรหันต์” –อิสระจากโลกียธรรมทั้งหมด
4. “เพราะดำรงอยู่ จึงยินดีพร้อม”
ยินดีที่นี่ไม่ใช่ “เพลิดเพลิน” ในกิเลส
แต่คือ ปิติสุขจากความบริสุทธิ์ ความหลุดพ้น เรียกว่า วิมุตติสุข
จิตสงบ เย็น เยือกเย็น ไม่ปรุงแต่ง
5. “เพราะยินดีพร้อม จึงไม่สะดุ้ง”
จิตไม่หวั่นไหว ไม่หวาดกลัว ไม่วิตก ไม่หวั่นกับสิ่งใด ๆ อีก
เพราะสิ่งที่ทำให้จิตหวั่นคือ “การยึด” และ “ความกลัวจะสูญเสีย” – แต่จิตที่พ้นแล้ว ไม่มีสิ่งเหล่านั้น
6. “เมื่อไม่สะดุ้ง ย่อมดับรอบเฉพาะตน”
คำว่า “ดับ” ในที่นี้หมายถึง “นิโรธ” หรือ “นิพพาน”
“ดับรอบเฉพาะตน” คือ ดับขันธ์ ดับตัณหา ดับภพชาติ ในจิตของตนเอง ไม่ใช่คนอื่นดับให้ เป็นการยืนยันว่า การหลุดพ้นนั้นเป็นของเฉพาะตน ต้องรู้เห็นด้วยตนเอง
7. “ภิกษุนั้นรู้ชัดว่า ชาติสิ้นแล้ว…”
ประโยคสุดท้ายคือ คำประกาศของพระอรหันต์ ว่าท่านได้บรรลุธรรมสูงสุดแล้ว
“ชาติสิ้นแล้ว” – จะไม่เกิดอีก ไม่เวียนว่ายในสังสารวัฏ
“พรหมจรรย์อยู่จบแล้ว” – การปฏิบัติธรรมตามแนวทางพุทธสำเร็จสมบูรณ์แล้ว
“กิจที่ควรทำ ทำเสร็จแล้ว” – ไม่มีอะไรต้องแสวงหาอีก
“กิจอื่นเพื่อความเป็นอย่างนี้มิได้มี” – ไม่มีการปฏิบัติอะไรต่อจากนี้อีก เพราะถึงที่สุดแล้ว
พระสูตรนี้แสดง กระบวนการบรรลุพระอรหันต์ อย่างชัดเจน:
ไม่กำหนัด → ไม่ยึดมั่น → หลุดพ้นจากอาสวะ → จิตบริสุทธิ์ → สงบเย็น → ไม่หวั่นไหว → ดับทุกข์โดยสมบูรณ์
พระพุทธเจ้าทรงตรัส เรื่อง จิตวิมุติ หรือการหลุดพ้นแห่งจิต
ไว้ใน พระไตรปิฎก เล่มที่ 14 ขุททกนิกาย อิติวุตตกะ บทนี้ชื่อว่า “ธาตุปัญญัติติกะ” ดังนี้
”[๙๒] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ถ้าจิตของภิกษุคลายกำหนัดแล้วจากรูปธาตุ หลุดพ้นแล้วจากอาสวะทั้งหลาย เพราะไม่ถือมั่น. ถ้าจิตของภิกษุคลากำหนัดแล้วจากเวทนาธาตุ ... จากสัญญาธาตุ ... จากสังขารธาตุ ... จากวิญญาณธาตุ หลุดพ้นแล้วจากอาสวะทั้งหลาย เพราะไม่ถือมั่น. เพราะหลุดพ้นแล้ว จิตจึงดำรงอยู่ เพราะดำรงอยู่ จึงยินดีพร้อม เพราะยินดีพร้อม จึงไม่สะดุ้ง เมื่อไม่สะดุ้ง ย่อมดับรอบเฉพาะตนเท่านั้น ภิกษุนั้น ย่อมรู้ชัดว่า ชาติสิ้นแล้วพรหมจรรย์อยู่จบแล้ว กิจที่ควรทำ ทำเสร็จแล้ว กิจอื่นเพื่อความเป็นอย่างนี้มิได้มี“
อธิบายทีละช่วง ดังนี้
1. “ถ้าจิตของภิกษุคลายกำหนัดแล้วจากรูปธาตุ…”
“รูปธาตุ” คือ ธาตุของรูปกาย รูปธรรมภายนอก
“คลายกำหนัด” หมายถึง จิตไม่ยึดติด ไม่ปรารถนา ไม่หลงยึดในรูป
“การไม่กำหนัด” หรือไม่ติดในขันธ์ 5 เมื่อไม่ติด ไม่กำหนัด จิตก็ “หลุดพ้นจากอาสวะ” คือ กิเลสรากฐานลึก เช่น ความหลง ความอยาก
2. “เพราะไม่ถือมั่น”
พระพุทธเจ้าตรัสว่า เหตุแห่งทุกข์คือ “อุปาทาน” = การยึดมั่นถือมั่น
ดังนั้น การ ไม่ยึดมั่นในรูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ คือการพ้นทุกข์
3. “เพราะหลุดพ้นแล้ว จิตจึงดำรงอยู่”
คำว่า “ดำรงอยู่” ตรงนี้ ไม่ได้แปลว่า จิตยังวนเวียนเกิดอีก
แต่แปลว่า จิตตั้งมั่นอย่างบริสุทธิ์ ไม่มีสิ่งใดมาครอบงำอีก
จิตแบบนี้คือ “จิตของพระอรหันต์” –อิสระจากโลกียธรรมทั้งหมด
4. “เพราะดำรงอยู่ จึงยินดีพร้อม”
ยินดีที่นี่ไม่ใช่ “เพลิดเพลิน” ในกิเลส
แต่คือ ปิติสุขจากความบริสุทธิ์ ความหลุดพ้น เรียกว่า วิมุตติสุข
จิตสงบ เย็น เยือกเย็น ไม่ปรุงแต่ง
5. “เพราะยินดีพร้อม จึงไม่สะดุ้ง”
จิตไม่หวั่นไหว ไม่หวาดกลัว ไม่วิตก ไม่หวั่นกับสิ่งใด ๆ อีก
เพราะสิ่งที่ทำให้จิตหวั่นคือ “การยึด” และ “ความกลัวจะสูญเสีย” – แต่จิตที่พ้นแล้ว ไม่มีสิ่งเหล่านั้น
6. “เมื่อไม่สะดุ้ง ย่อมดับรอบเฉพาะตน”
คำว่า “ดับ” ในที่นี้หมายถึง “นิโรธ” หรือ “นิพพาน”
“ดับรอบเฉพาะตน” คือ ดับขันธ์ ดับตัณหา ดับภพชาติ ในจิตของตนเอง ไม่ใช่คนอื่นดับให้ เป็นการยืนยันว่า การหลุดพ้นนั้นเป็นของเฉพาะตน ต้องรู้เห็นด้วยตนเอง
7. “ภิกษุนั้นรู้ชัดว่า ชาติสิ้นแล้ว…”
ประโยคสุดท้ายคือ คำประกาศของพระอรหันต์ ว่าท่านได้บรรลุธรรมสูงสุดแล้ว
“ชาติสิ้นแล้ว” – จะไม่เกิดอีก ไม่เวียนว่ายในสังสารวัฏ
“พรหมจรรย์อยู่จบแล้ว” – การปฏิบัติธรรมตามแนวทางพุทธสำเร็จสมบูรณ์แล้ว
“กิจที่ควรทำ ทำเสร็จแล้ว” – ไม่มีอะไรต้องแสวงหาอีก
“กิจอื่นเพื่อความเป็นอย่างนี้มิได้มี” – ไม่มีการปฏิบัติอะไรต่อจากนี้อีก เพราะถึงที่สุดแล้ว
พระสูตรนี้แสดง กระบวนการบรรลุพระอรหันต์ อย่างชัดเจน:
ไม่กำหนัด → ไม่ยึดมั่น → หลุดพ้นจากอาสวะ → จิตบริสุทธิ์ → สงบเย็น → ไม่หวั่นไหว → ดับทุกข์โดยสมบูรณ์